สักพักโต๊ะข้างๆ มีคนลุก ผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามานั่งแทนที่ทันที แล้วในที่สุดสายตาของขนมผิงก็เห็นคนที่เธอรอกำลังเดินตรงมาด้วยท่าทางเร่งรีบพลางมองนาฬิกาที่ข้อมือไปด้วย
ขนมผิงเปิดยิ้มกว้างจนตาหยี พี่ไม้ซุงเหมือนสารส้มที่เข้ามาแกว่งๆ ในหัวใจทำให้ตะกอนขุ่นๆ นอนก้น ขนมผิงให้อภัยเขา ถึงจะมาช้าแต่ก็มาอยู่ดี เธออ้าปากทัก
“พี่ไม้ขะ...”
“รอนานไหมแพร” ไม้ซุงสอดตัวเข้าไปในเก้าอี้ของโต๊ะตัวข้างๆ
“แป๊บเดียว โทรศัพท์แบตหมดเหรอ แพรโทร.หาเมื่อตอนสายว่าจะเปลี่ยนร้าน ตอนนี้อยากกินอาหารอินเดียหน้ามหา’ลัยมากกว่า”
“อือ โทษทีนะ อยากกินอาหารอินเดียใช่ไหม ไปกัน” ไม้ซุงพูดเอาใจแฟนสาว
ร่างสูงลุกขึ้นยืน ยื่นมือไปให้ผู้หญิงคนนั้นจับ ไม่แม้แต่จะหันมามองโต๊ะข้างๆ ด้วยซ้ำ
“พี่ไม้ขีด” เธอตัดสินใจเรียกเขา ทวงนัดของตัวเองบ้าง
“อ้าว ผิง” เสียงของไม้ซุงบ่งบอกว่าเพิ่งเห็นเธอจริงๆ เขาหันไปมองรอบๆ “ไอ้ทิงล่ะ เห็นบอกว่าจะมากินข้าวกับผิง”
ขนมผิงส่ายหน้า ก้อนสะอื้นตีตื้นขึ้นมา ฝืนก้มหน้าตักข้าวเข้าปากไม่ให้เขาเห็นความผิดหวังในดวงตา ลำคอตีบตันรับรสเค็มปะแล่มของน้ำตาที่ตกอยู่ข้างใน มือบางเย็นเยียบ ได้ยินเสียงเขาแว่วๆ ว่าพี่ไปก่อนนะ
เธอมองแผ่นหลังแกร่งที่เดินห่างออกไปเคียงคู่กับผู้หญิงคนนั้นอย่างนึกน้อยใจ เข้าใจไปว่าเมื่อเช้าที่เขาพูดจาหวานๆ ก็นัดเธอให้กับกระทิง เพื่อนเขานี่เอง
แต่ความพยายามของเธอก็ยังไม่มอดดับ
“เดี๋ยวก่อน” ขนมผิงตัดสินใจหยิบของในกระเป๋าผ้า วิ่งไปหาไม้ซุงที่จับมืออยู่กับแฟนของเขา
“มีอะไรผิง เคี้ยวข้าวให้หมดปากก่อนสิเดี๋ยวก็ติดคอหรอก โตแล้วนะ” ไม้ซุงหัวเราะอารมณ์ดี พยักพเยิดชวนแฟนให้ดูความไร้เดียงสาของเด็กสาวตรงหน้า
แววตาของผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มีความเอ็นดูแบบที่ไม้ซุงมอง แล้วไงใครแคร์ ขนมผิงไม่แคร์ซะอย่าง
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์นะ” เธอยื่นโมเดลกระต่ายน่ารักที่หูทั้งสองข้างของมันมีดอกไม้สีชมพูติดอยู่ให้เขา
เขารับมันไปจากเธอ “อ้าว วันเกิดพี่เหรอ ขอบใจนะ อุตส่าห์จำได้”
“ไม่เห็นต้องใช้คำว่าอุตส่าห์เลย ผิงไม่เคยลืม” พูดยังไม่ทันจบดีเขาก็ออกเดินไปกับคนรักของเขา แต่เธอก็ยังได้ยินเสียงสนทนาของทั้งคู่
“อ้าว ไม้ซุงเกิดวันนี้เหรอ งั้นค่ำนี้เราหาร้านนั่งดื่มนอกมหา’ลัยกันไหม”
“ไปสิ”
“กระต่ายนั่นตลกดีนะ” ผู้หญิงข้างๆ เขาเอ่ย
“แพรชอบเหรอ”
“อือ มันเป็นกาชาปองน่ะ แถวหอนอกมีตู้กาชาปองเยอะเลย น่ารักกว่านี้ก็มีนะ”
เธอไม่รู้ว่าหลังจากบทสนทนานั้นกระต่ายของเธอไปอยู่ไหน เธอเองก็ไม่รู้จักจำ วิ่งไล่ตามเขาจนเหนื่อย ตอนแรกก็คิดว่าหยุดตัวเองได้แล้ว แต่พอมาเจอเขาที่มหาวิทยาลัยอีก เธอก็อยากลองดูอีกสักตั้ง แล้วก็เป็นเหมือนเดิมจนได้
‘ต้องเจ็บเท่าไรถึงจะพอกันฮะขนมผิง’
*********
เหมือนคำถามที่เธอถามตัวเองจะเบาไป เพราะพอเปิดเทอมมา ขนมผิงก็พบว่ามีวิชาพื้นฐานตัวหนึ่งที่เธอลงมันเหมือนกับไม้ซุง ต้องพรหมลิขิตขนาดไหนที่ทำให้เฟรซชี่อย่างเธอได้เรียนกับพี่วิศวะปีสี่ แถมเป็นคนที่เธอชอบเขามานานด้วย เอเนจี้จีบพี่ให้ติดกลับมาอีกครั้ง
“นั่งด้วยสิ”
ไม้ซุงพยักหน้าแกนๆ “ไม่มีเพื่อนมาเรียนด้วยเหรอ”
“มี แต่อยากนั่งกับพี่มากกว่า” เธอยิ้มหวานส่งให้เขา
“นั่งเรียนนะ ไม่ใช่มานั่งมองหน้าพี่” ไม้ซุงกำชับ
“สาบานเลย แล้วทำไมพี่เพิ่งมาเรียนตัวนี้ล่ะ”
“เลขมันง่าย พี่เลยเอาไว้เก็บปีสุดท้าย” ไม้ซุงบอกกับเธอชิลๆ
“บุพเพสันนิวาสแท้ๆ”
“เพ้อเจ้อ บุพเพอาละวาดน่ะสิไม่ว่า”
“เอ๊ะ แต่จะว่าไป การที่ต้องมาตัดเกรดกับเด็กวิศวะเนี่ยเรียกว่าความซวยจะดีกว่า ไม่ใช่บุพพงบุพเพอะไรหรอก คนโง่เลขมาเรียนกับคนเก่งเลข เกรดซีหรือไม่ก็ดีด็อกลอยมาเห็นๆ” ขนมผิงตัดพ้อ
“ก็ตั้งใจเรียนสิ”
“พี่เข้าใจไหมว่าเรียนกับคนเก่งน่ะ พลาดแม้แต่ข้อเดียวก็ไม่ได้”
ถึงแม้ว่าหนึ่งสัปดาห์จะได้เรียนกับไม้ซุงแค่สามชั่วโมง แต่มันก็ทำให้คนที่ไม่ชอบเลข รอคอยที่จะได้เข้าคลาสนี้ที่สุด แต่ก็เจ็บปวดตบท้ายเพราะจะมีพี่ผู้หญิงคนนั้นมายืนรอหน้าห้องตอนท้ายชั่วโมง เธอสืบรู้มาว่าเรียนคณะเดียวกับเธอแต่คนละสาขา
แต่แล้วโอกาสที่จะได้เข้าใกล้ไม้ซุงมากกว่าเดิมก็เป็นของขนมผิงจนได้
เปิดเรียนมาได้สองสัปดาห์ก็มีการเชิญชวนเข้าค่ายอาสาที่คณะวิศวกรรมศาสตร์จัดขึ้นเป็นประเพณีของทุกปี โดยปีนี้จะสร้างอาคารรองรับกิจกรรมของเด็กๆ ทั้งทำศิลปะ นั่งเล่น และอ่านหนังสือ พื้นที่โครงการอยู่ที่โรงเรียนในจังหวัดเพชรบุรี ด้วยการออกแบบร่วมกันของนักศึกษาคณะวิศวกรรมทุกสาขา
ทั้งวัสดุในการก่อสร้าง สัดส่วน ทิศทางลม แสง โครงสร้าง ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับผู้ใช้ที่ส่วนใหญ่เป็นเด็ก ส่วนภายนอกจะทำเป็นสนามเด็กเล่น และแปลงผักสำหรับการเรียนรู้กลางแจ้ง
การออกแบบภูมิทัศน์นี้ไม่เพียงแค่ต้องการความสวยงามและพื้นที่สีเขียว แต่ยังคำนึงถึงประโยชน์ที่เอื้อต่อกิจกรรมของเด็กๆ ด้วย