ในเช้าวันรุ่งขึ้นของวันที่สี่
ไมล์ออกมายืนที่ระเบียงห้องเหมือนเมื่อวานนี้...
แต่วันนี้เขากลับไม่เห็นอะไรเลยนอกจากสวนที่ไร้สิ่งมีชีวิต ไมล์มุ่นคิ้วอย่างไม่ชอบใจ ทำไมเขาจะต้องออกมามองหายายผู้หญิงคนนั้นด้วย เมื่อคิดได้ดังนั้น ไมล์จึงหันหลังกลับเข้าห้องนอนหยิบชุดวอร์มสำหรับออกกำลังกายมาเปลี่ยน เช้านี้เขาอยากจะวิ่งออกกำลังกาย และในขณะที่ไมล์วิ่งรอบบ้านไปแล้วสองสามรอบ คนที่เขามองหาไม่เจอเมื่อเช้านี้ กำลังเดินมาตามทางจากประตูใหญ่เข้ามายังตัวบ้าน ไมล์แค่เห็นว่าเป็นเธอแค่นั้น และเขาก็วิ่งต่อเพื่อเพิ่มรอบในการวิ่งต่อไป
“คุณพ่อค่ะ ลูกพอจะมีหวังบ้างมั้ยคะเนี่ย” ศศิกานต์ที่มองมาจากชั้นสอง เห็นทั้งไมล์และน้ำแข็ง เมื่อทั้งสองต่างคนต่างอยู่ ต่างดำเนินชีวิตของตนต่อไปแบบไม่มีทีท่าว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์กัน ทำให้ศศิกานต์รู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก
“จะรีบด่วนตัดสินไปทำไม สองคนนี้ยังมีเวลาอีกเยอะ เคยได้ยินมั้ย ระยะทางพิสูจน์ม้ากาลเวลาพิสูจน์คน ไมล์ไม่ใช่คนโง่ และน้ำแข็งก็เป็นเด็กดี เมื่อทั้งสองได้รู้จักกันมากขึ้นทุกอย่างก็จะดีเอง” เอกพจน์ให้กำลังใจบุตรสาว
เมื่อถึงเวลามื้อเช้า ทั้งสี่ก็ประจำที่เรียบร้อย น้ำแข็งก็ตั้งหน้าตั้งตากินไม่พูดไม่จา ไมล์เองก็ไม่ต่างไปจากน้ำแข็งที่เขาก็กินเงียบๆเช่นกัน
“เออ ไมล์ ถ้าวันนี้ลูกไม่มีที่ไหนต้องไป ไปฟังเพชรพระอุมาด้วยกันกับ คุณตามั้ย”
ฮืมม!!! น้ำแข็งสำลักทันที เมื่อสิ้นเสียงของศศิกานต์
“เพชรพระอุมา ฟัง คืออะไรเหรอครับ”
“น้ำแข็งจะอ่านหนังสือให้คุณตาฟังเป็นประจำ ตอนนี้คุณตาติดเรื่องนี้มาก ตอนสมัยที่เรี่ยวแรงมีมากมายก็ไม่มีเวลาอ่าน พอมีเวลาอ่าน ดวงตาก็ไม่เอื้ออำนวยเลย” ศศิกานต์อธิบายให้บุตรชายฟัง พร้อมๆกับชำเลืองมองอาการของน้ำแข็งที่เห็นแล้วว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก
“ก็ได้ครับ” ไมล์เงียบอยู่นานก่อนตอบออกไป น้ำแข็งหน้าร้อนวูบทันที ในขณะที่ศศิกานต์ยิ้มอย่างพอใจ
“ของหวานเป็นอะไร?” เอกพจน์เอ่ยถามน้ำแข็งหลังจากที่กินมื้อเช้าเสร็จแล้ว
“บัวลอยไข่หวานค่ะ” ไมล์เงยหน้าขึ้นมองน้ำแข็งอย่างใคร่รู้และสนใจในทันที
“อ๋อ ป้าของน้ำแข็ง ทำขนมส่งขายตามร้านเบอเกอรี่ร้านกาแฟ ไมล์ก็เคยกินแล้วนิ” ไมล์พยักหน้าเข้าใจในทันที “ไหนๆก็พร้อมหน้าพร้อมตา และทั้งสองก็เจอกันแล้วนะ ไมล์ทันทีที่ลูกเริ่มที่จะเข้าไปทำงานที่บริษัทของเรา น้ำแข็งจะเข้าไปเป็น ผู้ช่วยเลขาฯให้กับลูกนะ”
ไมล์มุ่นคิ้วมองแม่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม และสลับไปมองน้ำแข็งที่นั่งข้างๆ โดยที่เธอยังสวมชุดนักศึกษาอยู่ ไมล์ไม่เข้าใจ “แล้วคนโปรดของคุณแม่ ไม่ต้องเรียนหนังสือเหรอครับ”
“เทอมสุดท้าย น้ำแข็งฝึกงานจร้า แม่ถึงให้เข้าไปฝึกงานที่บริษัทเราไง และถ้าได้ฝึกกับไมล์ จะเป็นโอกาสที่ดีให้กับน้องเขามากๆ”
“นี่เธอ...” ไมล์เริ่มหงุดหงิด เพราะตั้งแต่เริ่มกินมื้อเช้าจนเข้าสู่ช่วงของหวานและกาแฟ เขายังไม่ได้ยินเสียงน้ำแข็งเลย แต่แล้วเมื่อวาจาไม่เสนาะหูเล็ดรอดออกมาจากปากของไมล์ ไม่เพียงเข้าหูน้ำแข็งที่เธอไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อเข้าหูผู้ใหญ่อีกสองคน ศศิกานต์จึงทนไม่ได้ที่จะต้องเอ็ดลูกชายตน
“น้องมีชื่อนะ!”
“เออ...คุณแม่ไม่คิดจะถามน้ำแข็งเขาสักคำเหรอครับว่าอยากจะมาฝึกงานเป็นผู้ช่วยเลขาฯ มั้ย” ศศิกานต์มองใบหน้าลูกชาย และหันไปมองน้ำแข็ง
“พี่เขาอยากรู้ว่า น้ำแข็งสมัครใจและเต็มใจที่จะไปทำงานกับเขามั้ย” ศศิกานต์แปลงภาษาของไมล์ให้สละสลวยน่าฟังมากขึ้น
“ค่ะ เต็มใจค่ะ” เสียงที่เอ่ยออกไปด้วยแววตาและใบหน้าที่ยิ้มแย้ม อย่าง ผู้ที่ได้รับการสั่งสอนมาในเรื่องความกตัญญู แต่ภายในใจ ‘คุณป้าให้หนูไปทำงานเป็นแม่บ้านหรือเด็กเดินเอกสารก็ได้นะคะ หนูจะเต็มใจอย่างไม่คิดอะไรในใจเลยค่ะ’
“คุณไมล์ค่ะ มีคนมาขอพบค่ะ เขาแจ้งว่า เป็นคนนำรถมาส่งให้คุณไมล์ค่ะ” จันทร์ที่พึ่งเดินเข้ามาเอ่ยแจ้งไมล์ในทันที
“รถของลูกมาแล้วเหรอ คุณพ่อ น้ำแข็ง พวกเราออกไปดูกันดีกว่าค่ะ” ศศิกานต์เดินเข้าไปช่วยพยุงเอกพจน์ ซึ่งไมล์ก็ไม่ได้ขัดหรือคัดค้านอะไร ปอร์เช่ คาเยนน์ [Porsche Cayenne] สีดำ จอดรออยู่หน้าประตู ไมล์เดินเข้าไปตรวจสอบรถและเอกสารด้วยตัวเองอยู่สักพัก เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเจ้าหน้าที่ก็ขอลากลับ
ศศิกานต์สบตากับเอกพจน์ อย่างโล่งใจ เธอไม่ได้รังเกียจหรือตั้งแง่กับรถที่ราคาน้อยกว่ารถที่ไมล์เลือก แต่เธออยากให้ลูกชายเพียงคนเดียวมีสิ่งที่ดีที่สุดแบบที่เหมาะสมกับเขาก็เท่านั้น
“เข้าบ้านกันเถอะครับ” คำพูดของไมล์หลังจากที่เขายัดเอกสารที่ได้รับมาจากเจ้าหน้าที่ใส่ไปในรถ
“แค่นี้เองเหรอ” ศศิกานต์เอ่ยถามบุตรชาย ไมล์เลิกคิ้วอย่างไม่เข้าในทันที “รถมาส่ง เซ็นรับ และกลับเข้าบ้าน” ไมล์ยิ้มเล็กน้อย
“มันก็แค่รถสำหรับการใช้งานครับคุณแม่” เอกพจน์ยิ้มเล็กๆ ปกติไมล์ก็เป็นคนนิ่งๆ ไม่หลงตัวเอง ไม่เห่ออะไรง่ายๆ แต่เขาไม่คิดว่าเมื่อไมล์ยิ่งโตขึ้นเขากลับสงบนิ่งเยือกเย็นมากขึ้น ไม่หวั่นไหวกับอะไรง่ายๆ ทั้งๆที่อายุก็ไม่ได้มากนัก
ณ ระเบียงพักผ่อนของเอกพจน์ วันนี้สมาชิกมากกว่าปกติ ที่เพิ่มขึ้นมาอีกสองคน เดิมมีแค่ไมล์ที่เป็นสมาชิกใหม่ของวันนี้ แต่วันนี้นับแสนก็มาร่วมวงด้วยจึงทำให้บรรยากาศดูครื้นเครงมากเป็นพิเศษ
“จะจบดงมรณะแล้วเหรอเนี่ย” นับแสนที่นั่งคั่นกลางระหว่างน้ำแข็งและไมล์โน้มมามองหนังสือเพชรพระอุมาในมือน้ำแข็ง แล้วเห็นว่าเป็นเล่มที่8 แล้ว
“ไม่เห็นเป็นไรนี่ค่ะ คุณนับแสนก็หาเวลาเอาไปอ่านเองก็ได้” น้ำแข็งตอบกลับอย่างเป็นกันเองกับนับแสน ซึ่งไมล์ก็ได้ยินทุกอย่าง แม้จะนิ่งอยู่ แต่เขารู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมกันแปลกๆ
“ไม่เอาหรอก ปวดตา” น้ำแข็งเบิกตามองนับแสน และส่ายหน้าไปมาก่อนที่จะไม่สนใจนับแสน เริ่มต้นจัดฉากมหกรรมเพชรพระอุมาให้กับเอกพจน์ และทันทีที่เสียงของน้ำแข็งเปล่งออกมา ไมล์เงยหน้าขึ้นจากหน้ากระดาษเพชรพระอุมาเล่มแรกที่เขาเริ่มต้นอ่านไปได้แค่สองหน้า
น้ำแข็งเปลี่ยนโทนเสียงให้กับตัวละคร พอเป็นเสียงผู้ชายเธอก็กดเสียงต่ำลง พอเข้าช่วงการบรรยายนั่นแหละถึงจะเป็นเสียงแท้ๆของเธอ ไมล์นั่งฟังอยู่เงียบๆเหมือนกับทุกๆคนในห้องนี้ จนเวลาผ่านไปนานมาก แต่ไมล์กลับรู้สึกแค่แป็บเดียว อย่างที่เขาว่าช่วงเวลาความสุขมักจะสั้นเสมอ
“อีกแล้ว แกล้งคนแก่เหรอไง” เอกพจน์แซวแกมหยอกน้ำแข็งด้วยความเอ็นดู เมื่อน้ำแข็งเบรคช่วงไคล์แม็กซ์ไว้
“ไม่ได้แกล้งสักหน่อยค่ะ น้ำแข็งต้องไปเรียนแล้วค่ะ”
“เอาๆ ป่านนี้นายใบเตรียมออกรถแล้วละ ไปเถอะเดี๋ยวจะเข้าเรียนสาย” น้ำแข็งยิ้มก่อนที่จะยกมือพนมกล่าวลา แต่ไม่ทันได้ขยับ
“ผมกำลังจะไปทำงาน มหา’ลัย น้ำแข็ง ทางผ่านอยู่แล้ว ผมไปส่งให้ก็ได้ครับ”
“เอ่อ!”
“แล้วแต่ คุยกันเองเถอะ” เอกพจน์เอ่ยแค่นั้น ทุกคนจึงทยอยออกมา
“ไมล์ ไม่ลองไปฟังรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสของบริษัทละ” ศศิกานต์ซึ่งทราบดีว่าวันนี้เป็นวันประชุม เอ่ยกับบุตรชาย
“ผมจะไปเพียงลำพังแบบไม่มีผู้ช่วยเลขาผมไปด้วยทำไม” นับแสนหันมองคนโน้นคนนี้สลับกัน
“ผู้ช่วย?”
“น้ำแข็ง จะฝึกงานเป็นผู็ช่วยเลขาของคุณไมล์ค่ะ” น้ำแข็งไขข้อสงสัยในทันที
“กับคุณทับทิมอย่างงั้นเหรอ?” น้ำแข็งพยักหน้า เพราะเลขานามว่าทับทิมเป็นเลขาที่มากความสามารถ ประสบการณ์และอายุการทำงาน ทำให้คุณทับทิมที่นับแสนเอ่ยถึงเป็นที่ไว้วางใจของครอบครัวนี้มาก
“ประชุมเริ่มกี่โมงเหรอครับ?” ไมล์ถามนับแสน
“สิบโมง”
“แล้วเรียนกี่โมง” ไมล์หันไปถามน้ำแข็ง
“สิบโมงครึ่งค่ะ” น้ำแข็งตอบอย่างงงๆ
“งั้นไม่ไป...แล้วเจอกันครับ” ไมล์หันกลับไปพูดกับนับแสน และเดินแยกไป ศศิกานต์ที่เงียบมาตลอดได้แต่มองตาม ทำไมนะ ในบางครั้งเธอถึงรู้สึกว่าจะตามไม่ทันความคิดของบุตรชายสุดที่รักเข้าไปทุกที