บทที่ 1 ลูกชายที่ไม่เชื่อฟัง
ห้องนั่งเล่นกว้างสว่างไสวด้วยแสงไฟสีนวล ภายในถูกตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูหราโทนสีขาวทองกลมกลืนไปกับผนังสีขาวและพื้นหินอ่อนเงาวับสีเดียวกัน ซึ่งถ้าหากมองเข้ามาด้วยสายตาของคนนอกก็ไม่ยากเลยที่จะนิยามฐานะของบ้านหลังนี้จากห้องเพียงห้องเดียวว่ามั่งคั่งเพียงใด
และนั่นก็ยิ่งเห็นได้ชัดขึ้นไปอีกด้วยภาพของหญิงสาววัยกลางคนในชุดเดรสเรียบง่ายสีโอลด์โรส แต่ทว่าในความเรียบง่ายนั่นเมื่อเทียบกับราคาของชุดแล้วนั้นกับไม่ใช่น้อย ๆ เลย กรรณิการ์ หรือที่ใคร ๆ รู้จักหล่อนในนามของคุณหญิงกรรณิการ์ ชวลิตหิรัญ เศรษฐีผู้ดีเก่าในวัยหกสิบปีกับชายผู้เป็นที่รักของหล่อน ทินกร ชวลิตหิรัญ นักธุรกิจใหญ่ด้านอสังหาริมทรัพย์ผู้ร่ำรวยสมฐานะไม่แพ้กัน
“ฉันรอจนรากจะงอกอยู่แล้วเมื่อไหร่มันจะโผล่หน้ามาเสียที” ริมฝีปากอมชมพูเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ ดวงตาสวยแม้จะมีริ้วรอยตามวัยทอดมองออกไปยังโถงกว้างจากในห้องนั่งเล่น ก่อนที่หล่อนจะหันมากระแทกเสียงสั่งผู้เป็นสามี
“คุณทินโทรถามเจ้าติณซิว่าเมื่อไหร่มันจะมาถึง” เจ้าติณ หรือ ติณณภพ ชวลิตหิรัญ คือชื่อของลูกชายเพียงคนเดียวที่กรรณิการ์ คนที่เธอกำลังกล่าวถึงอย่างไม่สบอารมณ์
“โธ่ คุณกรรณอย่าใจร้อนนักสิ ลูกเราก็ไม่ใช่เด็ก ๆ ที่ต้องคอยให้ตามแล้วนะคุณ” ทินกรกล่าวกับภรรยาเสียงอ่อน พร้อมกับส่ายหัวเบา ๆ เมื่อเห็นว่าภรรยาดูจะทนไม่ได้เอาเสียเลยกับการต้องมานั่งรอลูกชายกลับบ้านแบบนี้
“ก็เพราะไม่ใช่เด็กฉันถึงได้ต้องคอยตามไงคะ แล้วก็เพราะโตแล้วนี่ไงลูกชายคุณมันถึงได้ปีกกล้าขาแข็งขึ้นทุกวัน ๆ” กรรณิการ์ที่เข้าใจว่าทินกรกำลังเข้าข้างลูกชายเธอก็ไม่ปล่อยผ่าน พูดประชดประชันสามีผ่านสีหน้าและแววตาขึงขังเอาเรื่อง
“เฮ้อ! คุณก็พูดแปลก ๆ ลูกผมมันก็ลูกคนไหมล่ะ” ทินกรถอนหายใจเฮือกใหญ่ โดยที่ไม่รู้เลยว่าคำพูดของเขาได้จี้ใจคนเป็นแม่เข้าให้เสียแล้ว
“ทุกวันนี้มันเห็นฉันเป็นแม่มันเหลือเกินนี่คะ ทำอะไรมันไม่เคยเห็นหัวฉันสักครั้ง ดื้อรั้น! เอาแต่ใจเหมือนใครก็ไม่รู้” พูดจบกรรณิการ์ก็ตวัดหางตามองสามีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก่อนที่จะมองออกไปทางอื่น ส่วนคนที่ต้องมารับเคราะห์อย่างทินกรก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร เพียงได้แต่คิดอยู่ในใจเท่านั้น
ว่าที่ภรรยากล่าวถึงลูกชายมาทั้งหมดนั่น รวม ๆ แล้วนิสัยเกือบทั้งหมดก็ได้มาจากคนเป็นแม่อย่างเธอนั่นแหละ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เหมือนเต็มร้อยก็ตาม แต่ทินกรก็รับรองได้เลยว่า ‘ดื้อรั้น’ และ ‘เอาแต่ใจ’ กันทั้งคู่นั่นแหละ เพียงคนเป็นลูกชายจะสุขุมกว่าไม่แสดงออกโต้ง ๆ เท่าแม่ของเขาก็เท่านั้น
แต่ก็อย่างว่าลูกเสือก็ย่อมเป็นลูกเสือนั่นแหละ หรือต่อให้เป็นก็เป็นลูกไม้ใต้ต้นอยู่ดี
“ขออนุญาตค่ะ”
บรรยากาศตึงเครียดภายในห้องนั่งเล่นถูกขัดจังหวะหลังจากที่ผ่านไปได้ไม่นานนัก บัวริน แม่บ้านสาววัยสามสิบปี เป็นแม่บ้านประจำตระกูลชวลิตหิรัญเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของสองสามีภรรยาผู้เป็นนายของบ้านอย่างสงบเสงี่ยมด้วยคำนึงในสถานะของตน
“ว่าไงบัว” ทินกรเอ่ยถามแม่บ้านสาวที่ยืนรออยู่ ทั้งเมื่อได้ยินคำถามจากผู้เป็นนายบัวรินก็ไม่รอช้าที่จะเอ่ยปากรายงานตามหน้าที่ทันที
“คุณติณกลับมาแล้วค่ะ” บัวรินกล่าวเสียงอ่อน สายตาเหลือบมองไปทางกรรณิการ์อย่างเกรง ๆ
“โผล่มาได้แล้วเหรอ” กรรณิการ์พูด สายตามองหาลูกชายที่ยังไม่เห็นเดินเข้ามาหาเธอที่รออยู่ในห้องนั่งเล่นเสียที
“คือว่า...คุณติณขึ้นห้องไปแล้วค่ะ” บัวรินเอ่ยเสียงแผ่ว เมื่อเห็นว่านายหญิงกำลังมองหาลูกชายที่มาให้ได้ยินเพียงแค่ชื่อ แต่ว่าไม่รู้เธอคิดถูกหรือเปล่าที่บอกออกไปตรง ๆ แบบนั้น
เพราะทันทีบรรยากาศรอบตัวก็เย็นยะเยือกขึ้นมาอย่างน่าใจหาย พร้อมกับกลิ่นอายที่ชวนให้ขนหัวลุก ซึ่งบรรยากาศที่ว่าก็แผ่ฟุ้งออกมาจากหญิงกรรณิการ์ไม่ใช่ใคร ทำให้เธอรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องอย่างบอกไม่ถูก
“จะให้ไปตามไหมคะ” บัวรินถามอย่างใจเย็น ทั้งที่รู้สถานการณ์ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในไม่ช้า
“ไอ้ลูกคนนี้นี่! มันไม่เห็นหัวฉันบ้างเลยหรือไงกัน!” กรรณิการ์เลือดขึ้นหน้าด้วยความไม่พอใจขั้นสุดที่ถูกลูกชายเมินกันแบบนี้ ทั้งที่เธออุตส่าห์อยู่รอจนดึกดื่นแท้ ๆ
ซึ่งหล่อนก็ไม่เพียงแค่พูดเปล่า เพราะเมื่อพูดจบกรรณิการ์ก็รีบลุกออกจากโซฟา เดินตัวปลิวไปจากห้องนั่งเล่นทันที สีหน้าของเธอก็บึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด ชัด…ชนิดที่ว่าถ้าหากมองเข้าไปในตาก็คงเห็นเป็นลูกไฟลุกโชนอยู่ในนั้น
ซึ่งช่างต่างไปจากทินกรผู้เป็นสามีของเธอราวฟ้ากับเหว เขายังคงนิ่งสงบอย่างใจเย็นอยู่ที่เดิม ไม่ตามไปถึงแม้ว่าจะอ่อนใจอยู่บ้าง
“ไปพักเถอะบัว” ทินกรพยักหน้าบอกเสียงเรียบ ซึ่งเธอก็เข้าใจเขาดี
“ค่ะ” บัวรินตอบรับ ก่อนที่จะเดินออกจากห้องนั่งเล่น เดินตรงตามโถงกว้างของบ้านหลังใหญ่เพื่อไปยังบ้านพักแม่บ้านที่อยู่แยกออกไปในสวนหลังบ้านอีกที
และถึงแม้ว่าที่พักของเธอจะแยกออกไปอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพราะทุกครั้งที่ติณณภพกลับมาบ้าน แทบจะไม่มีครั้งไหนที่เขากับแม่จะไม่ทะเลาะกัน บางครั้งก็ถึงขั้นทะเลาะกันรุนแรงจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โตด้วยซ้ำ
ปึง! ปึง! ปึง!
เสียงเคาะประตูรุนแรงเอามาก ๆ ขนาดที่ว่าถ้าประตูบานตรงหน้าของกรรณิการ์ไม่ได้ทำมาจากไม้เนื้อดีหรือแน่นหนาไม่พอ ก็คงจะทะลุกลวงเป็นโพรงไปแล้ว
“ติณ! นี่แกจะหลบหน้าฉันไปถึงเมื่อไหร่!”
กรรณิการ์แผดเสียงเรียกลูกชายที่นาน ๆ จะกลับบ้านที แต่พอกรับมาก็หนีหน้าเธอเข้าไปหลบอยู่ในห้องนอนอย่างไม่พอใจ ขณะที่ฝ่ามือของเธอก็ยังคงกระหน่ำเคาะลงซ้ำ ๆ แต่ทว่าก็ยังคงไร้วี่แววว่าคนในห้องจะเปิดประตูให้เธออยู่ดี
“แกจะออกมาดี ๆ หรือต้องให้ฉันไขกุญแจเข้าไปฮะ!” แกร๊ก! สิ้นประโยคสุดท้ายของกรรณิการ์ ประตูห้องสีขาวงาช้างบานใหญ่ก็ถูกเปิดออกมาโดยคนร่างสูงที่อยู่ข้างใน
“ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นก็ได้” ติณณภพเอ่ยเสียงเรียบ เขายังคงสวมเสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงสแล็คตัวเดิมที่ใส่กลับมาบ้าน ก่อนจะถามแม่สั้น ๆ “มีอะไร”
“มีอะไร!?” กรรณิการ์เอ่ยซ้ำ เธอขมวดคิ้วแน่น ขณะที่ลมหายใจถี่รัวและร้อนฉ่าจนรู้สึกได้
“ที่แกถามนี่ไม่รู้จริง ๆ หรือว่าไม่เคยใส่ใจอะไรเลยกันแน่ฮะ!”
“ถ้ารู้อยู่แล้วก็ไม่เห็นต้องถาม” ติณณภพเอ่ยเสียงเรียบ นัยน์ตาสีนิลที่มองคนเป็นแม่อ่านไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“นี่แกจะทำแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่” กรรณิการ์ถาม เธอพยายามควบคุมอารมณ์โกรธด้วยการหายใจเข้าลึก ๆ แต่ทว่าพอได้คำตอบจากลูกชายเส้นอารมณ์ของเธอก็ขาดผึ่งลงในทันที
“หยุดบังคับผมสิ ถ้าทำได้ผมก็จะยอมรับเอาไว้พิจารณา...แม่ทำได้ไหมล่ะ?” ติณณภพแสยะยิ้มเย็น เหมือนกับแววตาของเขาที่เย็นชาชวนให้ใจหาย
“ฉันเนี่ยนะบังคับแก…ฉันเคยบังคับแกได้ด้วยเหรอติณ! และที่ผ่านมาเพราะฉันก็ไม่เคยบังคับแกได้เลยไง แกถึงได้เป็นแบบนี้ไง! เป็นตุ๊ดเป็นเกย์! อยู่แบบนี้นี่ไง!”
ถ้อยคำร้ายกาจและเหยียดหยามมากมายจากปากของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่ แม่ที่ไม่เคยคิดถึงใจของลูกชายเลย ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนติณณภพคงจะเจ็บจนจุกเข้าขั้วหัวใจไปแล้ว แต่พอนานวันเข้าแม้แต่เจ็บ เขายังแทบไม่รู้สึกถึงมันเลยด้วยซ้ำ
“หึ…งั้นก็ขอโทษด้วยก็แล้วกันที่ผมเป็นลูกชายแบบที่แม่ต้องการไม่ได้” ติณณภพเค้นหัวเราะ เขาแสยะยิ้มพร้อมกับมองกรรณิการ์นิ่ง ๆ ก่อนที่เขาจะกล่าวประโยคสุดท้ายออกมา
“แต่ขอให้รู้ไว้ว่าที่ผมเป็นแบบนี้มันก็ไม่ใช่ความผิดผมเหมือนกัน” ติณณภพพูดจบเขาก็กลับเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะออกมาพร้อมกับโทรศัพท์มือถือและกุญแจรถยนต์ในมือ และเดินผ่านหน้าแม่ของเขาออกไปทันที
“ติณแกจะไปไหน! กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้นะ!” กรรณิการ์ระเบิดเสียงเรียก พร้อมกับรีบเดินตามคนหนุ่มที่ตอนนี้เดินทิ้งระยะห่างลงบันไดไปถึงชั้นล่างก่อนเธอแล้ว
ด้านทินกรที่ได้ยินเสียงดังโวยวายแต่ เขาก็รีบเดินออกมาจากห้องนั่งเล่นในทันที ซึ่งก็เป็นในจังหวะเดียวกับที่ลูกชายของเขากำลังจะเดินผ่านหน้าไปพอดี
“ติณจะไปไหน” ทินกรถามลูกชายด้วยน้ำเสียงปกติแต่แฝงไปด้วยความกังวลเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองกรรณิการ์ที่กำลังเดินลงบันไดมา
“ติณ! กลับมานะ!”
“ผมจะไปนอนคอนโดนะครับ” ติณณภพหยุดตอบผู้เป็นพ่อจบเขาก็เดินออกจากบ้านไปในทันที โดยไม่สนใจกรรณิการ์ที่บอกให้เขาหยุด
“ติณ! หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ! ติณ! นี่คุณทินห้ามลูกหน่อยสิ!”
“พอเถอะคุณกรรณ” ทินกรคว้าแขนของภรรยาที่กำลังสาวเท้าตามลูกชายเอาไว้ พร้อมกับบอกให้เธอหยุดด้วยน้ำเสียงแกมดุเล็กน้อย
“สงสารเจ้าติณมันบ้างเถอะคุณ” ทินกรหมายความอย่างที่พูด เขาต้องการให้ภรรยาเห็นใจลูกชายบ้างสักนิดก็ยังดี เพราะสิ่งที่เขาเห็นตอนนี้ภรรยากลายเป็นคนเอาแต่ใจ ที่ต้องการบังคับให้ลูกชายเป็นได้ดั่งใจมากจนเกินไปแล้ว
มากเสียจน...ตอนนี้บ้านแทบจะไม่ใช่บ้านของติณณภพอย่างที่ควรจะเป็นอยู่แล้ว
“ปล่อยให้ลูกใช้ชีวิตของมันไปได้ไหมคุณ”
“ไม่ค่ะ!” กรรณิการ์ที่ยังคงเลือดขึ้นหน้าหันขวับไปปฏิเสธคำขอของสามีทันที โดยไม่หยุดคิดไตร่ตรองใด ๆ
ปล่อยงั้นเหรอ...ไม่มีทาง
“ต่อไปนี้ฉันจะไม่ยอมให้มันทำตามใจตัวเองอีกแล้วค่ะ ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้มันเป็นเกย์...ยังไงซะมันก็ต้องแต่งสะใภ้เข้าตระกูล!”
คำประกาศกร้าวนี้ ทำให้ทินกรถึงกับต้องถอนหายใจออกมาพร้อมกับกุมขมับ เพราะภรรยาดูจะไม่ฟังเขาเอาเสียเลย มิหนำซ้ำครั้งนี้เธอยังดูเอาจริงมากกว่าครั้งไหน ๆ จนเขาไม่รู้ว่าติณณภพจะเอาตัวรอดไปได้อีกสักกี่น้ำกันเชียว
กับการที่ต้องคอยมารับมือกับแม่หัวโบราณอย่างกับมะพร้าวทึนทึกที่ต้องการให้ลูกชายหันมาชอบผู้หญิงแทนผู้ชายอย่าง...กรรณิการ์คนนี้