บทที่ 12

1473 Words
ตั้งแต่ที่หล่อนได้ยินเรื่องราวของ ‘เขา’ ผ่านสายตาของคุณอาทั้งสอง ได้เห็นความลำบากใจและทุกข์ใจของผู้มีพระคุณ ก็เป็นหล่อนเองนี่แหละที่ตกปากรับคำคำขอร้องของคุณอา โดยที่แทบไม่ได้คิดให้ถี่ถ้วนด้วยซ้ำ ยิ่งได้เห็นรูปที่อาสาวไปหยิบมาให้ดู หล่อนยิ่งรู้สึกว่าความโกรธเกรี้ยวในดวงตาสิงโตคู่นั้น สมควรได้รับการเยียวยาและปลอบประโลมเสียที หล่อนขี้สงสาร ขี้เห็นใจน่ะใช่ แต่สำหรับดอกเตอร์คนนั้น มันไม่ใช่ทั้งหมด “ถ้าอาไม่เอาเรื่องทุกข์ใจกลับไปบ้านให้น้อยรู้ด้วย น้อยของอาก็คงไม่ต้องทำแบบนี้” “น้อยไม่เป็นอะไรเลยค่ะอา น้อยดีใจด้วยซ้ำที่เราหน้าเหมือนกัน ดีใจที่จะได้ตอบแทนบุญคุณของอาเต้กับอาวาวซะที” “ยังไงอาก็ต้องขอบใจน้อยอีกครั้งนะ มันผิดที่อาเอง ที่ทำให้เมียมีความสุขที่สุดไม่ได้ จนความรู้สึกผิดจากเรื่องของเราสองคนยังกัดกินหัวใจของผู้หญิงที่อารักมาตลอดหลายปี” เตรวิชญ์พูดไปลูบไหล่ภรรยาที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งไปด้วย ถ้าสมัยก่อนเขาไม่ไปหลงรักแฟนของเพื่อนรักจนหัวปักหัวปำ แม้พยายามจะตัดใจหลายครั้ง แต่ทุกครั้งกลับยิ่งถลำลึกลงไปมากกว่าเดิมจนเขายอมแพ้ และผิดที่ผู้หญิงคนนั้น หรือก็คือคนที่อยู่ในอ้อมกอดเขามาตลอดหลายปีคนนี้ ก็คิดเช่นเดียวกัน “น้อยยืนยันกับอาทั้งสองอีกครั้งนะคะ ว่าน้อยเต็มใจ น้อยสงสารผู้ชายคนนั้น บางทีมันอาจจะมากกว่าความสงสารเห็นใจ แต่ถ้าน้อยรีบบอกออกไปตอนนี้ ตอนที่เพิ่งเคยเห็นหน้าเขาจริงๆ แค่ไม่กี่ชั่วโมง อาๆ คงจะคิดว่ามันเป็นความหลง ขอเวลาน้อยอีกหน่อย ถ้าสุดท้ายแล้วน้อยทำไม่สำเร็จ หรือน้อยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความรักที่มั่นคงของผู้ชายคนนั้นได้ ไม่สามารถช่วยเขาออกมาจากอดีตได้ น้อยจะเป็นคนบอกอาๆ เองค่ะ” ดาราตรีเดินเข้าไปหาผู้มีพระคุณทั้งสองพร้อมยกมือไหว้ “น้อยรู้ว่าทั้งอาเต้แล้วก็อาวาวเป็นทุกข์กับเรื่องนี้มานาน ปล่อยให้มันเป็นหน้าที่ของน้อย ขอให้น้อยได้ทดแทนบุญคุณของคุณอาทั้งสองที่ได้ช่วยเหลือน้อยและครอบครัวไว้อย่างมากมายนะคะ หากไม่มีคุณอา...” วาววิไลลุกขึ้นลูบผมหลานสาวและดึงเข้ามากอดทั้งที่น้ำตาเริ่มซึมขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ไม่อยากจะให้ดาราตรีรื้อฟื้นเรื่องในอดีตอีก หล่อนรู้ว่ามันเป็นแผลลึกของเด็กสาวที่โตขึ้นมาท่ามกลางความสุข ความรัก โลกของ ดาราตรีสดใสสว่าง แต่วันหนึ่งทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป แม้จะเป็นอาเป็นหลานกัน แต่ด้วยความที่อายุของหล่อนกับดาราตรีห่างกันไม่มากนัก ทำให้ช่วงหนึ่งหล่อนเองก็ได้เลี้ยงดูอุ้มชูหลานคนนี้มาหลายปี จนเดินเตาะแตะเข้าอนุบาลได้นั่นแหละ หล่อนถึงย้ายเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ดาราตรีเป็นเด็กอ่อนโยน ขี้เอาอกเอาใจผู้ใหญ่ แต่บางครั้งก็เข้มแข็งเหลือเกิน ตั้งแต่เกิดมาหล่อนเห็นหลานชอบยิ้ม หัวเราะ มากกว่าจะชอบร้องไห้ ชอบยิ้มหวานๆ ให้ จนทุกคนทั้งรักทั้งหลง แต่พอถึงคราวที่เจ็บตัวกลับไม่ร้องไห้ออกมาสักแอะ เด็กตัวเท่านั้นจะไปรู้ความอะไร พอโตขึ้นมาหลานถึงบอกว่า เพราะไม่อยากเห็นพ่อกับแม่เป็นห่วง ไม่อยากเห็นพวกท่านไม่สบายใจ เลยเลือกที่จะไม่ร้องไห้ให้ใครเห็น แต่วันนั้นหล่อนกลับได้เห็นน้ำตาของหลานรัก วันที่กิจการของครอบครัวล้ม เหลือแต่หนี้สิน และเจ้าหนี้หน้าเลือดบางรายที่เป็นเพื่อนบ้านรู้จักกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตาทวด กลับซ้ำเติมและโกรธแค้นกัน เพราะคิดว่าลูกหนี้จะเบี้ยว พี่ชายของหล่อนที่เคยเข้มแข็งและเป็นเสาหลักของทุกคน คนที่ถ่ายทอดสายเลือดเข้มข้นเด็ดเดี่ยวนี้ให้ดาราตรี แทบล้มทั้งยืน และมาล้มเอาจริงๆ ก็ตอนที่มีใครสักคนมาวางเพลิงเผาทุกอย่างจนวอด โบราณว่าโจรขึ้นบ้านสิบครั้งยังไม่เท่าไฟไหม้ครั้งเดียว บ้านหน้าจั่วเรือนไทยสมบัติของตระกูลเหลือแค่เถ้าถ่าน เสื้อผ้าสักชิ้นคนในบ้านยังเอาออกมาไม่ทัน ดีที่ทุกคนวิ่งหนีเอาชีวิตรอดออกมาได้ แทนที่เจ้าหนี้ทั้งหลายจะสงสารหรือเวทนากันบ้าง ครอบครัวพี่ชายของหล่อนกลับไม่เคยได้รับความเห็นใจนั้น วันรุ่งขึ้นทุกอย่างถูกเจ้าหนี้มาเอาไปจนหมด ข้าวของเครื่องไม้เครื่องมือทำสวนที่อยู่ในโรงเก็บ ถูกรุมทึ้งแย่งกันเหมือนห่าลง แม้แต่รถที่จะพาพี่สะใภ้ไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาชีวิตน้อยๆ ที่อยู่ในท้อง ทั้งที่อีกไม่กี่เดือนหลานอีกคนของหล่อนก็จะได้ลืมตาดูโลกแล้ว ก็ไม่มี พี่สะใภ้เกือบตกเลือดจนตาย พี่ชายเอาแต่โทษตัวเองจนจะตายตามลูกไปอีกคน ถ้าไม่สลบจนต้องนอนโรงพยาบาลคู่กับภรรยา ดาราตรีที่วัยเพียงสิบสี่ต้องมาเจอสภาพแบบนั้น หลานขึ้นรถมากรุงเทพฯ เพื่อขอให้หล่อนกับสามีไปช่วยพ่อกับแม่ ในอ้อมแขนกอดกระปุกออมสินกับกำกระดาษที่จดเลขที่บ้านหลังนี้ ยืนร้องไห้อยู่หน้าบ้านเหมือนเด็กหลงทาง เอาแต่พูดว่าพ่อจะตาย แม่จะตาย อาช่วยน้อยด้วย ตั้งแต่เล็กจนโต หล่อนก็เหมือนเด็กผู้หญิงทั่วไปที่ไม่มีความรู้เรื่องธุรกิจเลย กิจการของครอบครัวหล่อนรู้แค่ว่าขายอะไร แต่มากกว่านั้นหล่อนก็ไม่รู้แล้ว พี่ชายถึงรับช่วงต่อทั้งหมดอยู่คนเดียว ตอนนั้นถ้าหล่อนรู้อะไรสักนิด รู้ว่ากิจการที่บ้านมีปัญหา รู้ว่าแค่ไม่กี่วันจะเกิดเรื่องขนาดนี้ หรือถ้าพี่ชายยอมขอความช่วยเหลือ ยอมบอกกันสักคำ เรื่องราวน่าเศร้าอย่างวันนั้นคงไม่เกิดขึ้น ผ้าสีขาวบริสุทธิ์อย่างดาราตรีคงไม่กลายเป็นสีเทาหม่นอย่างทุกวันนี้ ... ไม่ต้องมีใครบอก หล่อนก็รู้ว่าเหตุการณ์เลวร้ายครั้งนั้นยังไม่ได้เลือนหายไปจากความทรงจำของหลานสาวตามกาลเวลา “แล้วน้อยว่าเพื่อนอาเป็นยังไงบ้างล่ะ พอจะรักมันลงมั้ย” เตรวิชญ์โพล่งขึ้น ตั้งใจจะทำลายบรรยากาศอึมครึม วาววิไลช้อนตาขึ้นมองสามีที่ตัวสูงอย่างกับเสาไฟเคลื่อนที่ อยากจะหยิกเข้าให้อีกสักหมับ “เต้นี่ หลานวาวเป็นผู้หญิงนะ มาถามกันตรงๆ แบบนี้ ยายน้อยของวาวก็อายแย่สิ” “อายก็ต้องบอกให้ชัด ถ้ารักถ้าชอบมัน อาก็จะได้วางใจ ปลูกเรือนยังไงก็ต้องตามใจผู้อยู่อาศัย” เขารักดาราตรีเหมือนหลานของตัวเอง ถ้าแค่หญิงสาวบอกมาคำเดียวว่าคิดผิด หรือไม่มีวันรักไม่มีวันชอบผู้ชายที่แก่กว่าตนเองถึงสิบห้าปี เขาจะยกเลิกเรื่องบ้าๆ พวกนี้ทันที ดาราตรีหัวเราะเสียงใส เข้าใจถึงเจตนารมณ์ของคุณอาหนุ่มเป็นอย่างดี “ไม่อายหรอกค่ะ จะมีคนรักทั้งที ถ้าเรื่องแค่นี้ไม่กล้าพูด จะเอาความกล้าที่ไหนไปชนะใจผู้ชายอย่างดอกเตอร์เศรษฐ์ได้ล่ะคะ” เตรวิชญ์ตบหน้าขาตัวเองดังฉาด “ให้มันได้อย่างนี้สิหลานอา แต่อย่าเผลอไปเรียกแบบนี้ให้เจ้าตัวมันได้ยินล่ะ เดี๋ยวจะถูกเหวี่ยงเอา ดูท่าไอ้ดอกเตอร์มันจะเข้าวัยทองไวกว่าคนอื่นซะด้วย” “ตกลงพอได้ใช่มั้ย อาละยังกลัวๆ ว่าน้อยจะมีปัญหากับอายุของเพื่อนอาหรือเปล่า แต่เชื่ออาเถอะ ผู้ชายน่ะก็เหมือนขิง ยิ่งแก่ยิ่งดี” ไม่ใช่แค่เรื่องของวัยหรอกที่วาววิไลกังวล รสนิยม ความชอบ ความคิด ที่คนต่างวัยจะต้องมองต่างกัน แต่พอเห็นหน้าหลานสาวแดงระเรื่อ ก็เบาใจ หล่อนมองไม่ผิด ดาราตรีมีใจให้คุณเศรษฐ์ตั้งแต่ที่หล่อนเอารูปให้ดูแล้ว คนอย่างคุณเศรษฐ์ไม่ใช่ผู้ชายที่ผู้หญิงทั้งโลกจะปฏิเสธได้ ถ้าหล่อนไม่ได้ปักใจรักอยู่ที่เตรวิชญ์ ก็คงไม่ประชดสามีด้วยการไปคบกับคุณเศรษฐ์เพื่อให้เขาเลิกฟอร์มจัด เลิกปากหนักสักที แต่ถ้าตอนนั้นใจของหล่อนไม่มี เตรวิชญ์ หล่อนก็คงจะเลือกรักคุณเศรษฐ์ได้ไม่ยาก... แต่ขึ้นชื่อว่าความรัก ก็มักจะเล่นตลกกับคนเราอย่างนี้แหละ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD