เปรี้ยง! เปรี้ยง!
เสียงฟ้าร้องดังสนั่นหวั่นไหว อึกทึกครึกโครมท่ามกลางหยาดน้ำฝนที่หลั่งรินจากท้องฟ้า ความมืดมิดของเวลากลางคืนนั้นน่าสะพรึงกลัว เวลาเกือบเที่ยงคืนเช่นนี้บ้านหลายหลังต่างปิดไฟมืดสนิท ต่างจากบ้านธนธาดา บ้านเดี่ยวสูงถึงสองชั้น บริเวณโดยรอบมีพื้นที่กว่าหนึ่งร้อยไร่ ตั้งอยู่ใจกลางกรุงฯ บ้านหลังสีขาวที่ทางด้านหลังเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา
...ทางด้านหน้าชิดกับถนนใหญ่ ส่วนทางด้านหลังนั้นติดกับตลิ่งแม่น้ำสายสำคัญของประเทศ ภายในบ้านนี้ตกแต่งสไตล์ยุคใหม่ทั้งหมด ปฏิสังขรณ์ใหม่มาโดยตลอดตามยุคสมัย ที่ตอนนี้นิยมตกแต่งในรูปแบบมินิมอล หรือที่เรียกว่าเล็ก ๆ น้อย ๆ เน้นสีขาวซึ่งเป็นไม้เนื้ออ่อน มูลค่าบ้านหลังนี้ประเมินไม่ได้ เพราะถูกส่งต่อมาอย่างยาวนานให้กับลูกหลานผู้สืบสกุล ใครต่างก็รู้ว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านผู้สืบสกุลของผู้ดีเก่า เจ้าของถังเงินถังทองของประเทศ
ฝนห่าใหญ่ที่สาดเทลงมาอย่างต่อเนื่อง ราวกับกำลังตอกย้ำซ้ำเติมคนกำลังสิ้นหวัง แสงสว่างวาบลอดผ่านหน้าต่างนั้น สาดเข้าใส่ใบหน้าของเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีคนหนึ่ง เขากำลังนั่งมองผลการเรียนของตัวเองผ่านหน้าจอเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ยี่ห้อดัง
“เฮ้อ...” เขาพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ เงยหน้าขึ้นมองเพดานของบ้าน เลขศูนย์หลายตัวที่ปรากฏให้เห็นสู่สายตา บอกตามตรงแม้นแต่ตัวเขาเองก็ยังรับไม่ได้
“โดนด่าแน่กู” ริมฝีปากหยักได้รูปพึมพำเสียงแผ่วเบา เขาไม่ได้อยากได้เกรดเฉลี่ยต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดนี้ การเรียนไม่เหมาะกับเขาเลยจริง ๆ เด็กหนุ่มพยายามเข้าเรียนแต่ก็ค้นพบว่าการไปแอบหลับในห้องสมุดนั้นทำให้มีความสุขมากกว่า แต่แล้ว
ปัง! ๆ
เสียงตบบานประตูแรง ๆ นั้นดังแข่งกับเสียงฟ้าร้อง ไม่ต้องเดาว่าเป็นใครที่มาเคาะประตู เสียงดังแข่งกับเสียงฟ้าร้องได้ขนาดนี้ก็ไม่ต้องเดาเช่นกันว่าคนที่มาเคาะประตูนั้นโมโหมากแค่ไหน
“ปริม! ไม่ได้ยินหรือไง!! มาเปิดประตูให้พ่อ!!” เสียงของคนเป็นพ่อทำเอาเด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาแรง ๆ บิดาคงเห็นผลการเรียนของเขาแล้ว ปรินทร์ผุดลุกขึ้นยืน หากไม่ไปเปิดประตูอีกฝ่ายคงพังประตูเขามาอย่างไม่ต้องสงสัย
แกร็ก!
เพี๊ยะ!!
ไร้ซึ่งคำพูดที่ส่งถึงกัน มีเพียงเสียงฝ่ามือหนาของผู้เป็นพ่อที่บันดาลโทสะฟาดใส่ใบหน้าของคนเป็นลูกทันทีที่อีกฝ่ายเปิดประตูออกมา
“พี่เปรม!!” ตามมาด้วยเสียงของมารดาที่วิ่งขึ้นบันไดบ้าน ปานเดือนเข้ามาประคองแขนบุตรชายคนเล็ก เด็กหนุ่มใบหน้าชาวาบ เขากลืนน้ำลายลงคอพร้อมกับความร้อนผ่าวบนใบหน้า ทว่า
“พ่อครับ...” บานประตูห้องไม่ไกลกันนั้นก็ถูกเปิดออก ปรินทร์หันไปมองพี่ชายของตัวเอง “ใจเย็น ๆ นะครับ น้องยังเด็ก”
“เด็ก? เด็กไม่ได้เรื่องสิไม่ว่า” เขากัดฟันกรอด เสียงของผู้เป็นพ่อทำเอาน้ำตาไหลพราก พี่ชายตัวดีไม่น่าเข้ามาช่วย คำพูดเหมือนกับจะดี แต่มันก็ยิ่งทำให้คนเป็นพ่อเกิดการเปรียบเทียบไม่หยุด
“ดู! ทำไมไม่เหมือนพี่ของแกเลย ฮะ!”
“_” เขาไม่ได้ตอบอะไร เพียงแค่ขบกรามแน่นพร้อมกับกำฝ่ามือจนเส้นเลือดตามแขนของเด็กหนุ่มวัยเจริญพันธุ์นั้นปูดโปน เขาผ่อนลมหายใจออกมาแรง ๆ
“พอเถอะค่ะ อย่าใส่อารมณ์เลย ผลการเรียนไม่ได้ตัดสินชีวิตของลูกสักหน่อย”
“ไม่ แล้วอย่างนี้พี่จะฝากงานไว้กับใคร”
“ก็ฝากไว้กับลูกพ่อไง” เด็กหนุ่มสวนกลับทันควัน ทำให้คนเป็นพ่อค่อย ๆ หันมามอง
“ทำไม แกกำลังจะบอกว่าแกไม่ใช่ลูกฉันงั้นเหรอ”
“พี่เปรม...พอเถอะ” ปานเดือนปล่อยมือออกจากแขนของลูกชาย เปลี่ยนไปยืนขวางหน้าสามีของตัวเองไว้ ตอนนี้คนตรงหน้ายิ่งกว่าเพลิง ฝนที่กระหน่ำเม็ดลงมาไม่หยุดนี้ไม่ได้ช่วยอะไรเลย บรรยากาศภายในบ้านนั้นร้อนระอุ พร้อมจะมอดไหม้ให้เป็นผงธุลี
“ไม่ พี่ต้องคุยให้รู้เรื่อง ถ้ายังทำตัวแบบนี้ต้องส่งไปดัดสันดาน”
“ไม่! ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น!!” ปรินทร์โพล่งเสียงออกมาเสียงดัง อันที่จริงก็อยากจะหนีจากพ่อแม่เหมือนกัน แต่ไม่อยากให้พี่ชายอยู่ที่นี่ เขาอยากอยู่กวนคนเป็นพี่
“ทำไม แกอยากขัดคำสั่งฉัน? ใช่ไหม การขัดคำสั่งฉันมันเป็นความสุขของแกสินะ” แม้นว่าภรรยาคู่ชีวิตจะเดินมาขวางหน้า แต่ด้วยส่วนสูงที่ต่างกันนั้นทำให้เขายังสามารถมองเห็นบุตรชายคนเล็กได้เช่นเดิม
“พี่...เราคุยกันแบบใจเย็น ๆ ก็ได้นี่”
“ไม่ยงไม่เย็นมันหรอก เรียนโง่ขนาดนี้ไม่ต้องเรียนมันหรอก” น้ำเสียงของคนเป็นพ่อเต็มไปด้วยการดูถูก เด็กหนุ่มไม่ได้อยากโง่เลยสักนิด เขาแค่ไม่ได้เข้าเรียนไม่ได้แปลว่าเขาโง่ หนังสือเต็มห้องสมุดที่เขาชอบอ่าน วารสารนั่นนี่ที่ไม่ได้อยู่ในตำราเรียน แต่พ่อก็ตัดสินทุกอย่างจากกระดาษแผ่นเดียว
“ปริม ขอโทษพ่อนะ แล้วก็กลับเข้านอน” มารดาเห็นท่าไม่ดีอยากให้สงบศึก
“ทำไมผมต้องขอโทษด้วย เมื่อกี้พ่อตบผม” ว่าเสียงสั่น “ทำไมพ่อตบผมแล้วไม่ขอโทษผมบ้าง”
“เอ๊ะ!...ไอ้ลูกคนนี้” เปรมนัตย์ดันไหล่ของคนเป็นภรรยาให้ขยับออก เพื่อที่จะได้ทำโทษลูกให้ได้ แต่ลูกชายคนโตของเขาก็เข้ามาห้าม
“พ่อครับ ใจเย็น ๆ นะครับ”
“ออกไปปุณณ์ พ่อจะคุยกับน้องให้รู้เรื่อง ถ้าไม่รู้เรื่องยังไงต้องไปเรียนที่อื่น”
“ผมไม่ไป!” ปรินทร์ตะคอกเสียงออกมาดัง ก่อนจะเป็นฝ่ายผลักคนเป็นพี่อย่างแรงด้วยความหมั่นไส้ จนอีกฝ่ายที่ไม่ทันได้ตั้งตัวนั้นล้มตึง
“ปริม!!” ทำเอาคนเป็นพ่อโกรธมากว่าเดิม ทั้ง ๆ ที่ปุณณกันต์พยายามเข้ามาช่วย “ขอโทษพี่เดี๋ยวนี้!”
“ไม่!! ใครบอกให้แม่งมาเสือก!!”
“ปริม!” คำพูดคำจาของลูกชายทำเอาคนเป็นพ่อพิโรธ ฝ่ามือหนาของเขายื่นไปกระชากคอเสื้อของคนเป็นลูกแรง ๆ “ไอ้ลูกเวรนี่!”
“พี่เปรม...” มารดาร้องไห้ เอื้อมมือขึ้นจับต้นแขนแกร่งของผู้เป็นสามี ส่วนปุณณ์ยังคงนั่งอยู่บนพื้น
“อึก ใช่ ผมมันลูกเวร ลูกเวรแบบผมไม่ได้อยากเกิดมาเสียด้วยซ้ำ” ว่าทั้งน้ำตา ก่อนจะปัดมือของคนเป็นพ่ออย่างแรง จนมือของคนเป็นพ่อหลุดไป ด้วยความที่อ่อนแรงขึ้นเสียดื้อ ๆ ถ้อยคำน้อยใจที่ลูกชายเอ่ยพูดนั้นมันทิ่มแทงจิตใจของคนเป็นพ่อ บาดลึกถึงก้นบึ้งหัวใจ รับรู้ว่าตนนั้นพูดจาแรงไปจริง ๆ
“พ่อขอโทษ...” เปรมนัตย์เอ่ยพูดขึ้นก่อน ทว่าอีกฝ่ายไม่เปิดใจรับฟังแล้ว เขาเดินลงบันได กระทืบเท้าปึงปังด้วยความไม่พอใจ
“ปริม! ปริมจะไปไหนลูก!!” มีแค่คนเป็นแม่ที่วิ่งตามลงมา เปรมนัตย์แข้งขาอ่อนแรงเกินกว่าจะเดินไปขอโทษลูกชายที่ตนโมโหเกินกว่าเหตุหลังจากที่เปิดเข้าดูผลการเรียนของลูกชายผ่านเว็บไซต์ของโรงเรียน
“พี่เปรม!!” ทว่าไม่นานภรรยาคู่ชีวิตก็กลับขึ้นมาบนบ้านอีกครั้ง พร้อมกับใบหน้าตื่นตกใจ
“เกิดไรขึ้น”
“ปริมขับรถออกไป ปริมขับรถพี่ออกไป!” ได้ยินอย่างนั้นถึงกับตาโตตกใจ เปรมนัตย์วิ่งลงบันไดไม่คิดชีวิต ลูกชายขับรถเป็นด้วยความที่เขาสอน คนเป็นลูกตัวโตเกินไปมาก ตัวสูงใหญ่ด้วยความรวดเร็ว แต่ลูกชายไม่เคยขับรถออกถนนใหญ่ แถมตอนนี้ฝนยังกระหน่ำเทลงมาอีกด้วย ทว่าพอวิ่งลงมาที่โรงจอดรถได้ก็ไม่ทันเสียแล้ว ปรินทร์ขับรถของเขาออกไปไกลมากแล้ว...
สายตาพร่าเลือนไปด้วยหยาดน้ำตา อีกทั้งฝนที่กระหน่ำลงมาไม่หยุดนั้น ทำให้เด็กหนุ่มมองถนนไม่ชัดเท่าไรนัก เขาขับรถไปร้องไห้ไปไม่คิดชีวิต อยากตายไปให้พ้น ๆ ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่แล้ว
“เฮ้ย!!”
ปัง!! โครมมม~
เอี๊ยดดด!!!
ถุงนิรภัยกระแทกใส่ใบหน้าของเด็กหนุ่มอย่างแรง จนเขามึนไปชั่วขณะ ก่อนจะตั้งสติได้ว่าเมื่อสักครู่นั้นตนชนเข้ากับอะไรบางอย่าง บางอย่างที่เหมือนกับ...
“คนเหรอวะ” ใจของเขาหล่นวูบ เด็กหนุ่มหายใจตัดขัด หัวใจเต้นโครมครามด้วยความวิตกหวาดกลัว ก่อนที่เขาจะตัดสินใจเปิดประตูลงจากรถ ค่อย ๆ เดินกลางสายฝนไปยังท้ายรถ เรี่ยวแรงทั้งหมดทั้งมวลเหมือนจะค่อย ๆ หายไป เขาก้าวขาไม่ออกเสียด้วย ยิ่งไปกว่านั้น น้ำฝนบนถนนที่ควรจะเป็นสีใสกลับเป็นสีแดงฉานของเลือด
ตุบ!
ปรินทร์เข่าอ่อน ทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น ร่างกายของตนนั้นเปียกโชก มีหยดน้ำฝนไหลอาบไปทั่วทั้งกาย เขามองไม่ชัด แต่มันก็ชัดเจนมากพอที่จะทำให้รู้ว่าตนนั้น...ขับรถชนคนตาย