“เจ้าอย่าเข้าใกล้มากนักเล่า พื้นที่กำลังก่อสร้างต่อเติมล้วนเต็มไปด้วยอันตราย ยืนดูห่างๆ อยู่ตรงนี้แม่จะไปสุขาสักครู่” จังฮูหยินชี้ไปยังอาคารเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลนัก
“ท่านแม่ไปเถิด...ข้าจะยืนรออยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนเจ้าคะ”
“ดี..รอแม่ครู่เดียว”
เผยมู่ซีนึกอยากเห็นภาพที่จิตรกรเล่านั้นวาดใกล้ๆ พอดีกับที่คนงานที่ซ่อมแซมรอบๆ ได้เวลาเลิกงานพอดี พวกเขาจึงลงจากนั่งร้านไปจนหมด เหลือเพียงจิตรกรสองคนที่ชั้นล่างยังคงวาดภาพติดพันอยู่ นางมองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีผู้ใดแล้วจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ
จิตรกรวัยกลางคนกำลังตั้งอกตั้งใจวาดขุนเขาจึงมิได้หันมาสนใจนาง เผยมู่ซีมองลายเส้นที่ยังไม่คมพอด้วยความรู้สึกคันไม้คันมือ
“ท่านลุง ข้าอยากช่วยท่านวาดจะได้หรือไม่?”
บุรุษผู้นั้นเอียงหน้ามามองนางเล็กน้อย “แม่หนูน้อยเจ้ายังเล็กนัก หากมาช่วยแล้วงานของข้าเกิดความผิดพลาด เห็นทีคงต้องถูกองค์ชายลงโทษเป็นแน่”
เผยมู่ซียิ้มน้อยๆ นางมองกระดาษรองเปื้อนที่วางอยู่บนพื้น
“เช่นนั้นให้ข้าพิสูจน์ฝีมือสักหน่อยเถิด”
นางหยิบพู่กันพังๆ ที่บุรุษผู้นั้นวางไว้บนพื้น จุ่มหยดหมึกที่ย้อยทิ้งแล้วตวัดพู่กันลงบนกระดาษรองเปื้อนอย่างรวดเร็ว อึดใจเดียวก็ปรากฏเป็นเทือกเขางดงามต่อหน้าจิตรกรผู้นั้น
“เหตุใดเจ้าจึงวาดภาพได้งดงามเช่นนี้? ผู้ใดเป็นอาจารย์ของเจ้า?”
เผยมู่ซีในร่างของชิงหลานยิ้มแล้วเชิดหน้าน้อยๆ “ข้ามิอาจเอ่ยอ้างถึงอาจารย์ เอาเป็นว่าฝีมือข้าดีพอจะช่วยท่านวาดภาพฝาผนังได้หรือไม่?”
“ได้ๆ เจ้าฝีมือดีเช่นนี้ ช่วยข้าได้มากเทียว ข้าอยากวาดส่วนนี้ให้เสร็จจะได้กลับบ้านเสียที ยามนี้ภรรยาข้าคงรอแย่แล้ว”
“มาๆ ข้าช่วยท่านเอง” เผยมู่ซีพับแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้างก่อนจะนั่งลงใกล้ๆ กับจิตรกรผู้นั้น
“นี่ๆ เจ้าใช้พู่กันพวกนี้นะ ส่วนสีก็ใช้อันที่ข้าผสมไว้ได้เลย”
“เจ้าค่ะ”
จังฮูหยินเดินกลับมาเห็นบุตรสาวกำลังช่วยจิตรกรวาดภาพฝาผนังก็ยิ้มกว้าง “การบูรณะวัดนับเป็นกุศลอย่างยิ่ง เจ้าช่วยทำไปก่อน เดี๋ยวแม่เดินไปไหว้เทพเซียนด้านโน้นสักครู่ หากเจ้าเสร็จก่อนก็เดินไปหาแม่ตรงกระถางธูปใหญ่กลางแจ้งก็แล้วกัน”
เผยมู่ซีรับคำเสียงใส จิตรกรอีกคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลนักหันมาเด็กหญิงที่ตวัดพู่กันอย่างชำนิชำนาญด้วยความสนใจ
“บุตรสาวของเจ้าช่างเก่งกาจนัก ฝีมือเช่นนี้เหมือนกับฝึกฝนมานับสิบปี”
จังฮูหยินปิติเต็มหัวใจ “นับว่าสวรรค์ได้ประทานพรให้นางแล้ว”
คนทั้งสามยังคงก้มหน้าก้มตาวาดภาพกันต่อไป โดยมิได้ดูเลยว่าบัดนี้ด้านหลังมีร่างสูงโปร่งของบุรุษสูงศักดิ์กำลังเอามือไพล่หลังยืนหน้าบึ้งอยู่
“เด็กนี่เป็นผู้ใดกัน? เหตุใดพวกเจ้าจึงให้มายุ่งกับภาพฝาผนังได้?”
เผยมู่ซีสะดุ้ง หันหลังกลับไปมอง บุรุษที่ยืนบังแสงอาทิตย์ยามบ่ายคล้อยสูงสง่า นางเงยหน้าขึ้นหมายจะมองหน้าให้ชัดเจน ทว่ากลับไม่อาจสู้แสงที่สาดเข้ามาได้จึงวางพู่กันแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นบังแสงตะวัน
“เจ้าเป็นลูกหลานพวกเขาหรือไร? เหตุใดจึงซนนัก? กล้ามาทำให้ภาพที่ข้ารับผิดชอบเสียหาย”
เผยมู่ซีได้ยินคำสบประมาทก็เดือดดาล “เสียหายที่ใดกัน? ข้ามาช่วยให้พวกเขาทำงานได้เร็วขึ้นต่างหาก”
ชายหนุ่มฉวยข้อมือข้างที่สาวน้อยยกขึ้นมาบังแสงแดดฉุดร่างให้นางลุกขึ้น ร่างเล็กผอมบางผวาตามแรงดึงจนเข้าไปปะทะร่างของเขา
“โอ๊ะ! นี่เจ้าคิดจะทำสิ่งใด?”
ร่างนั้นแทบจะปลิวตามลมได้อยู่แล้ว เมื่อเซชนร่างเขาก็ยังคงทรงตัวไม่อยู่ความสูงของนางก็แค่หน้าอกของเขาเท่านั้น น่าเจ็บใจนักชาติก่อนเผยมู่ซีก็มิได้เตี้ยเยี่ยงนี้สักหน่อย ต้องโทษที่ชิงหลานป่วยนานเกินไปจนร่างกายไม่เติบโตดูๆ ไปก็ราวเด็กหญิงอายุไม่ถึงสิบสองปี
“ท่านต่างหาก...คิดจะทำสิ่งใด?” นางเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่ม ดวงตากลมโตนั้นเบิกกว้างดูแล้วไม่ดูเกรงกลัวเขาสักนิด
จิตรกรวัยกลางคนทั้งสองหันขวับมาโดยเร็ว เมื่อเห็นเพียงชายเครื่องแต่งกายของคนผู้นั้นก็รีบคุกเข่าโขกศีรษะทันที
“องค์ชาย! ได้โปรดฟังหม่อมฉันก่อนพะยะค่ะ” จิตรกรวัยกลางคนที่อนุญาตให้เผยมู่ซีช่วยวาดภาพเงยหน้าขึ้นเพื่อหวังจะอธิบาย
ทว่าหมิงเฉิงอวี่กลับทรงยกพระหัตถ์ขึ้นห้าม “ให้ข้าสอบสวนนางก่อน!”
“พะยะค่ะ” ร่างที่คุกเข่าอยู่จำเป็นต้องก้มหน้ารอ
หมิงเฉิงอวี่ยังคงกำข้อมือของนางไว้แต่ไม่กล้าออกแรงมากนักเพราะเห็นว่าเด็กหญิงผู้นี้ผอมบางเหลือเกิน “เจ้าบอกมา...เจ้าเป็นผู้ใด?”
“ท่านเป็นองค์ชายจริงๆ หรือ?” เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นถามด้วยความฉงน
สีหน้าของเขาเป็นสีระเรื่อด้วยความเคือง นี่เป็นครั้งแรกที่มีผู้กล้าถามเขา เยี่ยงนี้ “ใช่! เปิ่นหวางคือองค์ชายสิบห้า หมิงเฉิงอวี่” เขาหวังจะข่มขู่ให้นางหวาดกลัวแต่กลับไม่ได้ผล หมิงเฉิงอวี่คล้ายเห็นแววตาเด็กหญิงแสดงความเกลียดชังออกมาแวบหนึ่ง
“อ้อ...ท่านเป็นองค์ชายแล้วจะรังแกเด็กอ่อนแอเช่นข้าอย่างไรก็ได้งั้นหรือ?”
ชายหนุ่มได้ยินประโยคนั้นถึงกับผงะ รีบปล่อยมือที่กุมข้อมือนางโดยไว เขาซึ่งเป็นหนุ่มฉกรรจ์วัยยี่สิบสองปี เมื่อเทียบกับเด็กหญิงวัยสิบสองที่แค่บีบเล็กน้อยกระดูกของนางก็พร้อมจะแหลกคามือเขาแล้ว ย่อมไม่ควรที่จะรังแกนางจริงๆ แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงคือยังมีเด็กที่ฝีปากกล้าเช่นนี้ด้วยหรือ?
“เจ้าเป็นผู้ใด?” ชายหนุ่มแก้เก้อด้วยการเอามือไพล่หลัง ถอยเท้าออกไปหนึ่งยืนด้านข้าง ก้มหน้าเล็กน้อยคอยสังเกตสังกาเด็กหญิงตรงหน้า
“หม่อมฉันชื่อชิงหลานเพคะ มาอาสาท่านลุงผู้นี้เพื่อช่วยวาดภาพเท่านั้น มิได้ทำให้เสียหายสักหน่อย”
องค์ชายสิบห้าทรงเลิกพระขนงข้างหนึ่งก่อนจะหันไปดูร่องรอยที่เด็กหญิงวาดอยู่บนผนังก็ไม่พบว่ามีที่ใดเสียหายหรือเลอะเทอะ จึงหันไปหาจิตรกรที่คุกเข่าอยู่
“นางทำได้จริงหรือ? เหตุใดเจ้าจึงได้อนุญาตโดยมิได้บอกเปิ่นหวางก่อน?”
“พระอาญามิพ้นเกล้า ฝีมือของนางดีมากจริงๆ พะยะค่ะ โปรดทอดพระเนตรก่อนเถิด” จิตรกรผู้นั้นหันไปหยิบกระดาษรองเปื้อนที่วางอยู่พื้นด้านหลังมายื่นให้กับองค์ชายหมิงเฉิงอวี่
ภาพที่เทือกเขาที่ปรากฏต่อหน้าลายเส้นแสดงถึงความชำนาญในการวาดเป็นอย่างดี “ภาพนี้เป็นเจ้าวาดหรือ?”
“เพคะ” ดวงตาของเด็กหญิงแข็งกร้าว
องค์ชายหมิงเฉิงอวี่รู้สึกราวตนเองเคยล่วงเกินเด็กหญิงอย่างใหญ่หลวงจนนางมีความแค้นฝังใจ เมื่อพินิจให้ดีจึงทรงนึกออกว่าเคยเจอเด็กหญิงผู้นี้มาแล้ว ครั้งหนึ่ง
“เจ้านั่นเอง! เด็กที่เป็นลมบนถนนในขบวนแห่ศพของคุณหนูเผย”
เผยมู่ซีผงะเล็กน้อย นางจำเหตุการณ์นั้นได้แต่กลับไม่รู้ว่าตนเองได้พบหน้าองค์ชายสิบห้าด้วย ตอนที่นางได้สติขึ้นมาอีกครานั้นก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงในโรงหมอของท่านหมอเกาแล้ว ยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยถาม จังฮูหยินก็ตรงมาพอดี
“คารวะองค์ชายสิบห้า หม่อมฉันเป็นแม่ของชิงหลาน ชื่อจังฉีเพคะ” ร่างสูงโปร่งหันมามองสตรีมาใหม่ที่คุกเข่าลงต่อหน้า “ไม่ทราบว่าบุตรสาวของหม่อมฉันได้ล่วงเกินอันใดองค์ชายหรือไม่?”
“ยังหรอกจังฮูหยิน เปิ่นหวางเพิ่งจะสอบสวนแต่เห็นว่านางมิได้ทำอันใดเสียหายก็มิได้ถือโทษ”
เผยมู่ซีเผลอจ้องใบหน้าคนพูดเขม็ง “หม่อมฉันกำลังสร้างคุณประโยชน์ให้กับองค์ชายด้วยการช่วยวาดภาพให้เสร็จเร็วขึ้นต่างหากเพคะ”
“ดี! เช่นนั้นก็คิดเสียว่าเจ้าได้ตอบแทนพระคุณที่ข้าช่วยเหลือเจ้าในวันนั้น พรุ่งนี้มาวาดต่อให้เสร็จทั้งผนังก็แล้วกัน”
************************