เฮือก!!
ร่างหนาสะดุ้งเฮือกท่ามกลางความมืดมิดในเวลากลางคืน ด้วยความที่เป็นเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวทำให้เขาหันไปไม่เจอผู้ใด รอบกายนั้นว่างเปล่า มีเพียงขวดไวน์และแก้วไวน์ทรงสูงที่ภายในนั้นยังเหลือไวน์ที่จิบทิ้งไว้
...ความเงียบนี้ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวมากพอสมควร ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาหอบหายใจด้วยความเหนื่อย ฝันร้ายนั้นพรากเอาการหลับใหลของเขาไป เป็นอย่างนี้ตลอดยี่สิบเอ็ดปีเลยก็ว่าได้
หันไปมองเวลาก็พบว่าเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าเครื่องจะแลนด์ดิง ปรินทร์ในวัยสามสิบหกปีกลับประเทศบ้านเกิดในรอบยี่สิบเอ็ดปี เขาบินลัดฟ้ามาเรียนที่ประเทศอังกฤษ และจะต้องกลับไปสานต่อธุรกิจของครอบครัว หลังจากที่คนเป็นพ่อมีอายุที่มากแล้ว แถมอีกฝ่ายยังบ่นอิดออดว่าอยากพักในวัยเจ็ดสิบกว่า ปรินทร์คนไม่เอาไหนคนนี้จึงจำยอมกลับมาทำงานให้กับคนเป็นพ่อ ด้วยความที่พี่ชายเดินทางคนละเส้นทางกับธุรกิจของครอบครัว ปุณณกันต์เป็นอาจารย์แพทย์ ชีวิตประสบความสำเร็จทุกอย่าง แต่งงานและมีลูกที่น่ารัก ต่างจากชีวิตของเขาโดยสิ้นเชิง
...ปรินทร์เรียนจบจากมหา’ลัยดังระดับโลก จากผลการเคี่ยวเข็ญของผู้เป็นพ่อ ที่จ้างครูสอนพิเศษให้เขา เคี่ยวเข็ญทุกวิถีทางให้เจ้าลูกชายคนนี้เรียนจบ ทว่าพอจบมาก็ไม่เอาไหนอีกเช่นเคย แม้นจะจบด้วยเกียรตินิยมก็ตาม กระนั้นพ่อก็อยากให้เขาสานต่อธุรกิจธนาคาร
“หึ...” เขาแค่นหัวเราะเมื่อนึกถึงมัน อันที่จริงพ่อไม่ได้อยากให้เขาเป็นประธานบริหารหรอก เพียงแต่ว่าพี่ชายของเขาไม่เอาก็เท่านั้น หน้าที่นี้จึงตกเป็นของเขา จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจปฏิเสธ เพราะในใจลึก ๆ ก็รู้...รู้ว่าพ่อทำทุกอย่างก็เพื่อเขา
เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ แต่ปรินทร์ก็นอนไม่หลับอีกเลย เป็นอย่างนี้เมื่อฝันถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้นวัยเยาว์ เหตุการณ์ที่ฝังติดอยู่ในใจของเขา มันยากที่จะลืมเลือน แม้นจะพยายามแค่ไหนก็ตาม...
อีกด้านหนึ่ง...
กริ่ง! กริ๊ง!~
เสียงกริ่งรถจักรยานสีเขียวดังหน้าบ้านเป็นอันรู้กันว่าใครมา สาวร่างบางตัวเล็ก หน้าตาละม้ายคล้ายกับตุ๊กตาบาร์บี้ เธอมีดวงตากลมโตสีน้ำตาล ผมหยักศกยาวถึงกลางหลัง วันนี้สาวเจ้ารวบเป็นหางม้าไว้ทางด้านบน ใบหน้ายิ้มแย้มนั้นเป็นเอกลักษณ์ของเธอ
“หนูมุก!!”
“จ๋า~” มุกดาหันไปตามเสียงเรียกระหว่างเอาขาตั้งจักรยานลง เธอยิ้มรับเสียงเรียกนั้น
“มาพอดีเลย เกือบไม่ทันพระบิณฑบาต”
“แฮะ ๆ เมื่อคืนหนูนอนดึกไปหน่อยจ้ะ” เธอยิ้มให้กับคุณท่าน ปานเดือนในวัยชรานั้นยังคงสวยงามเช่นเดิม เธอเอ็นดูหนูมุกดาเหมือนกับลูกสาวแท้ ๆ คนหนึ่ง
“โอเค มาทันก็ดีแล้ว เดี๋ยวพระท่านไปก่อน” สาวน้อยวัยยี่สิบสองปีถือถาดข้าวเดินตามร่างบางของคนอาวุโส เธอเอ่ยพูดเสียงแจ้ว ๆ ระหว่างเดินตามหลังมา
“วันนี้มีงานเหรอคะ”
“อ้อ ปริมกลับมาน่ะ”
“ปริม?”
“หนูไม่เคยเจอหรอกจ้ะ” มุกดาขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะถึงบางอ้อเมื่อนึกขึ้นได้
“อ้อ คุณปริม...น้องชายหมอปุณณ์ หนูเคยเห็นรูปในบ้าน!” เธอโพล่งออกมาเสียงดัง ลืมไปว่ามาบ้านหลังนี้ต้องสงบเสงี่ยม เรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้
“หึ ให้เรียกว่าอะไรดีนะ มันดูสับสนแฮะ” ปานเดือนหนักใจไม่น้อย หนูมุกดาเป็นลูกบุญธรรมของเลขาฯ คนสนิทของคนเป็นสามี ซึ่งเธออยู่บ้านที่อาณาเขตของธนธาดา
“เรียกเหรอคะ เรียกคุณท่านก็ได้ค่ะ”
“หึ ทางการไปจ้า” แม้นแต่ตัวเธอให้มุกดาเรียกว่าป้า สาวน้อยคนนี้ยังไม่เรียก เรียกคุณผู้หญิงมาโดยตลอด เธอเจียมเนื้อเจียมตัวเสมอ “หรือให้เรียกพี่ดี”
“หืม...ไม่เอาดีกว่าค่ะ เรียกคุณท่านดีกว่า”
“หึ...” ปานเดือนส่ายหน้าเบา ๆ ก่อนจะวางมือลงที่ไหล่บางของมุกดา “หนูเป็นเด็กดีมาก เติบโตมาอย่างดีเลย”
“_” สาวน้อยมองตาแป๋ว แววตาของคุณผู้หญิงดูเศร้าสร้อย ทั้ง ๆ ที่วันนี้ก็เป็นวันที่ดี ลูกชายคนเล็กกลับมาทั้งที “เป็นเพราะหนูได้รับความเมตตาจากคุณผู้หญิงค่ะ”
“หึ...” ขนาดนี้ก็ยังตอบได้น่ารักเช่นเดิม แม้นว่าจะถูกรับเลี้ยงผ่านลูกน้องคนสนิทของคุณท่าน แต่เธอเองก็รู้ว่าเงินทุกบาททุกสตางค์นั้นไม่ได้มาจากพ่อแม่บุญธรรมเลยสักนิด แต่มาจากครอบครัวของคุณท่านต่างหาก
...เธอใส่บาตรกับปานเดือนทุกวัน ตั้งแต่เด็กที่ถูกปลูกฝังให้ใส่บาตรในตอนเช้า มุกดาจึงเป็นสาวรุ่นใหม่ที่ตื่นเช้าเอามาก ๆ
“เดี๋ยวหนูมาช่วยจัดงานนะคะ” หลังจากใส่บาตรเสร็จ สาวเจ้าก็อยากช่วยงาน เห็นมีทีมงานมาจัดสวนจนบ้านธนธาดานั้นละลานตาไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์
“ไม่เป็นไรจ้ะ ป้าจ้างเอเจนซีมาจัดแล้ว”
“ง่ะ หนูอยากจัดค่ะ น่าสนุก”
“หึ...หาทำทุกที”
“ฮ่า ๆ หนูชอบนี่” เธอน่ารักสดใส ไร้พิษภัยและน่าสงสารในเวลาเดียวกัน “โอ๊ะ! คุณพ่อ”
“ไปหาสิ เหมือนมีเรื่องจะคุยด้วย” มุกดาพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนจะเดินไปหาพ่อบุญธรรม ที่ข้างกายคนเป็นพ่อนั้นมีร่างหนาของคุณท่านยืนอยู่
“สวัสดีค่ะ คุณท่าน”
“ดื้อจริง ๆ เชียว ให้เรียกลุงกี่ครั้งแล้ว” เขาว่าเสียงเข้ม ไม่เหมือนคนเป็นภรรยาที่ยอมปล่อยไป เปรมนัตย์ส่ายหน้าเบา ๆ อย่างคนไม่พอใจเท่าไรนัก
“เอ่อ...” มุกดาชำเลืองสายตามองผู้เป็นพ่อ ก่อนที่อีกฝ่ายจะผงกศีรษะให้เบา ๆ “ค่ะ คุณลุง”
“ดี ดีมากเชื่อฟังแบบนี้” นายท่านมีนิสัยชอบออกคำสั่งตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่แปลกหรอกที่อยากจะออกคำสั่งกับเธอ
“คุณลุงมีอะไรหรือเปล่าคะ เหมือนมีเรื่องจะพูดเลย” ก่อนหน้านี้เธอเห็นว่าทั้งสองคุยกันแล้วมองมาที่เธอ
“มี”
“อ้อ...” เธอทำตัวไม่ถูกเลย หันไปขอความช่วยเหลือจากผู้เป็นพ่อ อีกฝ่ายก็ทำได้แค่พยักหน้าให้เธอ “มะ มีอะไรคะ”
“เรียนจบแล้วใช่ไหม”
“เอ่อ ใช่ค่ะ รอรับปริญญาค่ะ”
“จบเกียรตินิยมนี่”
“อ้อ ใช่ค่ะ” เธอยิ้มรับคำชมนี้ หญิงสาวกุมมือไว้ที่หน้าขา เธอก้มหน้าอยู่ตลอดเวลาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย
“เดี๋ยวจะให้มาช่วยงานที่ธนาคาร” เธอยิ้มรับความเมตตานี้ มุกดาอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นสบตากับอีกฝ่าย พร้อมกับพนมมือไหว้
“ขอบคุณมาก ๆ นะคะ หนูไม่คิดว่าจะได้ทำงานกับบริษัทใหญ่แบบนี้เลย ไม่คิดว่าจะได้ทำเลยค่ะ” เธอพนมมือไหว้ขอบคุณใครต่างก็รู้ว่าธนาคารธนธาดาหรือที่รู้จักกันในชื่อ TTD Bank นั้นมีมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์เท่าไร
“เป็นเลขาฯ พอได้ไหม”
“เลขาฯ เหรอคะ คือหนูเรียนจบบัญชีมา” เธอกังวลอยู่ไม่น้อย เลขาฯ ที่แปลว่าทำได้ทุกอย่างนั้นเธอเองก็อยากลองเช่นกัน แต่ก็ไม่กล้าทำงานที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง เธอยังเด็กไร้ประสบการณ์
“ไม่เป็นไร”
“เอ่อ...”
“รับไว้เถอะ” มุกดายังไม่ตอบรับ แต่น้ำเสียงกดดันของผู้เป็นพ่อนั้นทำให้เธอพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้
“เอ่อ ก็ได้ค่ะ”
“ดี เดี๋ยวจะมีคนไปช่วยสอนงาน ไม่ต้องห่วง” โล่งอกไปที มุกดาลอบถอนหายใจในใจ แต่แล้วคำพูดต่อมาของคุณท่านนั้น...
“ปริมมาวันนี้แหละ เป็นเลขาฯ ของปริม”
“ห๊า...นะหนูยังไม่เคยเจอเขาเลยค่ะ”
“ก็ได้เจอวันนี้แหละ” มุกดาเบิกตาโพลง ลำพังทำงานกับคนรู้จักก็ยากแล้ว แต่นี่จะให้เธอทำงานกับคนที่ไม่เคยแม้นแต่เห็นหน้ากันมาก่อน
...หญิงสาวเม้มริมฝีปากเข้าหากัน เลื่อนสายตามองผู้เป็นพ่อที่พยักหน้าให้เธออีกครั้ง พ่อเป็นเลขาฯ ของคุณท่านตั้งแต่เด็กแล้ว เหมือนกับพี่น้องกันเสียมากกว่าที่จะเป็นเจ้านายกับลูกน้อง สุดท้ายแล้วมุกดาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เธอมีชีวิตที่ดีแบบนี้ก็เพราะใคร หญิงสาวรู้ตัวดี...
กว่าเครื่องบินจะแลนด์ดิงก็ล่อไปหลายชั่วโมงเลยทีเดียว ฝ่าเท้าหนาสัมผัสพื้น ดินแดนที่เรียกได้ว่าเป็นบ้านเกิดของเขา นานแล้วที่ไม่ได้กลับมา
...ใบหน้าเหล่าเหลานิ่งเรียบ เขามีความเย็นชาและเงียบขรึม ลูกน้องหลายคนในชุดสูทเดินตามหลัง รังสีความน่าเกรงขามแผ่กระจายรอบตัวของเขา จนผู้โดยสารคนอื่นที่มารอเช็กอินนั้นถึงกับต้องหลบสายตา
เขาสวมแว่นกันแดดสีชา บดบังดวงตาคมที่ทำให้คนอื่นอึดอัดเวลาเผลอสบตากับเขา ชายหนุ่มเดินนำหน้าคนหลายคนนี้ไปขึ้นรถเมอร์ซิเดส-เบนซ์คันหรูที่จอดรอรับ เขาเงียบไร้เสียงผ่านริมฝีปาก จนลูกน้องหลายคนต้องกลั้นหายใจเป็นพัก ๆ เกรงว่าลมหายใจของตัวเองจะไปรบกวนคนเป็นนาย
ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะฝ่าดงรถติดในเมืองหลวงนี้ได้ เขารู้สึกเบื่อหน่าย ได้แต่นั่งจิบไวน์เงียบ ๆ อยู่หลังเบาะคนขับ เขาคอแข็งขนาดว่าไวน์สองขวดนี้ไม่กระเตื้องเส้นสมองของเขาสักนิด
ทว่าขณะนั้นเอง
ครืดด ครืดด~
เสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น ชายหนุ่มชำเลืองสายตามอง เห็นรายชื่อของผู้เป็นแม่ปรากฏ ใจไม่อยากรับ แต่ก็ไม่อยากมีปัญหาอะไรอีก คิดได้อย่างนั้นฝ่ามือหนาก็คว้ามากดรับ
ติ๊ด!
“ครับ”
[ลูก...ถึงไหนแล้ว]
“ไม่รู้ครับ เปลี่ยนไปเยอะเลย” ว่าพลางหันไปดูข้างทางผ่านบานกระจกประตูรถ เวลาที่ผ่านมาทำให้อะไรหลายอย่างเปลี่ยนไป
[อ้อ แม่ก็ลืมไป งั้นเดี๋ยวแม่โทรถามมาวินก็แล้วกัน] ได้ยินอย่างนั้นก็ไม่ได้รอให้คนเป็นแม่ตัดสาย เขาชิงตัดสายหนีก่อนทุกครั้ง ก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ที่ตำแหน่งเดิม
....ชายหนุ่มไม่ได้สนใจเสียงพูดคุยโทรศัพท์ของคนขับรถกับผู้เป็นแม่ เขากำลังสนใจวิวภายนอกกระจกรถยนต์ กรุงเทพฯเมืองศิวิไลซ์ที่ต่างชาติมักเลือกเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับแรก ๆ เขาเองที่เป็นคนไทย ยังไม่มีโอกาสมาเยือน คงถึงเวลาที่ตนนั้นจะต้องเผชิญความจริงที่หลีกหนีมานาน อดีตที่ไม่อาจลบเลือน ความผิดที่ยังคงติดตรึงจิตใจ อภิสิทธิ์ชนคนรวยที่เขาได้ใช้หนีคดี ชายหนุ่มไม่เคยลืม
“ถึงแล้วครับนาย” เสียงของคนขับรถเรียกสติที่เลือนหายให้กลับมา ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนที่สายตาจะปรับโฟกัส ให้เขามองเห็นเบื้องหน้าได้ชัดขึ้น
“คุณท่านจัดงานเลี้ยงต้อนรับนายครับ” เขากะพริบเปลือกตาปริบ ๆ ไม่ได้รู้สึกดี เพราะรู้ว่างานนี้ก็คงเป็นงานแนะนำตัวที่ผู้เป็นพ่อต้องการ คงอยากป่าวประกาศว่าเขากำลังจะขึ้นบริหารงานแทน แขกเหรื่อเยอะขนาดนี้ ถามว่าเขารู้จักสักคนไหม คงตอบว่าไม่
แกร็ก~
บานประตูถูกเปิดออกจากบุคคลภายนอก ปรินทร์กลืนน้ำลายลงคอ เขารู้สึกประหม่าอยู่ไม่น้อย แต่ก็จำใจก้าวขาลงจากรถไป
“คุณปริมมาแล้ว!!” เสียงร้องทักดังลั่นงานเลี้ยง เป็นเสียงของใครเขาไม่รู้ รู้แค่ว่าตอนนี้มีหลายคนมองมาที่เขา ชายหนุ่มไม่มีแววตาตื่นตระหนก มีเพียงแววตานิ่งเรียบเช่นเดิม เขากระชับเสือสูทที่สวมอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนสายตามองคนในงานทุกคน โดยที่พ่อแม่ของเขากำลังเดินเข้ามาหา
แต่แล้วสายตาของเขาก็ไปหยุดที่ผู้หญิงคนหนึ่ง มีแรงดึงดูดมหาศาล มวลสสารหรือกระไรที่ดึงดูดให้เขาสนใจเธอคนนั้น ผู้หญิงตัวเล็ก สีผิวขาวชมพูราวกับเด็กแรกเกิด ผมหยักศกมีโบสีชมพูติดที่กลางศีรษะ หล่อนกำลังเคี้ยวอาหารตุ้ย ๆ เป็นเพียงคนเดียวที่ไม่ได้หันมาสนใจเขา เธอกำลังสนใจถาดอาหารบุฟเฟต์ตรงหน้า
“ปริมลูก! ได้ยินแม่ไหม” เสียงของมารดาที่ดังขึ้นมานั้นทำให้เขาได้สติ ช่วงนี้จิตใจล่องลอยเสียเหลือเกิน
“ครับ” เขายกมือไหว้ พนมมือไหว้ทั้งพ่อแม่ แม้นว่าท่านทั้งสองจะนั่งเครื่องบินไปหาบ่อยครั้งก็ตาม
“หึ นี่แหละครับ ปรินทร์...ทายาทผู้บริหารธนธาดาคนที่สามของเรา” เสียงประกาศกร้าวของผู้เป็นพ่อนั้นเรียกเสียงปรบมือจากแขกผู้มาร่วมงานเป็นอย่างดี รวมถึงสาวน้อยผู้นั้นที่หันมาให้ความสนใจเขาในที่สุด
“คุณปริมเหรอ...” เธอพึมพำเสียงแผ่วเบา ในมือถือช้อนส้อมค้างกลางอากาศ แม้นจะเป็นเวลาพลบค่ำ แต่แสงจากหลอดไฟในงานเลี้ยงก็ทำให้มองเห็นใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน
“หล่อกว่าในรูปอีกแฮะ” เธอพึมพำออกมาเสียงแผ่วเบา ผลไม้ที่จิ้มคาส้อมอยู่นั้นร่วงลงพื้นก็ยังไม่รู้ตัว หล่อนรู้สึกเหมือนกับหลงเข้าสู่ภวังค์อะไรบางอย่าง...บางอย่างที่แม้นแต่ตัวเธอก็ให้คำตอบไม่ได้