ปลูกต้นถั่วแดง 1

1422 Words
หลายวันกู้ไต้ฝู่สนใจท่าทีของบุตรสาว ทั้งเรื่องที่นางขอร้องเขามิได้นำความคืบหน้าใดๆ มากล่าวแต่นางทั้งสิ้น การถวายฎีกายื่นแก่ฮ่องเต้เรื่องขอพระราชทานเสกสมรสระหว่างนางกับ เหนียนอ๋อง ยิ่งทำให้กู้หรูอวี้หงุดหงิดใจ คำปลอบประโลมของมารดาก็ไม่ได้ทำให้จิตใจนางสงบลงได้ “แต่โบราณมากล่าวกันว่าวีรบุรุษมิอาจข้ามด่านโฉมสะคราญ หรูอวี้เจ้าย่อมต้องถูกใจเหนียนอ๋องแน่" ถูกใจนะหรือ หากถูกใจเหตุใดเขาไม่เคยเหยียบย่างเข้าจวนสกุลกู้เลย นางเบื่อที่จะนั่งรอในจวน ในเมื่อบิดาทำนิ่งเฉย นางก็คงจะออกไปสืบข่าวเสียเอง สาวใช้คนใหม่ที่ท่านแม่นำมามอบให้ดูท่าทางคล่องแคล่ว คงเรียกใช้นางไม่ยาก แต่หากเป็นไปได้นางอยากเรียกเสี่ยวเจวียอดีตสาวใช้กลับมาเสียมากกว่า แต่เพราะนางถึงวัยออกเรือนจำต้องปล่อยไป "คุณหนูจะไปไหนหรือเจ้าคะ" "ออกไปเดินเล่นนอกจวน หรือเข้าไม่อยากไป" "เจ้าค่ะ" สาวใช้ไหนเลยจะทัดทาน นายไปไหนบ่าวต้องว่าตาม บรรยากาศนอกจวนชวนให้กู้หรูอวี้ผ่อนคลายมากขึ้น แต่เมื่อนางเดินหมายจะเข้าไปดื่มชาที่โรงเตี๊ยมไม่ไกลนัก สายตาเหลือบไปเห็น หนิงไช่กวงเดินเข้าไปยังร้านแลกตั๋วเงิน ในใจรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยเพราะอย่างคนเช่นเขาไม่น่าจะเข้าไปยังสถานที่เช่นนั้น หรือว่าคนสกุล หนิงเปิดกิจการรับแลก รับซื้อของมีค่า แต่อย่างว่าสกุลหนิงเงินทองไม่เคยขาดมือ เดิมทีทางกู้ไต้ฝู่ผู้เป็นบิดาก็ต้องการจับนางแต่งเข้าสกุล หนิง แต่ก็น่าเสียดายที่นับวันนางความรู้สึกไม่ชอบหนิงไช่กวงก็มีมากขึ้น "คุณหนูมองอะไรหรือเจ้าคะ" สาวใช้ชะเง้อมองตามสายตาของ กู้หรูอวี้ แต่ก็ไม่เห็นว่าเบื้องหน้าสุดถนนจะมีสิ่งใดน่าสนใจ "เจ้ารู้อะไรไหม สาวใช้คนก่อนๆ ก็สงสัยในเรื่องที่ข้าสงสัย แต่จู่ๆ พวกนางก็หายไปทั้งที่ยังไม่เคยได้คำตอบ เจออีกทีก็กลายเป็นศพเสียแล้ว" สาวใช้รีบก้มหน้าปิดปากเงียบ ไม่กล้าสงสัยสิ่งใด ทำเพียงแต่ยืนกางร่มและเดินตามผู้เป็นนาย โรงเตี้ยมอยู่ไม่ไกล นางจึงรีบสาวเท้าเข้าไป เดินขึ้นชั้นบนเพื่อหาที่เงียบสงบนั่งดื่มชาและอาหารเพียงไม่กี่อย่าง แต่ไม่คิดว่าตัวนางจะเจอบุรุษที่หมายตาเอาไว้ นางรีบสืบเท้าเข้าไป ทว่าต้องชะงักเพราะเบื้องหน้าพลันมีสิ่งของบางอย่างพุ่งไปทางเขา ทว่าเขากลับว่องไวเอียงศีรษะหลบอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งของนั้นยังคงกระแทกเข้าที่หัวไหล่ของเหนียนอ๋องอีกครั้ง กู้หรูอวี้กรีดร้องด้วยความตกใจ แต่เสียงร้องของนางก็มิอาจเบี่ยงเบนความสนใจให้ทั้งเขาและฝ่ายตรงข้าม จ้าวยวี่เสียงรู้สึกเจ็บที่หัวไหล่ มือข้างหนึ่งเอื้อมไปกุมหัวไหล่ ที่มีเลือดเปียกชื้น เพราะวัตถุที่ติดตรงหัวไหล่เป็นตะขอกรงเล็บ เขาออกแรงดึงตะขอออกอย่างไม่คิด กู้หรูอวี้เห็นชัดว่าที่ปลายตะขอมีหนามแหลมคม ใบหน้าแสดงความเจ็บปวดแต่เขายังข่มอาการ มิมีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย "คุณหนูไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ" นางพยักหน้ารับแม้อีกใจจะอยากมองดูเหตุการณ์ คนปิดหน้าบนหลังคาโรงเตี๊ยมทะยานลงมา เพื่อใช้พลังต่อกรกับจ้าวยวี่เสียงทั้งที่เขาได้รับบาดเจ็บ เขาชักกระบี่อ่อนที่พันรอบเอวออกมา ประกายสีเขียวมรกตยามถูกแสงกระทบเข้าตาของผู้ปิดหน้า เขาไม่รอช้ากลับต่อกรกับชายผู้นั้น เสียงดังโครมครามทำให้แขกเหรื่อชั้นล่างรีบหนีเอาตัวรอด รวมถึงกู้หรูอวี้ จ้าวยวี่เสียงเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะบาดเจ็บ เขาพุ่งทำร้ายโดยใช้ตะขอที่เป็นอาวุธคู่กาย ทั้งเป็นอาวุธที่ใช้ทำร้ายจ้าวยวี่เสียง มือแกว่งเชือกที่ด้านปลายมีอาวุธแหลมคมและเขวี้ยงไปยังร่างของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว "หมายจะให้ถึงตายเลยหรือ? " เขาตะโกนถามทั้งใบหน้ายังแฝงไปด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงเจือขำขันกับการต่อสู้เสียอย่างนั้น ด้วยฝีมือคล่องแคล่วว่องไว เขากระโดดพลิกตัวกลางอากาศ แขนและเท้าค้ำพื้น ราวกับเมื่อครู่ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย "ห้าปีหากชนะข้าได้" "สิบปี ข้าบาดเจ็บนะ" “ไม่!” “สุรานารีมีพร้อมสรรพ พร้อมที่พักที่เจ้าต้องการ” “จวนเจ้า?” “ได้!” "ตามนั้น!" ทั้งสองพุ่งทะยานสู่เบื้องล่างโรงเตี๊ยมผ่านทางหน้าต่าง เขาจู่โจมจ้าวยวี่เสียงอีกครั้ง แต่จ้าวยวี่เสียงหมุนตัวหลบ มือคว้าเชือกที่ผูกติดกรงเล็บได้ และใช้แรงที่มีกระชากเข้าหาตนอย่างแรงทำให้ชายปิดหน้าที่ยังไม่ทันระวังตัวเซเข้าหา ดาบอ่อนจ่อที่ลำคอและชิดตัว "ไม่อยากจบเร็วนะ แต่บังเอิญนัดสาวงามไว้" เขาปล่อยตัวชายผู้ปิดหน้าหน้าตาเฉย ไม่มีความเคียดแค้นใดๆ เกิดขึ้นยังแววตา ทำเพียงเช็ดดาบด้วยท่อนแขนอย่างสบายอารมณ์ "กรงเล็บเหล็กพันกับเชือกดูไม่เหมาะกับเจ้านะ ไว้ที่มือเหมือนเดิมน่าจะเหมาะกว่า" จ้าวยวี่เสียงเก็บดาบเข้าเอว และเดินจากไป "ให้ข้าไปด้วย? " "ไม่! ไปรอข้าที่จวน" "ไม่ใช่สาวงามที่ยืนดูทางนั้นหรือ? " ชายผู้นั้นเอ่ยกับจ้าวยวี่เสียง เขายกมุมปากเล็กน้อย "ข้ายกให้เจ้าแล้วกัน นั่นนะสาวงามแห่งแคว้นเชียวนะ เขาพูดจบก็กระโดดขึ้นกำแพง เดินไต่ไปยังจุดหมายที่ไม่ไกล กู้หรูอวี้มองดูเหตุการณ์ด้วยใจระทึกอยู่เป็นนาน และเห็นว่ามีชั่วหนึ่งที่เขาหันหน้ามาทางตนแต่ไม่ได้ก้าวเท้ามา เพราะเขาอาจจะมีเหตุผลบางอย่าง เช่นว่าเกรงนางจะได้รับอันตราย และนางยังหลงคิดว่าจ้าวยวี่เสียงต้องกลับจวนไปรักษาแผล ถึงอย่างไรภาพที่เขาบาดเจ็บยังติดตานางไม่คลายด้วยความเป็นห่วงและหมายพิชิตหัวใจนางจึงหันหลังกลับจวนเพื่อหาหนทางไปเยี่ยมเขาที่จวน ใบหน้าซีดเซียวนอนให้หมอทำแผลให้ แต่ดวงตายังจับจ้องอยู่บนใบหน้างามที่มิได้สนใจใบหน้าของเขาแต่มองการทำแผลของหมอ จนกระทั่งหมอพันผ้าขาวเรียบร้อย "เรียนแม่นาง ช่วงนี้ก็หมั่นทายาและอย่าให้โดนน้ำ ข้าน้อยจะเขียนใบสั่งยาให้" "ขอบคุณท่านหมอมากเจ้าค่ะ" จนหมอเดินจากไป จื้อซิ่งเหมี่ยนจึงเอ่ยปากถาม "เหตุใดท่านไม่กลับไปจวน มาที่นี่ทำไม" "ที่จวนไม่มีใครอยู่ดูแลข้านี่ อีกอย่างข้าเหงา ที่นี่มีแต่สิ่งสวยๆ งามๆ ให้มอง ยิ่งมองก็ไม่รู้จักเบื่อ" จื้อซิ่งเหมี่ยนดูจะไม่สนใจในคำสัพยอกแม้นว่าเจ้าของเสียงจะเจ็บ แต่ด้วยท่าทีกอปรกับน้ำเสียงนั้น ดูว่าเขาคงจะไม่เป็นอันใด กำแพงที่ขีดกั้นบุรุษภายในใจของจื้อซิ่งเหมี่ยนค่อยๆ ทลายลง ความเป็นห่วงเริ่มก่อตัวขึ้นในใจและแทรกซึมเข้าในจิตใต้สำนึก โดยที่ตัวนางเองก็ไม่ทันรู้ตัว "ใช่เรื่องที่ข้าขอร้องท่านหรือไม่? " "งานที่เจ้าไหว้วาน เสี่ยงไม่ใช่น้อย เจ้าจะตอบแทนข้าอย่างไรดี" นางไม่รู้ว่าที่เขาบาดเจ็บเพราะเหตุใด แต่ในเมื่อนางคิดเช่นนั้นก็เป็นการดี เขาก็จะเล่นไปตามบทสักเล็กน้อย "ไม่ใช่ข้าเพิ่งเชิญหมอมาดูแลท่านหรือเพคะ เหนียนอ๋อง! " นางเสียงแข็งใส่ "เฮ้อ! คำที่ว่า สตรีงดงามมักใจร้าย คงจะจริง" "กลับจวนท่านไหม ข้าจะให้คนไปส่ง" นางกล่าวน้ำเสียงแกมประชดประชัน แต่มิได้จริงจังนักเพราะหากเขาไปจริงนางก็ต้องให้คนไปส่งเขาถึงจวน "ไม่! เตียงเจ้าหอมจนพาให้ข้าหายเร็วขึ้น ง่วงแล้ว นอนด้วยกันไหม หืม!" นางไม่ตอบแต่หันหลังเดินออกไป เขาก็ไม่คิดที่จะห้าม เพราะเริ่มรู้สึกปวดบาดแผลขึ้นมาแล้วจริงๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD