จัดการ6

2245 Words
ทางด้านสองแม่ลูกตระกูลกู้ ไม่ต้องรอให้คนที่จ้างวานมารายงานแต่อย่างใด เสียงเล่าขานว่าเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นหน้าหอหอมหมื่นลี้ก็เข้าหูพวกนางทั้งสอง ทว่าเนื้อความที่พวกนางต้องการได้ยินกลับไม่ใช่จื้อซิ่งเหมี่ยน แต่กลับเป็นคนที่จื้อเหม่ยลี่จ้างวาน แต่ดีที่ว่าพวกนั้นได้จบชีวิตของตนเองเสียก่อน มิเช่นนั้นวาจาของพวกนั้นนางก็ไม่คิดว่าจะเอาตัวเองออกมาจากการพัวพันในคดีได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่านางกลัวสองแม่ลูกนั้น แต่เป็นเพราะว่าพวกเจ้าโง่ที่นางไหว้วานไม่คิดให้รอบคอบการลงมือ แทนที่ชายที่นางแพศยา จื้อซิ่งเหมี่ยนพลอดรักนั้นจะเป็นชายอื่นทั่วไปที่จ่ายเงินหวังร่วมอภิรมณ์คาวโลกีย์ แต่กลับกลายเป็นเหนียนอ๋อง ที่เกือบจะทิ้งชีวิตไว้ที่หอนั้น และเป็นไปได้ว่าความถึงพระเนตรพระกรรณเมื่อใด ก็อย่าหวังว่าจะมีใครช่วยเหลือตระกูลกู้ได้ แม้แต่ฮองเฮาที่ให้การหนุนหลังสามีตนก็ยากที่จะยื่นมือเข้ามาช่วย “แล้วเราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ ท่านแม่” กู้หรูอวี้ที่ดูลุกลี้ลุกลนมากกว่ามารดาเอ่ยถามด้วยความกลัว “ช่วงนี้เราอยู่เฉยๆ ถือว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเรา” “แต่...ท่านแม่ เหนียนอ๋องอยู่ที่นั่นด้วย” “แล้วอย่างไร? เราแค่ปฏิเสธว่าไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนี้ จำไว้ ถ้าเจ้ายังคงพูดหรือระลึกถึงเรื่องนี้อยู่ เจ้าก็จงจำไว้ว่าเราก็หนีไม่พ้นประตูมรณะ” ประโยคเดียวที่มารดาเอ่ยทำให้กู้หรูอวี้ข่มความกลัว และพูดกับตนเองว่านางไม่รู้ไม่เห็นใดๆ กับเรื่องนี้ เวลาย่ำรุ่งในสวนบุปผชาติของอุทยานหลวง ไร้ซึ่งเหล่าสนมมาเดินชมหมู่แมกไม้ หากเพราะมีคำสั่งว่าฮองเฮามิต้องการพบเห็นสนมคนใดเดินป้วนเปี้ยนให้ระคายพระเนตร "ข้าอยากได้ยินจากปากเจ้า ใต้เท้ากู้" เขาคลายมือออกและพยายามปรับสีหน้าเล็กน้อย ทว่าอุ้งมือเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อเย็น เพียงเพราะการกระทำของสองแม่ลูกทำให้เขารู้สึกถึงความอัปยศ มิหนำซ้ำฮองเฮายังเค้นเอาความจริงจากปากเขาเมื่อกงกงนำความบางอย่างมาเล่าทุกอย่างก็เปลี่ยนไป “ท่านพ่อ เหนียนอ๋องคือบุรุษที่ดีที่สุดในแคว้น ใครๆ ก็ต่างเห็นข้ากับท่านอ๋องไปมาหาสู่ ไม่แน่ว่าเขาก็อาจมีใจเช่นเดียวกับข้า” กู้ไต้ฝู่ยังไม่เอ่ย นางยิ่งร้อนรน เอ่ยเสียงแข็งขึ้นอีกครั้ง “หากข้าไม่ได้แต่งกับเขา ข้าก็ไม่แต่งกับใคร นะเจ้าคะ...หากท่านไม่ช่วยข้า ข้าก็จะบอกความลับของท่านพ่อกับสาวใช้ของข้า รวมทั้งสตรีนางอื่นที่ท่านพ่อพาพวกนางขึ้นเตียง” “เจ้า!” “ท่านพ่อ ข้าชอบเหนียนอ๋องจริงๆ นะเจ้าคะ ท่านคิดดูสิเจ้าคะ เหนียนอ๋องทั้งเก่ง ชาญฉลาด ภายหน้าไม่แน่ว่าบัลลังก์อาจเป็นของเหนียนอ๋องก็เป็นได้” “เจ้าคิดว่าการขอพระราชทานเสกสมรสมันง่ายนักหรือ” “ข้าถามไม่ได้ยินหรือ?” ฮองเฮาตวาดเสียงดังลั่น จนเขาหลุดจากภวังค์ความคิด มาเผชิญหน้ากับสตรีของแผ่นดิน "คะ..คือ เหนียนอ๋อง" เขาจะตอบได้อย่างไรกันว่าแท้ที่จริง บุตรีต้องการแต่งให้กับเหนียนอ๋อง หากวัดน้ำหนักกันแล้ว บัดนี้เขามีความสำคัญกับราชสำนักมากเสียกว่าองค์รัชทายาท แต่ตัวเขาก็ไม่ต้องการที่จะผิดใจกับฮองเฮา ฮองเฮาทำเสียงขึ้นจมูก น้ำเสียงเยาะเย้ย "เหนียนอ๋องก็แค่อาศัยว่าตนเองมีกลุ่มอำนาจทางทหารคอยหนุนหลัง ฝ่าบาทจะทรงเมินเฉยต่อเขามิได้ เจ้านึกว่าฝ่าบาทจะทรงปล่อยให้เหนียนอ๋องที่เป็นโอรสของอดีตฮองเฮา และบัดนี้กลายเป็นภรรยาของศัตรูขึ้นมามีอำนาจในแคว้นเช่นนั้นหรือ? ถ้าเขาจะมีอำนาจจริงก็คงมีไปนานแล้ว ไหนเลยต้องรอจนบัดนี้" กู้ไต้ฝู่ได้ยินคำของฮองเฮาแล้วอดมองอีกฝ่ายหนึ่งแวบหนึ่งไม่ได้ ใช่ว่าตัวเขาจะไม่เข้าใจการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในราชสำนัก "หากเป็นเช่นนี้กระหม่อมต้องขอบพระทัยฮองเฮาที่ชี้แนะ กระหม่อมไม่น่าที่จะเชื่อฟังคำยุยงของเหล่าขุนนางอื่น" "เจ้าคงไม่ได้หมายความว่าเจ้าฟังคำยุยงส่งเสริมของฟ่านอ้วนเสี้ยวบิดาของฟ่านกุ้ยเฟย" ฮองเฮาหมายถึงขุนนางผู้หนึ่งที่รั้ง ตำแหน่งสมุหกลาโหมทั้งยังเป็นบิดาของฟ่านกุ้ยเฟย สนมของฮ่องเต้ เขาจะตอบเช่นไรดี ตัวเขาได้ก่อคลื่นลมขึ้นแล้ว "ว่าไงใต้เท้ากู้ ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากให้บุตรสาวแต่งเองแล้วเที่ยวโยนความผิดให้กับผู้อื่น” นางยิ้มหยันเมื่อรู้ว่าเรื่องราวเป็นเช่นไร "ได้ยินว่าบุตรีของสกุลกู้มีกิตติศักดิ์เก่งกาจตั้งแต่ยังเยาว์วัย ผู้คนพวกแคว้นเอ่ยชมว่าเป็นสตรีที่ช่ำชองทั้งเรื่องโคลงกลอนและร่ายรำ ไม่รู้ว่าใต้เท้ากู้จะยอมลดเกียรติของบุตรสาวมาแสดงร่ายรำในงานชม บุปผาที่ข้าจะจัดขึ้นในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้าหรือไม่" กู้ไต้ฝู่มองดูพฤกษชาตินานาพรรณที่บานสะพรั่งในอุทยานหลวงสลับกับฮองเฮาที่ยกนิ้วขึ้นมาสำรวจปลายเล็บแหลมคม ประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวแดงสลับกัน "เอ่อ...กระหม่อมจะนำข่าวที่น่ายินดีนี้ไปแจ้งแก่หรูอวี้เพื่อทำการซักซ้อมพ่ะย่ะค่ะ" "ดี! ข้าจะรอชม" เขารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ ไม่รู้ว่าจะขอความช่วยเหลือจากผู้ใด งานชมบุปผาคือการหาสนมให้ฮ่องเต้หรือบรรดาเหล่าราชนิกุล บรรดาขุนนางน้อยใหญ่ต่างหวังปีนป่ายเพื่อฐานะของตระกูลกันทั้งนั้น ด้านกู้หรูอวี้บุตรีของเขานั้น แต่เดิมเขาไม่เคยหวังที่จะส่งนางเข้าวังเพื่อไต่เต้า เพราะรู้พื้นนิสัยเดิมของนางที่มิเคยเอาใจผู้ใดหากไม่ชื่นชอบ แต่เขายังคงปลอบใจตัวเองว่าหากฝ่าบาทไม่ทรงสนพระทัยอย่างน้อยก็ยังเหลือแต่องค์รัชทายาทที่ยังพอพาตระกูลเขาอยู่รอดแต่นางต้องผ่านกี่ด่านกัน เพราะลำพังสตรีในวังของรัชทายาทก็มากมายยิ่ง ดีไม่ดีนางอาจจะถูกนางสนมคนอื่นๆ เล่นงานเสียก่อนถวายตัว "ไม่คิดว่าจะได้เจอเจ้าที่นี่" ฮองเฮาหันพระพักตร์ไปตามเสียงเห็นฮ่องเต้เดินตรงเข้ามา โดยมีฟ่านกุ้ยเฟยประคองอยู่มิห่างกาย "ถวายบังคมฝ่าบาท ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี เพคะ" ฮ่องเต้มองไปที่กู้ไต้ฝู่แวบหนึ่ง เอ่ยถามอย่างฉงนสงสัย "ไฉนเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้" "หม่อมฉันเรียกมาเองเพคะ ด้วยไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้าหม่อมฉันจะจัดงานชมบุปผา และได้ยินมาว่าบุตรีของไต้เท้ากู้งดงามทั้งยังเก่งกาจในศาสตร์และศิลป์หม่อมฉันจึงคิดว่าหากได้นางมาร่วมให้ความบันเทิงคงจะดีไม่น้อย" นางย่อกายและตอบคำถามแทนกู้ไต้ฝู่ "ลำบากเจ้าแล้ว" "สิ่งใดที่ทำให้ฝ่าบาททรงพระเกษมสำราญหม่อมฉันย่อมยินดีคะ" "มีเจ้าคอยดูแลตำหนักใน เรายอมวางใจเป็นธรรมดา แต่เราก็ไม่อยากให้เจ้าตรากตรำเกินไป สิ่งใดประหยัดได้ก็ควรประหยัด ทองที่หายสาบสูญช่วงเกิดภัยแล้งก็ยังไม่ได้คืน ปัญหาเรื่องโจรภูเขาจบไปก็จริงอยู่ แต่ยังมีหลายพื้นที่ที่ชาวบ้านยังประสบปัญหา ไม่ว่าจะเรื่องภัยธรรมชาติหรือการสู้รบระหว่างชายแดนเมื่อครั้งก่อนๆ จำต้องใช้เงินอุดหนุนจากราชสำนัก ในเมืองหลวงเราไม่ห่วงเท่าไหร่แต่นอกเมืองประชาชนยังประสบปัญหา" "เพคะฝ่าบาท แต่ถึงอย่างไรก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ หม่อมฉันจะประหยัดที่สุดเพคะ" ฮองเฮาฟังแล้วรู้สึกไม่ชอบใจนัก แต่ยังแค่นยิ้มออกมา เอ่ยทักท้วงทั้งยกประเพณีที่มีแต่เดิมมากล่าวอ้าง เพราะรู้ว่าถ้อยคำที่ฮ่องเต้สื่อคือขัดขวางสิ่งที่นางกระทำอยู่ "ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันขอทรงพระราชทานแสดงความคิดเห็นเพียงนิดเพคะ" ฟ่านกุ้ยเฟยเอ่ยพระราชทานอนุญาตเอ่ยบางอย่าง "ว่ามา" "ขอบพระทัยเพคะ" นางย่อกายและยืนขึ้นจนมั่นคงดีแล้ว นึกใคร่ครวญคำพูดก่อนจะเอ่ยขึ้น "ตามธรรมเนียมปฏิบัตินั้นก็ไม่ผิด แต่หากจุดประสงค์ของฮองเฮาคือการหาสนมให้กับบรรดาพระราชโอรส หม่อมฉันมีความคิดเห็นว่า ให้เหล่าพระโอรสเลือกเฟ้นสตรีกันเองเถิดเพคะ อย่างน้อยก็ไม่เหนื่อยฮองเฮาที่จะเป็นแม่งานจัดงาน อนึ่งไม่ต้องดึงเงินทองจากท้องพระคลังมาใช้โดยเปล่าประโยชน์ด้วยเพคะ" แววตาชิงชังจุดวาบขึ้นในดวงตาของฮองเฮา "เวลานี้ฝ่าบาททรงมีทายาทน้อยมีแค่องค์ชายใหญ่องค์ชายรองและบรรดาอ๋องเพียงไม่กี่คน หากได้สตรีมาช่วยย่อมดีขึ้นเป็นแน่" "เราแก่แล้ว แค่เห็นบรรดาสนมขององค์รัชทายาทก็ทำให้เราสุขใจแล้วว่าเขาสามารถสืบทอดหน้าที่นั้นแทนเราได้ เอาตามที่ ฟ่านกุ้ยเฟยบอกเถิด ให้บรรดาพระโอรสของเราเลือกเฟ้นกันเองแล้วกัน” ฮ่องเต้เอ่ยจบ คล้ายนึกสิ่งใดออกมาได้ก็เอ่ยขึ้น “อ๋อ! ใต้เท้ากู้ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าจะถวายฎีกาถึงข้าหรือ? " "เอ่อ ...มะ..ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ" "อืม เช่นนั้นพวกเจ้าก็สนทนากันตามสบาย ข้าจะไปเดินเล่นทางนั้นเสียหน่อย" ฮ่องเต้กล่าวจบก็เสด็จจากไปโดยมีฟ่านกุ้ยเฟยประคอง ภายใต้ความจงเกลียดจงชังของฮองเฮา นางอยากกำจัดฟ่านกุ้ยเฟยนัก "เอ่อ...ฮองเฮา แล้วเรื่อง" "เจ้าหูหนวกตาบอดหรืออย่างไร" กู้ไต้ฝู่สะดุ้งเฮือกเมื่อต้องสบสายพระเนตรฮองเฮา เหงื่อเย็นซึมแผ่นหลัง ได้เห็นอะไรที่ไม่สมควรได้เห็นเสียแล้ว ยามราตรีจ้าวยวี่เสียงสำแดงฝีมือ อาศัยแสงจันทร์คอยนำทางและความทรงจำเมื่อครั้งอดีต เหาะเหินเดินอากาศ ปีนข้ามผนังผาลัดเลาะจนถึงสวน ด้านหลังจวนสกุลกู้ เขาเคยได้รับการฝึกเยี่ยงทหาร การลอบเข้าจวนผู้อื่นยามวิกาลเช่นนี้ หาใช่เรื่องยากเย็นแต่ประการใด เมื่อไม่ต้องสวมเสื้อเกราะซึ่งหนักเกือบร้อยชั่ง เขาก็เป็นดังวิหคที่โผบินและทะยานตัวลงสู่พื้นได้อย่างง่ายดาย การเคลื่อนไหวด้วยฝีเท้าที่เบาและคล่องแคล่วว่องไวดุจแมวป่าก็มิสามารถทำให้ผู้ใดจับความเคลื่อนไหวได้ เขาเดินชมสวนโดยรอบเพื่อดูว่ามีกลไกลับที่ใดหรือไม่ตามคำกล่าวของจื้อซิ่งเหมี่ยน เพียงไม่นานก็พบกลไกลับด้านหลังภูเขาจำลอง เขาใช้มือสัมผัสก็เห็นภูเขาจำลองเลื่อนออก มีบันไดก้าวลงสู่เบื้องล่างด้านข้างกำแพงประดับตะเกียงไฟที่คล้ายดับแหล่ไม่ดับแหล เพียงรอน้ำมันเพื่อเติมเชื้อไฟ แต่เพราะความมืดไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับเขา เจ้าสิ่งนี้จึงไม่ได้มีความจำเป็น หากเขาต้องการความสว่างเขาย่อมมีสิ่งที่ดีกว่าเจ้าตะเกียงไฟอันนี้แน่ สองขาค่อยๆ เดินไปตามพื้นที่เปียกชื้นและมีกลิ่นดินออกมาเป็นระลอก เขาสาวเท้าราวแมวย่องจนถึงด้านใน จนกระทั่งชนเข้ากับบางสิ่งที่วางอยู่บนพื้นคลาดว่าเป็นวัตถุใหญ่มาก มือหนาที่บ่อยครั้งจะกำอาวุธหยิบบางสิ่งออกมาจากแขนเสื้อ สิ่งนั้นส่องแสงประกายเจิดจ้าแม้จะเป็นเวลาค่ำคืนหรือถ้ำที่มืดมิด ไข่มุกราตรีขนาดไม่ใหญ่นักทำหน้าที่ของตนได้เป็นอย่างดี สายตาอันเฉียบคมมองผ่านแสงของไข่มุกราตรีเพื่อมองสิ่งที่เขาให้ความสนใจในเวลานี้ ภาพเบื้องหน้ายังไม่ได้สร้างความแปลกใจให้เขาเท่าใดนัก หากภาพที่เขาเห็นเป็นถุงกระสอบบรรจุเกลือ แต่ทว่ากลับเป็นหีบเพียงแค่สามใบ เขาจึงค่อยๆ แง้มดูด้วยใบหน้าที่ยากจะคาดเดา เมื่อภาพตรงหน้าทอประกายสีทองอร่ามจากแสงไข่มุกราตรีที่ขับเน้นมันออกมา ก็ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจขึ้นมา เพราะภายในหีบบรรจุทองคำหลายร้อยก้อน อีกทั้งประทับตราราชสำนักไว้ "นี่ไม่ใช่ทองที่หายไปหรอกหรือนี่" เขารู้สึกยกย่องคนสกุลกู้ แล้วสิ เมื่อนึกถึงคนสกุลกู้เขาไม่รู้จะตอบแทนนางสิงห์น้อย หรือให้นางตอบแทนเขาดีแต่ว่าเรื่องตอบแทนคงต้องเก็บไว้ก่อน เรื่องทองนี้จะต้องคิดให้จงหนัก ครั้นจะเอากลับไปไว้ที่จวนตนก็เป็นเผือกร้อนในมือ ต้องวางแผนให้ดีเสียก่อน เพราะไม่แน่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังจะใหญ่ไม่เบาถึงริอาจคิดการใหญ่ได้ถึงเพียงนี้ ความคิดวูบหนึ่งก็ทำให้รู้สึกถึงความทรงจำที่จะมีต่อคนสกุลกู้ในภายภาคหน้า คือการตระเตรียมซื้อกระดาษเงินกระดาษทองไว้เสียก่อนที่ใครจะกวาดซื้อไปเผาส่งญาติ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD