เสียงดีดพิณผาจบลงหากแต่การแสดงยังคงดำเนินต่อ เมื่อชุดที่นางสวมใส่ไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมาย เพราะสิ่งที่นางต้องการคือสตรีที่น่าทะนุถนอม ที่มากความสามารถ หากแต่ชุดที่นางเข้าไปเปลี่ยนและสวมออกมาแสดงกลับทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความร้อนแรง
สีแดงเพลิงตัดขอบเลื่อมทอง ปักลวดลายดอกเหลียนฮวาตามตัว ทั้งหน้ากากลายนกยูงสีทองปกปิดดวงตา และช่วงแก้มลงมาถึงคางมน ทางปลายหางนกยูงยกสูงขึ้นทางศีรษะ กอปรกับเครื่องประดับศีรษะเข้ากับชุดหน้ากากยิ่งทำให้คนรู้สึกว่าสตรีนางนี้น่าค้นหาและสง่างาม
ท่วงท่ายามโยกย้ายตัวทำให้บรรดาชายหนุ่มเกิดความกำหนัด หนึ่งในสตรีของหอเป็นผู้บรรเลงบทเพลง แต่โสตประสาทมิได้อยู่ที่ดนตรี เพราะสายตาจับจ้องเรียวขา แขนเสลา เอวคอดและทรวงอกที่ล่อตาล่อใจบรรดาเสือสิงห์ที่พร้อมจะยอมควักเงินในกระเป๋าหากนางแค่เปิดปากว่าต้องการ
จุดประสงค์ของนางหาใช่บุรุษเหล่านี้แต่เป็นโต๊ะหนึ่งที่มีบรรดาสาวงามคอยบีบนวดเอาใจ หนิงไช่กวงคุณชายใหญ่ของบ้านสายหลักที่จะเป็นผู้ครอบครองสมบัติตระกูลหนิงในอนาคต ผู้นั้นคือคนที่นางมุ่งเป้าเพื่อให้เขาสนใจ
มือนางที่ควรร่ายรำกลับลูบไล้เลื่อนจากไหล่ด้านหลังอ้อมมาทางด้านหน้าแผงอกของบุรุษรูปงามนายหนึ่งหากแต่สายตาส่งผ่านไปอีกทาง จนเขาเผลอเม้มปากตนเอง
ด้านชายที่ถูกลูบไล้แค่เขาถูกนางสัมผัสมีหรือจะสนใจ เพราะแค่การกระทำของนางก็สร้างความสั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์ จวบจนเสียงพิณใกล้จบ นางร่ายรำไปลานสำหรับแสดงและใช้ท่าจบอย่างงดงามทว่าหน้ากากไม่ถูกเจ้าของเผยหน้าที่แท้จริง
นางเข้าใจว่าผู้ชมล้วนผิดหวัง แทนที่นางจะเปิดใบหน้าหลังจบการร่ายรำ มุมปากยกยิ้มก่อนเอ่ยถ้อยวจี "วันนี้ข้าน้อยจื้อซิ่งเหมี่ยนตั้งใจจะเปิดหน้าแสดง เพียงแต่การเปิดหน้าเผยโฉมให้ทุกท่านชมเสียเลยคงไม่สนุกเท่าใดนัก เพราะหอของเราคือสร้างความบันเทิงใจให้ทุกท่าน ยามออกจากหอก็อยากให้กลับไปด้วยรอยยิ้ม ข้าน้อยจึงมีความคิดที่จะให้ใครสักคนเป็นผู้รับสิทธิ์เปิดหน้ากากของข้าด้วยตัวเอง รวมทั้งคืนนี้ในห้องจะมีเหล่าสาวงามปรนนิบัติ ทุกท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ”ประโยคที่ว่า 'คืนนี้ในห้องจะมีเหล่าสาวงามปรนนิบัติ' นางเน้นให้ทุกคนได้ยินชัดเจน
เมื่อเสียงนางหยุดลงพร้อมกับเสียงฮือฮาดังขึ้นระลอกหนึ่ง เพราะทุกคนย่อมถูกใจกับความคิดของนางทั้งต้องการให้ตนสามารถเป็นผู้เปิดหน้ากากลายนกยูงบนใบหน้าสตรีผู้โดดเด่นด้วยมือของตนเอง แต่สุดท้ายความต้องการก็นำมาซึ่งความโกลาหลเมื่อทุกคนต่างอยากได้โอกาสนี้กันทั้งนั้น
"แล้วจะให้ทำอย่างไร ในเมื่อทุกคนต่างก็อยากจะเปิดหน้ากากของนางด้วยกันทั้งนั้น" บุรุษผู้หนึ่งในหอนางโลมเอ่ยขึ้น
"นั่นสิเจ้าคะ ข้าน้อยก็คิดไม่ออกเจ้าคะ"
"ข้าเสนอเอง" หนิงไช่กวงลุกขึ้นยืนเสนอออกมาด้วยรอยยิ้ม
เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นในระยะไม่ไกล "อย่างไรหรือคุณชายหนิง? "
"หนึ่งหมื่นตำลึงให้ข้าเป็นผู้เปิด เพราะอย่างไรทุกคนก็ได้เห็นหน้าของแม่นางจื้ออยู่แล้ว ใครเปิดก็เหมือนกันแต่จะมีใครกล้าจ่ายเหมือนข้า ก็ว่ามา" ทุกคนต่างมองสีหน้าของกันและกัน สลับกับมองไปที่หนิงไช่กวง บางคนย่อมไม่พอใจกับความคิดเช่นนี้ เพราะแต่ละคนล้วนต้องการโอกาสเพราะนอกจากจะได้ใกล้ชิดสาวงาม ยังมีสตรีนอนรอปรนนิบัติ
แต่ข้อเสนอที่หนิงไช่กวงเสนอออกมาเป็นการปิดกั้นทุกคน เขาช่างใจแคบนัก แต่ใครบ้างจะยอมทุ่มเงินมากมายเช่นนั้นเพียงแค่เปิดหน้ากากสตรีหอนางโลม
บางคนก็ยินดีกับความคิดนี้ ประการหนึ่งคือใดๆ ในโลกที่ได้ชมความงาม แค่ไม่เสียเงินจ่ายล้วนยินดี พวกที่มีความคิดนี้ล้วนยินดีในข้อเสนอ ต่างสนับสนุนออกมาแต่เมื่อมีคนสนับสนุนล้วนมีคนทักท้วงเป็นธรรมดา แต่ต้องพ่ายแพ้เพราะจำนวนเงินที่หนิงไช่กวงเสนอมานั้นไม่คุ้มนัก
ทว่าคนที่รู้สึกสนุกกับเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงจื้อซิ่งเหมี่ยนคนเดียว เขายืนอยู่มุมหนึ่งไม่ได้เสนอความคิดใดๆ เพียงเห็นว่าสตรีที่มีแผนเจ้าเล่ห์เพื่อทำให้ตนถูกยื้อแย้งมีแววตาขบขันกับการกระทำของผู้อื่น เขาก็ขอลงไปเล่นสนุกในหมากของนางด้วยดีกว่า
"ดี! ข้าก็ว่าอย่างที่คุณชายรูปงามเสนอมาเป็นความคิดที่ไม่เลวเลยทีเดียว ท่านเริ่มที่หนึ่งพันตำลึงข้าขอเพิ่มหนึ่งหมื่นสองร้อยตำลึง" บุรุษที่เข้ามาภายในห้องของจื้อซิ่งเหมี่ยนเดินออกจากมุมนั้น ด้วยใบหน้าท้าทาย ทำให้นางต้องหันกายไปมอง นางเผลอที่ถลึงตาใส่เขาทั้งที่ยังมีหน้ากากปกปิดครึ่งซีก ในใจสบถก่นด่าว่าเขาจะเสนอทำไมเพราะเขาก็ได้เห็นใบหน้าของนางแล้ว และดูเหมือนเขาจะรู้ว่านางคิดอะไร แต่ไม่คำใดๆ เพียงแต่ทำให้เรื่องนี้ดำเนินไปตามที่นางต้องการ
"ทำไม? หรือคุณชายหนิงผู้สืบทอดโรงทอผ้าที่ดีที่สุดของแคว้นนี้จะไม่กล้าสู้ราคาเพื่อชมหยกงาม ใครรู้คงอายน่าดู" เขาเอ่ยวาจาท้าทายหนิงไช่กวง จนอีกฝ่ายหรี่ตามองบุรุษที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ใครว่าเขาไม่กล้ากัน
"ได้! หนึ่งหมื่นห้าพันตำลึง" ไช่กวงเอ่ยพร้อมสายตาท้าทายกลับ ให้คู่ต่อสู้รู้ว่าเขาไม่มีทางแพ้ เหมือนกับกิจการโรงทอผ้าที่คนในตระกูลหนิงไม่เคยแพ้ใคร
"หนึ่งหมื่นหกพันตำลึง"
"หนึ่งหมื่นเจ็ดพันตำลึง!"
"หึ!ดูท่าคุณชายจะร่ำรวยจริงดังคำเล่าลือ สองหมื่นตำลึง" เขากล่าวจบก็นั่งตรงเก้าอี้ที่ใกล้ที่สุด เสี่ยวเอ้อร์ทางร้านรีบกุลีกุจอให้บริการแขกกระเป๋าหนักทันที
"ห้าหมื่นตำลึง!" สิ้นเสียงคำของหนิงไช่กวง ทุกคนที่อยู่ภายในหอก็ต่างตะลึง ด้านจื้อซิ่งเหมี่ยนมิได้แสดงท่าดีอกดีใจแต่อย่างใด นางแค่มองหนิงไช่กวงนิ่งภายใต้หน้ากากที่ปิดอยู่ หากแต่ชายคู่แข่งลุกขึ้นปรบมือให้หนิงไช่กวงราวกับตนเองเป็นผู้ได้รับเงินในส่วนนี้ด้วย
"ข้าคงไม่อาจสู้บุรุษรูปงามตระกูลหนิงเป็นแน่ ข้ายอมแพ้ เชิญคุณชายเปิดหน้ากากแม่สาวงามของหอนี้เถิด" หนิงไช่กวงยกมุมปากด้วยความลำพองใจ ใครในเมืองนี้ต่างก็รู้ว่าเขาเป็นใคร เงินหรือ? ใครจะสู้ได้ เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้ปัดชุดให้ดูเรียบร้อย และสืบเท้าไปยังลานการแสดงแต่ต้องชะงักเท้าเมื่อคำกล่าวเอ่ยขึ้น
"เงินยังไม่จ่าย เหตุใดรีบเปิดเสียแล้ว ใครต่อใครในที่นี่ทราบดีว่าคนตระกูลหนิงทำการค้ายุติธรรม ห้าหมื่นตำลึงทองคงไม่ใช่แค่ลมปากกระมังคุณชาย" ห้าหมื่นตำลึงทองทำให้หนิงไช่กวงมีรอยยิ้มค้าง แอบลอบกลืนน้ำลายลงคอ นึกก่นด่าตนเองในใจว่าเสียรู้ชายผู้นั้นเสียแล้ว แต่คนอย่างเขาเสียเงินได้แต่ไม่ยอมเสียหน้าเด็ดขาด ก็แค่ห้าหมื่นตำลึงทอง
"ใครว่าข้าไม่จ่าย เพียงแต่เงินจำนวนนี้มากไปต้องไปกลับไปยังจวนก่อน"
"เช่นนั้นก็ต้องให้ทุกคนเป็นสักขีพยาน เงินมาวางตรงหน้าสาวงามเมื่อใด ท่านถึงมีสิทธิ์เปิดหน้ากากบนใบหน้าสาวงามด้วยมือท่านเอง ทั้งยังเป็นการยืนยันได้อีกว่าคนสกุลหนิงทำการค้าย่อมมาซึ่งความยุติธรรม จริงไหมทุกคน? " คำกล่าวนี้แท้จริงแล้วเขาอยากจะเอ่ยว่าตระกูลหนิงร่ำรวยจริง ก็จงนำเงินที่เขามาถลุงเล่นให้คนอื่นได้เห็นกับตา แต่มีหรือจะกล่าว จึงเบนคำพูดไปในเรื่องการค้า
เสียงผู้คนโดยรอบดังเซ็งแซ่ สนับสนุนคำพูดของชายที่เข้ามาหาความสุขเหมือนๆ กับตน หนิงไช่กวงรู้สึกเสียหน้าจึงสั่งให้คนสนิทกลับไปที่จวนนำเงินห้าหมื่นตำลึงทอง ส่วนปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายในจวนเขาค่อยคิดหาทางจัดการภายหลัง
"คุณชายหนิงเป็นลูกค้าของหอเรามานาน จริงๆ แล้วไม่ต้องลำบากก็ได้นะเจ้าคะ เพราะถึงอย่างไรข้าน้อยก็เจตนาจะเปิดหน้ากากอยู่แล้ว" จื้อซิ่งเหมี่ยนที่เงียบมานานจำต้องไกล่เกลี่ย เพราะจริงๆ นางแค่จะให้หนิงไช่กวงหลงใหลนาง เรื่องเงินไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
"ใช่! เช่นนั้นข้าเปิดเลยแล้วกัน" เขาเห็นด้วยกับความคิด เพราะอย่างไรนางก็ตั้งใจจะเปิดหน้ากากอยู่แล้ว เผลอๆ เงินสักแดงไม่ต้องจ่ายเลยก็เป็นได้
"ได้อย่างไรกัน แม่นางจื้อออกจะงดงามพิสุทธิ์เช่นนี้ อนึ่ง...นี่คือศักดิ์ศรีของบุรุษเชียวนะ จริงไหมคุณชายหนิง" เขาหันไปมองอีกฝ่ายด้วยแววตาบังคับ เพื่อให้รีบสนับสนุนวาจาของ และสร้างแรงกดดันเพื่อให้หนิงไช่กวงรู้ว่าหากเขาไม่นำเงินจำนวนห้าหมื่นตำลึงทองมาดังคำที่ลั่นวาจา ศักดิ์ศรีของบุรุษเช่นเขาต้องดับมอดในชั่วข้ามคืน
"ใช่ แต่ว่า...คุณชายท่านนี้รู้จักนามข้า แต่ข้ายังไม่รู้จักแม้แต่นามท่าน"
"ชื่อแซ่ของข้า? เฮ้อ... เราทั้งสองหาใช่จะคบหากันเป็นสหาย ข้าคงไม่จำเป็นต้องบอก แต่อีกไม่นานคุณชายก็จะรู้เอง ด้วยความสามารถของคุณชายคงไม่ยากเกินความสามารถกระมัง"
หนิงไช่กวงรู้สึกเสียหน้า แต่ก็ไม่อาจจะเอ่ยคำอะไรมากกว่านี้ จึงหันไปสนทนากับจื้อซิ่งเหมี่ยน
"แม่นางจื้อ ระหว่างรอคนของข้าไปนำเงินมา เจ้าก็นั่งเป็นเพื่อนข้าที่โต๊ะจะได้หรือไม่"
"หากคุณชายหนิงไม่รังเกียจสตรีเช่นข้า ไยข้าจะรังเกียจคุณชายเล่า"
"ไม่ได้!" เสียงเอ่ยแทรกออกมา ทำให้หนิงไช่กวงชักสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที ชายผู้นี้ชักกำเริบมากขึ้น แต่เขาไม่ยี่หระต่อสายตา
"ข้าเพียงแค่รักษาประโยชน์ของแม่นางท่านนี้ หากพวกท่านแยกไปนั่งหลบมุมเงื่อนไขเมื่อครู่ก็ถือว่าเป็นโมฆะ เพราะคุณชายหนิงและแม่นางคนงามอาจเผลอเปิดหน้ากากออกมาก่อนที่เงินจะกองตรงหน้า" สิ้นคำทุกคนต่างเห็นด้วย นางยิ้มตอบรับเสียมิได้ จำต้องทำตามลูกน้องของเฟิ่งไห่ แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงของนางคือจะให้หนิงไช่กวงจัดการบางอย่าง