“คุณหญิงกรรณิการ์ สวัสดีค่ะ” อัญชลี หญิงวัยกลางคนที่ยังดูอ่อนกว่าวัย คลี่ยิ้มกว้างอย่างยินดีขณะเอ่ยคำทักทายพร้อมยกมือไหว้กรรณิการ์ที่เพิ่งเข้ามาพร้อมลูกชาย
“สวัสดีค่ะ” กรรณิการ์ตอบรับพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน รู้สึกเป็นกันเองแม้สถานที่ดูจะเป็นทางการ
ติณณภพเดินตามแม่เข้ามาอย่างสุภาพ แต่สายตาของเขากลับจับจ้องไปยังพื้นที่ภายในบ้านอย่างสำรวจ ราวกับต้องการจับทุกรายละเอียดที่อาจสะท้อนถึงฐานะและความเป็นอยู่ของเจ้าของบ้าน
“เชิญนั่งก่อนค่ะ” อัญชลียกมือผายไปที่โซฟาตัวยาวด้วยความสุภาพ หลังจากทั้งสองนั่งลงบนโซฟาหนังที่ดูหรูหรา อัญชลีก็เปิดบทสนทนาอย่างรวดเร็ว
“ดิฉันไม่คิดว่าคุณหญิงจะมาถึงเร็วขนาดนี้ เลยยังไม่ได้ตั้งโต๊ะ ต้องขอโทษจริง ๆ ค่ะ” เธอกล่าวด้วยสีหน้าสำนึกผิด แต่ในใจนั้นเต็มไปด้วยความกังวลเล็กน้อย ไม่อยากให้การต้อนรับครั้งนี้ขาดตกบกพร่อง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดิฉันต่างหากที่มาเร็วเกินไปเอง” กรรณิการ์พูดพร้อมยิ้มอ่อน ซึ่งทำให้อัญชลีรู้สึกโล่งใจ แต่ทางด้านติณณภพกลับนั่งนิ่ง ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ บนใบหน้า
กรรณิการ์แอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะสะกิดลูกชายอย่างแผ่วเบาเพื่อเตือนเขาให้แสดงมารยาท
“ติณ ทักทายคุณน้าอัญสิลูก” น้ำเสียงของกรรณิการ์อ่อนโยน แต่แฝงความคาดหวังที่ทำให้ติณณภพรู้สึกกดดันเล็กน้อย
“สวัสดีครับ” ติณณภพยิ้มบาง ๆ ก่อนยกมือไหว้อัญชลี แม้จะไม่เต็มใจนัก แต่เขาก็ปิดบังความรู้สึกได้อย่างแนบเนียน สายตาแอบเหลือบมองไปทางอื่นเป็นครั้งคราว เหมือนจะรอเวลาที่บทสนทนานี้จบลง
“สวัสดีจ้ะ ไม่ได้เจอกันแค่เดี๋ยวเดียว ติณดูดีขึ้นกว่าเดิมอีกนะ” อัญชลีกล่าวพร้อมยิ้มชื่นชม เธอมองชายหนุ่มด้วยความภาคภูมิใจในความสำเร็จของครอบครัวกรรณิการ์ที่เลี้ยงลูกมาได้เพียบพร้อมขนาดนี้
ผมดำขลับของติณณภพถูกเซตมาอย่างดี รับกับใบหน้าคมคายและเกลี้ยงเกลา ชุดเชิ้ตสีดำที่เขาสวมใส่ดูเรียบหรู ไม่เยอะจนเกินไป แต่เพียงพอที่จะบ่งบอกถึงฐานะทางสังคมอย่างชัดเจน
ในหัวของอัญชลี เธออดไม่ได้ที่จะคิดถึงลูกสาวของเธอ หากได้ชายหนุ่มที่เพียบพร้อมเช่นนี้เป็นคู่ชีวิต ชีวิตลูกสาวคงไม่ขาดตกบกพร่องอะไรอีกต่อไป…
แต่ก่อนที่ความคิดของเธอจะไปไกลกว่านั้น เสียงของอรไพลิน หัวหน้าสาวใช้ก็ดังขึ้นขัดจังหวะความคิดเสียก่อน
“คุณหญิงจะให้ดิฉันตั้งโต๊ะเลยไหมคะ” อรไพลินถามพร้อมกับเดินเข้ามาอย่างเงียบ ๆ แม้เธอจะสวมชุดยูนิฟอร์มของคนรับใช้ แต่ความงามและท่าทางที่สง่างามทำให้เธอโดดเด่นในทุกครั้งที่ปรากฏตัว
“จัดการเลยก็ได้จ้ะ อร” อัญชลียิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะหันมาพูดกับแขก “ไม่อยากให้คุณหญิงต้องรอนานเกินไป”
“ค่ะ ดิฉันจะรีบจัดการทันที” อรไพลินรับคำสั่ง แล้วรีบออกไปเตรียมการอาหารทันที
“ทุกคนช่วยกันยกอาหารไปตั้งโต๊ะได้เลย” เมื่อเธอมาถึงครัว อรไพลินสั่งการอย่างเงียบขรึม แต่ทุกคำพูดเต็มไปด้วยความเด็ดขาด
“ได้ค่ะป้าอร” สาวใช้คนอื่น ๆ ตอบรับคำสั่งอย่างรวดเร็ว ยกเว้นแต่ฐานิตา หญิงสาวที่ยืนปากหนักไม่ยอมขานรับใคร
“ยังไงก็ดูความเรียบร้อยให้ดีกันด้วยล่ะ อย่าให้คุณหญิงติถึงฉันได้ว่าอุตส่าห์หาคนมาช่วยแต่ทำได้แค่นี้” อรไพลินย้ำเตือนเหล่าสาวใช้ด้วยน้ำเสียงที่แฝงการจิกกัดลูกสาว
“เอาอะไรมาติจ๊ะ ฉันว่าน่าจะได้รับคำชมมากกว่าด้วยซ้ำ ลูกสาวป้าเก่งขนาดนี้ ส่วนรสมือนี่ก็ดีไม่แพ้หน้าตาเลย” อุ่นกล่าวพร้อมกับมองฐานิตาที่เพิ่งรู้ว่าเป็นลูกสาวคนเล็กของอรไพลินด้วยสายตาชื่นชม
“ขอให้เป็นอย่างที่แกว่าก็แล้วกัน” อรไพลินพูดตอบกลับ ถึงแม้จะได้ยินคำชมที่กล่าวถึงลูกสาวคนเล็ก แต่เธอกลับไม่สนใจ
“ไป! ยกเอาไปได้แล้ว มัวแต่พูดอยู่นั่น เดี๋ยวพวกเขาจะรอนาน” อรไพลินสั่งด้วยน้ำเสียงเร่งรีบให้สาวใช้ไปทำงานของตัวเอง สายตาของคนเป็นแม่ตวัดมองลูกสาวอย่างไม่ไยดี
มาถึงไม่กี่ชั่วโมงก็มีแต่คนชมออกนอกหน้า…น่าหมั่นไส้
“เดี๋ยวหนูช่วยค่ะ” ฐานิตาเสนอตัวเข้าไปช่วย หลังจากที่ยืนเงียบอยู่นาน เธอเดินไปยกถาดที่ใส่กับข้าวออกจากห้องครัวโดยไม่สนใจสายตาของแม่ที่มองอยู่
การที่ฐานิตาทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเธอเต็มใจทำงาน แต่เพราะเธอรำคาญกับการที่อรไพลินคอยหาเรื่องมาแซะตลอดเวลา ตั้งแต่ตอนมาจนถึงตอนนี้ ฐานิตาจึงเลือกที่จะหางานทำแทนที่จะยืนเสนอหน้าให้แม่จิกกัดเธออีก
“น่ารับประทานทั้งนั้นเลยนะคะคุณอัญ” กรรณิการ์กล่าวยิ้มชื่นชม เมื่อเห็นอาหารไทยหลากหลายที่ดูน่ากินถูกทยอยวางลงบนโต๊ะอาหารหรูยาว
“ขอบคุณค่ะ เห็นว่าคุณหญิงกับลูกชายชอบเลยตั้งใจเป็นพิเศษ หวังว่าจะถูกปากนะคะ” อัญชลียิ้มรับคำชม หวังในใจว่าแขกทั้งสองจะชื่นชอบฝีมือแม่ครัวจำเป็นคนใหม่ที่มาทำแทนพี่สาวของเธอในวันนี้
“ขออนุญาตค่ะ” เสียงหวานของฐานิตาดังขึ้นขัดจังหวะบทสนทนา ทำให้อัญชลีหันไปมอง ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเป็นลูกสาวของอรไพลิน แม่ครัวจำเป็นที่เธอเพิ่งนึกถึงเมื่อครู่
“เอามาวางได้เลยจ้ะหนู” อัญชลีบอกพร้อมส่งยิ้มให้ ฐานิตาจึงยกถาดอาหารเดินตรงไปยังโต๊ะที่แขกอีกสองคนหันหลังให้อยู่ ทำให้เธอไม่ทันเห็นว่าพวกเขาเป็นใคร
ขณะที่วางอาหารลงบนโต๊ะ สายตาของฐานิตาเหลือบไปเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอย่างไม่ตั้งใจ ความตกใจพลันแล่นเข้ามาในใจเธอเมื่อรู้ว่าชายหนุ่มคนนั้นก็คือติณณภพ...ผู้ชายที่ช่วยเธอไว้เมื่อคืน ความรู้สึกทั้งตกใจและสับสนทำให้เธอชะงักไปชั่วครู่
'เขา...' ฐานิตาคิดในใจ รู้สึกว่าความบังเอิญนี้เกินกว่าจะเป็นจริง ในขณะเดียวกัน ติณณภพเองก็สบตาฐานิตาเช่นกัน
เขาไม่ได้พูดอะไร แต่สายตาของเขาดูเหมือนจะสื่อถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นเมื่อได้เห็นหญิงสาวอีกครั้ง ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ ทั้งสองต่างรู้สึกถึงความประหลาดใจและแปลกใจ เมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
“หนูจ๊ะ” อัญชลีเอ่ยขึ้น เมื่อสังเกตเห็นฐานิตาจ้องติณณภพนานเกินไปจนดูไม่เข้าท่า
“หนู” เธอเรียกซ้ำอีกครั้ง
“คะ!” ฐานิตาสะดุ้ง รีบหันกลับมาจากการจ้องมองติณณภพ และถอยออกจากโต๊ะทันทีเมื่อรู้ตัวว่าทำตัวเสียมารยาท เธอพยายามเก็บความรู้สึกสับสนลงไปให้ลึกที่สุด
อัญชลีที่เห็นทั้งสองสบตากันก็อดไม่ได้ที่จะฝืนยิ้มบาง ๆ ในขณะที่สายตามองไปยังติณณภพด้วยความประหลาดใจที่เขาดูจะสนใจฐานิตาอย่างชัดเจน
“ช่วยไปตามลูกสาวให้ฉันหน่อยได้ไหมจ๊ะ ป่านนี้ทำไมยังไม่ลงมาก็ไม่รู้” อัญชลีพูดอย่างเป็นกันเอง แต่ในน้ำเสียงกลับแฝงไปด้วยความคาดหวัง เมื่อเธอชำเลืองมองฐานิตาอีกครั้ง
“แต่หนูไม่ทราบ...” ฐานิตาพยายามจะบอกว่าเธอไม่รู้จักลูกสาวของอัญชลี แต่ยังพูดไม่ทันจบ อัญชลีก็พูดแทรกขึ้น
“ช่วยหน่อยนะจ๊ะ ฉันไม่อยากให้คุณหญิงต้องรอนาน” น้ำเสียงนุ่มนวลแต่แน่นหนักของอัญชลี ทำให้ฐานิตากลืนคำปฏิเสธลงไป ในขณะที่กรรณิการ์ยิ้มแย้มเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“นั่นสิคะ ดิฉันก็อยากให้เด็ก ๆ ได้ทำความรู้จักกันเร็ว ๆ ด้วยเหมือนกันค่ะ” สายตาของเธอที่มองมายังฐานิตาทำให้หญิงสาวรู้สึกถึงแรงกดดันที่ซ่อนอยู่
‘ทำไมต้องเป็นเราด้วย...ทั้งที่ในบ้านนี้ก็มีคนอื่นอีกตั้งหลายคน’ ฐานิตาคิดในใจ
เธอรู้สึกไม่สบายใจที่ถูกคาดหวังให้ทำหน้าที่นี้ ในขณะที่ภาระหน้าที่ที่เธอไม่ได้เต็มใจรับ ดูจะกลายเป็นสิ่งที่เธอเลี่ยงไม่ได้สุดท้ายเธอจำใจตอบรับ
“งั้นเดี๋ยวหนูจะไปตามให้ค่ะ” หญิงสาวรู้สึกถึงความกดดันในบรรยากาศที่ทำให้เธอไม่อาจปฏิเสธได้ ทั้งที่ใจอยากจะถอยหนีจากสถานการณ์นี้
‘แกนี่มันตัวซวยจริง ๆ แยมเอ๊ย...ซวยสมกับเป็นแกเลย’