“เอาละๆ ถ้ามันแสลงใจขนาดนั้น แกไม่ต้องพูดก็ได้ ยังไงฉันก็รู้ตัวดีว่าคนที่คุณนายรักที่สุดคือตัวฉันเอง”
“เอ่อ... ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณอาทั้งสองคุยกันไปก่อนนะคะ เดี๋ยวน้อยขอตัวเข้าไปครัวก่อน ใกล้เวลาอาหารเย็นแล้ว พออาวาวตื่นมาเห็นของชอบจะได้สดชื่น และอาจจะทำให้ทานยาตอนเย็นได้ง่ายขึ้น”
หญิงสาวรู้สึกประดักประเดิดที่จะนั่งฟังผู้ชายตัวโตทุ่มเถียงกันเหมือนเด็กๆ เลยลุกขึ้นขอตัวหลบฉากออกมาดีกว่า
“ทำเผื่อ ‘อาคุณ’ เขาอีกที่ด้วยนะยายน้อย” เตรวิชญ์ยังไม่เลิกทำหน้าทำตาล้อเลียน ‘อาคุณ’
คุณเศรษฐ์ยักไหล่ เขาไม่เห็นจะแคร์ ไอ้เต้มันอยากล้อเท่าไรก็ให้มันล้อไป ตอนนี้แค่ให้เขาได้เป็น ‘อาคุณ’ เหมือนอย่างที่ไอ้เพื่อนชั่วตรงหน้ามันเป็น ‘อาเต้’ ก็พอแล้ว
ส่วนอนาคตถ้าจะเป็น ‘อาคุณขา’ เพิ่ม เขาก็ยิ่งยินดี
“แล้วนั่นแกจะไปไหนวะ” เตรวิชญ์ยิ้มได้ไม่นานก็ต้องขมวดคิ้ว คงไม่ใช่ว่าเขาแหย่มันเยอะไปจนวันนี้ไอ้ดอกเตอร์สายโหดทนไม่ไหวหนีกลับบ้านก่อนที่จะได้เห็นหน้าหวานใจของเขาอย่างทุกทีหรอกนะ
“ไปในครัว”
“ไปในครัว ?”
เขาละอยากกระโดดเตะเพื่อนสักทีสองที เขาพูดผิดตรงไหน มันถึงได้ทำหน้าประหลาดขนาดนั้น
“คงไม่คิดว่าฉันกับแกจะนั่งอยู่ด้วยกันโดยที่ไม่มีวาวหรือคนอื่นอยู่ด้วยได้นานเกินสองนาทีหรอกใช่มั้ย ใครจะทนก็ทน แต่ขอโทษที ฉันเหม็นหน้าแกไม่เคยเปลี่ยน ขอเข้าไปคลุกควันอาหารในครัวยังจะดีซะกว่า”
“ตกลงอยากเข้าไปคลุกควัน หรือจะตามเข้าไปหาใครกันแน่วะไอ้ดอกเตอร์เศรษฐ์ บอกไว้ก่อนว่าหลานคนนี้ฉันรักมาก แล้วก็หวงมาก ถ้าแกกล้าทำรุ่มร่ามกับยายน้อยเมื่อไร คงได้เห็นดีกัน”
“ช่วยมองกันในแง่ดีนิดนึงก็ได้นะ หน้าฉันเหมือนพวกหื่นกามนักหรือไง ที่สำคัญหลานแกเหมือนเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ ฉันกลัวจะโดนข้อหาพรากผู้เยาว์ว่ะ แต่ถ้ารออีกสักปีสองปีให้โตเป็นสาวก่อน ตอนนั้นค่อยคิดก็ยังไม่สาย”
ดอกเตอร์หนุ่มพูดทิ้งท้ายไว้เท่านั้นก็เดินตัวปลิวเลี้ยวเข้าไปทางห้องครัวสบายใจเฉิบ
“ไม่ใช่นะคุณ ยายน้อยของวาวปีนี้ยี่สิบพอดี ทีแรกวาวกับเต้ก็คุยกันว่าจะให้ยายน้อยสอบเข้ามหา’ลัยตั้งแต่ตอนที่จบม.ปลายใหม่ๆ แต่ยายน้อยแกไม่ชอบ เลยขอเรียนเฉพาะด้านอีกปีครึ่ง ตอนนี้จบคลาสพอดี วาวเลยรับมาอยู่ด้วยกัน แต่หลานวาวเก่งนะ จบมาไม่นานก็ได้งานแล้ว”
เตรวิชญ์ส่ายหน้าแล้วยิ้ม ก่อนจะตักอาหารให้คนจ้อไม่หยุด
“แกอย่าเพิ่งรำคาญเมียฉันซะก่อนล่ะ หลายวันมานี้ใครมาที่บ้านก็เล่าให้เขาฟังไม่หยุดแบบนี้แหละ กำลังเห่อยายน้อยอย่างหนัก นี่เห็นบ่นๆ ว่าเพราะไม่ได้กลับบ้านมาสองสามปี ก็ช่วงที่บริษัทมีปัญหาเมื่อหลายปีก่อนนั่นแหละ พอตอนนี้ทุกอย่างฟื้นตัว กลับไปเจอหน้าหลานสาวเข้า ก็เอาแต่อวดคนโน้นคนนี้ว่าหลานสาวสวยอย่างนั้น น่ารักอย่างนี้ ถอดแบบมาจากเจ้าตัวเปี๊ยบๆ ปลื้มซะจนฉันจะเป็นหมาหัวเน่าอยู่แล้ว”
“แกก็ไม่ได้พูดน้อยไปกว่าวาวสักเท่าไรหรอกว่ะ” คุณเศรษฐ์ท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อน เหมือนกำลังให้ความสนใจอยู่กับสิ่งที่วาววิไลเล่าเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ของหลานสาว พร้อมกับเก็บข้อมูลไปเงียบๆ
“แหม จะจิกกัดฉันน่ะฉันไม่ว่าหรอกนะ แต่แกช่วยเงยหน้ามามองกันสักนิดก็ได้ กับข้าวมันไม่หนีไปไหนหรอก”
วาววิไลมองตามสิ่งที่สามีพูดก็เห็นว่าเป็นจริง
“หูย วันนี้คุณดูเจริญอาหารจริงๆ ด้วย ชอบเหรอ เดี๋ยววันหลังวาวจะให้ยายน้อยทำอีก ถ้าคุณมา”
ดาราตรีได้ยินเสียงดังเคร้งของช้อนที่กระทบกับจานกระเบื้อง เลยอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองคนที่ทำกระแอมกระไอหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบ ท่าทางคงกลัวเสียฟอร์ม
“เอ่อ... โทษที สงสัยเราคงหิวไปหน่อยยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เที่ยง ดูสิเผลอแป๊บเดียวหมดจานเลย”
“ไม่เป็นไรๆ วาวได้กินฝีมือยายน้อยอยู่ทุกวัน แบ่งคุณกินบ้างก็ได้ กับข้าวอย่างอื่นก็ยังเหลืออยู่อีกตั้งเยอะ คุณทานต่อเถอะอย่าเพิ่งอิ่มเลย เดี๋ยวยายน้อยแกจะเสียน้ำใจ วันนี้ทำกับข้าวเพิ่มตั้งหลายอย่าง” วาววิไลชี้ชวนให้เพื่อนมองอาหารจานอื่น “แล้วจานนี้คืออะไรเหรอยายน้อย ในครัวยังมีเหลืออีกมั้ย”
คุณเศรษฐ์ยิ่งทำหน้าไม่ถูกเข้าไปใหญ่ นี่เขาตะกละตะกลามจนถึงขั้นดูไม่ออกเชียวหรือว่าจานว่างๆ จานนั้นเคยเป็นอะไรมาก่อน
“กุ้งซอสมะขามค่ะอา แต่ในครัวไม่เหลือแล้วนะคะน้อยทำแค่จานเดียว ถ้ายังไงเหมือนในตู้เย็นจะยังมีกุ้งอยู่ เดี๋ยวน้อยไปทำเพิ่มให้ก็ได้ค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ น้อยไม่ต้องลำบาก แค่นี้อาก็อิ่มแล้ว”
เตรวิชญ์แทบจะสำลักข้าวที่อยู่ในปากจนพุ่งออกมากลางโต๊ะ เวลาแค่ชั่วโมงนิดๆ สองคนนี้ไปสนิทกันจนถึงขั้นไอ้ดอกเตอร์สายโหดพูดจาเสียงอ่อนเสียงหวาน จ๊ะๆ จ๋าๆ แล้วหรือนี่
“ใช่ๆ น้อยกินต่อเถอะ อาก็แค่ลองถามเผื่อดู” วาววิไลตักกับข้าวให้หลานสาวแล้วเลยไปตักใส่จานให้คุณเศรษฐ์ด้วยเหมือนกัน “วาวจำได้ว่าคุณชอบกับข้าวรสหวานๆ มิน่าถึงชอบกุ้งซอสมะขาม งั้นลองนี่ดู ไข่แดงลูกเขย รสหวานเหมือนกันไข่แดงเน้นๆ รับรองฝีมือหลานวาวอร่อยเหาะเกินคำบรรยายทุกจาน”
วาววิไลหันไปสบตากับสามีแล้วเล่าเรื่องของดาราตรีต่อไปเรื่อยๆ ทำเป็นไม่สนใจคุณเศรษฐ์ที่ทำเหมือนฟังนิ่งๆ ไม่ซักไม่ถาม ไม่สนใจ
... ไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ตนทำอยู่นี้มันจะดีหรือเปล่า แต่พอหันไปเจอสายตาของหลานรักที่ลอบมองชายหนุ่มที่นั่งตรงกันข้ามกันอยู่หลายครั้ง ก็ทำให้หล่อนตัดสินใจได้ว่า เมื่อเดินหน้าแล้วก็ต้องเดินต่อไป อย่าเพิ่งได้ย้อนหลังกลับเหมือนคนปอดแหกเป็นอันขาด
“เป็นยังไงบ้างยายน้อย ไหวมั้ย”
ดาราตรีรีบกำรูปที่อยู่ในมือแล้วเอาไปซ่อนไว้ด้านหลัง ก่อนจะสอดมันเข้าไปใต้หมอน ไม่คิดว่าคุณอาทั้งสองจะเข้ามาที่ห้องนอนของตนในเวลานี้ ท่าทางท่านคงร้อนใจน่าดู ขนาดประตูยังไม่ได้เคาะเหมือนทุกที
“อาขอโทษจ้ะ คิดว่าน้อยคงยังไม่นอนเลยผลุนผลันเข้ามา” พอเห็นหลานรักนั่งอยู่บนเตียงท่าทางเหมือนเตรียมตัวจะนอน กับอาการสะดุ้งน้อยๆ วาววิไลเลยต้องหันไปมองตัวช่วยอย่างสามี ซึ่งเขาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ใจคงอยากจะบอกว่า
‘ผมเตือนแล้วนะ’
“ไม่เป็นไรค่ะอา น้อยยังไม่ค่อยง่วงเลย งั้นอาเต้กับอาวาวนั่งก่อนนะคะ เดี๋ยวน้อยไปอุ่นนมก่อนนอนขึ้นมาให้”
ดาราตรีเตรียมผละออกไป แต่เป็นเตรวิชญ์ที่ห้ามไว้ซะก่อน
“ไม่ต้องๆ เรื่องแค่นี้ให้เด็กๆ มันทำเถอะ อาว่าน้อยอยู่ตอบคำถามของเมียอาดีกว่า ไม่งั้นคืนนี้คงมีคนนอนไม่หลับแน่ๆ... โอ๊ย !”
คนถูกว่ากระทบหยิกหมับเข้าที่แขนสามี ขนอยากยาวดีนักเลยถือโอกาสดึงติดมือมาซะกระจุกนึง รู้ทั้งรู้ว่าหล่อนกำลังลุ้นเรื่องอะไรอยู่ และถ้ามันสำเร็จทั้งหล่อนและเขานั่นแหละที่ควรจะดีใจและยินดีกว่าใคร ยังชอบมาชักใบให้เรือเสียอยู่เรื่อย
“คุณนี่ยังไง ก็ไหนตกลงกันแล้วนี่คะว่าจะไม่ขัดขวาง...” พอสามีขยับปากหล่อนก็รีบดักคอไว้ก่อน “ขัดคอก็ไม่ได้ค่ะ ที่สำคัญ คนที่เสนอเรื่องนี้ขึ้นมาก็เป็นความคิดของคุณทั้งนั้น ถ้าจะผิด ยายน้อยกับวาวสองคนขอแค่ครึ่งเดียว ส่วนที่เหลือคุณต้องรับไปทั้งหมด”
“อาวาวอย่าว่าอาเต้เลยค่ะ ที่จริงเรื่องนี้ไม่มีใครบังคับน้อยหรอก เป็นความสมัครใจของน้อยเอง”