แสงสีเหลืองสลัวรางในห้องพลันสว่างวาบ ตะเกียงที่วางอยู่บนโต๊ะกลางห้องสะท้อนเงาของ 'โจวเฟิ่งเจี๋ย' กำลังนั่งก้มหน้านิ่งอยู่เหมือนดั่งหุ่นไม้ไร้วิญญาณ
สวี่จิ้นไฉและฮูหยินสวี่สะดุ้งเฮือก กอดแขนกันกลมด้วยความตกใจ
ครั้นเมื่อได้สติ เขาก็กลับไปมาดวางนิ่งสุขุมดังเดิม เดินนำภรรยาเข้าไปนั่งตรงข้ามกับเฟิ่งเจี๋ย ก่อนจะตะคอกขึ้นด้วยน้ำเสียงเปี่ยมโทสะ "ข้าไม่อยากเสียเวลา เจ้ามีอะไรจะพูดกับข้าก็พูดมา!!"
เฟิ่งเจี๋ยค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น เพ่งสายตามองนิ่งผ่านกายทั้งสองทะลุออกนอกประตูเรือน รอยยิ้มแยบยลแฝงเล่ห์ฉายบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา "ท่านอาทั้งสองมาแล้วหรือ ข้ารอพวกท่านนานจนข้าจะหลับอยู่แล้ว"
คำกล่าวทักทายแรกที่ดูเป็นกันเองของเฟิ่งเจี๋ย ไม่ได้ทำให้สองสามีภรรยาสกุลสวี่ที่มีแต่ความหวาดระแวงเต็มหัวสมองรู้สึกเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย
สวี่จิ้นไฉตบโต๊ะเสียงดังปึ้งพลางตวาดเสียงข่มขู่ "อย่ามาพูดพร่ำให้เสียเวลา โจวเฟิ่งเจี๋ย! หากเป็นเรื่องที่ข้าคิดไว้ เจ้ากับข้าต้องเห็นดีกัน!"
"เรื่องที่ท่านคิดไว้หรือ…" เฟิ่งเจี๋ยประสานมือหักนิ้วทั้งห้าส่งเสียงดังกร๊อบแกร๊บทำลายบรรยากาศอันหนักอึ้ง
ทว่าเสียงนั่นกลับทำให้สวี่จิ้นไฉและฮูหยินสวี่ดวงหน้าซีดเผือดลงและหุบปากเงียบในทันที
"ไฉนถึงเงียบไป ข้าเมื่อยน่ะ! ท่านอาพูดต่อเถิด..." เฟิ่งเจี๋ยวางสีหน้านิ่งเฉย
แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังได้กลิ่นอายของความเย็นเยียบจับขั้วหัวใจที่ออกมาจากกายของชายหนุ่มได้อยู่ดี
"ชะ ใช่! ที่เจ้าเรียกข้ามาหาที่จวนวันนี้ คงไม่พ้นเรื่องหนิงเอ๋อร์ใช่หรือไม่ ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้...ว่าข้าจะไม่มีวันยอมให้บุตรสาวข้าต้องมาทุกข์ตรอมใจดูแลคนตาบอดเช่นเจ้าไปจนชั่วชีวิต" สวี่จิ้นไฉเอ่ยเสียงขาดหายไปครึ่งจังหวะด้วยอาการประหม่า
เฟิ่งเจี๋ยคลี่ยิ้มอย่างไม่รู้ประสีประสาและไม่สะทกสะเทือนกับคำพูดนั้นแม้แต่น้อย เขาหงายมือกวักอากาศ เอ่ยเชิญชวนเสียงเรียบ "พูดต่อสิ...ท่านอา พูดต่อ…"
"คะ คนตาบอดอย่างเจ้า ไร้ความสามารถ ราชสำนักก็ไม่ไยดี ยามนี้เจ้าเป็นเช่นไรเจ้าย่อมรู้ สภาพเจ้าไม่อาจดูแลหนิงเอ๋อร์ให้มีความสุขได้ ล้มเลิกความคิดนี้เสียเถิด เจ้าจะเอาเงินไปซื้อสตรีงามกี่คนก็ย่อมได้ แต่ไม่ใช่บุตรข้า! จงจำเอาไว้!!"
"โอ๊ย!" เฟิ่งเจี๋ยอุทานพลางยกมือขึ้นจับตำแหน่งหัวใจตรงหน้าอก แสร้งยียวนทำสีหน้าเจ็บปวด "เจ็บแปร๊บที่หัวใจเหลือเกินท่านอา...ความรู้สึกเหมือนตอนโดนหญิงงามตัดสัมพันธ์ไม่มีผิด"
"นี่เจ้า!!!!" สวี่จิ้นไฉชี้นิ้วไปยังใบหน้าของเฟิ่งเจี๋ยด้วยความโกรธ
"ท่านอา...ข้าทำอะไรท่านหรือ ดูท่านจะเคียดแค้นข้านัก ข้าตาบอดแล้วอย่างไรเล่า"
"หึ! โจวเฟิ่งเจี๋ย...เห็นแก่ที่ข้าเคยเอ็นดูเจ้ามาก่อน ข้าจะสั่งสอนอะไรเจ้าให้ คนอ่อนแอย่อมพ่ายแพ้คนที่แข็งแกร่งกว่าเสมอ ยามนี้เจ้าคือคนอ่อนแอ ข้าจึงมีหน้าที่เหยียดหยามเจ้า เพื่อให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นอย่างไรล่ะ"
บรรยากาศพลันเงียบงัน สวี่จิ้นไฉยกยิ้มพรายขึ้นดั่งตนคือผู้ชนะ คำพูดเหยียดหยามเหยียบย่ำจิตใจคนได้ดียิ่งนัก เขาไม่สนว่าเฟิ่งเจี๋ยจะเคยเป็นอย่างไรมาก่อน รู้แต่เพียงว่ายามนี้เขามีหน้าที่กำราบชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าให้เลิกสนใจบุตรสาวของตนเพียงเท่านั้น
ทว่าไม่นาน...เสียงหัวเราะของเฟิ่งเจี๋ยก็ดังก้องขึ้น
"ฮ่า ๆ ๆ"
เสียงหัวเราะนั้น สร้างความหงุดหงิดใจให้สวี่จิ้นไฉจนโวยวายเสียอาการ "เจ้า! เจ้าหัวเราะอะไร"
"ท่านอาพูดอะไรน่าขันอีกแล้ว ไร้คุณธรรมในจิตใจยิ่ง น่ารังเกียจ น่าขยะแขยง..."
"นี่เจ้า!!!!!" สวี่จิ้นไฉกัดฟันกรอด พุ่งกายหวังจะเข้าไปทำร้ายเฟิ่งเจี๋ย ทว่าฮูหยินสวี่ได้ดึงรั้งแขนเขาเอาไว้ไม่ให้เกิดเหตุโกลาหลขึ้น
"ท่านพี่ใจเย็นลงก่อน อย่าวู่วามเช่นนี้" นางกล่าว
"ท่านพ่อ ท่านแม่เห็นหรือไม่ ท่านอาทั้งสองกำลังจะทำร้ายข้า"
คำพูดแปลกประหลาดที่หลุดออกมาจากปากของเฟิ่งเจี๋ย ทำให้สวี่จิ้นไฉและฮูหยินสวี่ขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่เข้าใจ "เจ้า เจ้าพูดอะไรของเจ้า"
เฟิ่งเจี๋ยยกยิ้มข้างหนึ่งและเอ่ย "ท่านอาไม่เห็นต้องทำหน้างงงวยเช่นนั้น...เรือนแห่งนี้เป็นเรือนที่ถูกไฟไหม้ ท่านพ่อท่านแม่ข้าสิ้นใจที่นี่ เมื่อครู่ข้ากำลังสื่อสารกับพวกเขาอยู่ ท่านอาทั้งสองล่ะ...อยากจะทักทายสหายเก่าบ้างหรือไม่"
สิ้นเสียง ขนแขนของสองสามีภรรยาพลันตั้งชันโดยสัญชาตญาณ ทั้งสองค่อย ๆ นั่งลงบนเก้าอี้พนักไม้พลางหันศีรษะมองรอบด้านอย่างหวาดกลัว
"จะ เจ้า เจ้าจงใจหลอกให้ข้ากลัวใช่หรือไม่" สวี่จิ้นไฉเอ่ยเสียงสั่นเครือ
"เปล่าเสียหน่อยท่านอา ข้าแค่อยากให้ท่านอาสงบท่าทีให้เกียรติจวนข้าบ้างก็เท่านั้น ข้าปล่อยให้ท่านอาพล่ามมาตั้งนาน ชักรำคาญแล้วเหมือนกัน เอาเป็นว่า...ที่ข้าเรียกท่านอามาวันนี้หาใช่เรื่องหนิงเอ๋อร์ แต่เป็นเรื่องค้าขายของเราต่างหาก"
"ค้าขายงั้นหรือ…" ฮูหยินสวี่เอ่ยย้ำด้วยสีหน้าสงสัย
"เจ้าหมายถึงอะไร" สวี่จิ้นไฉเอ่ยเสริม
"ท่านอาค้าขายทางทะเลอยู่ใช่หรือไม่" ชายหนุ่มไม่รีรอเอ่ยเข้าประเด็น
สวี่จิ้นไฉชะงักงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงตะกุกตะกัก "จะ เจ้ารู้ได้อย่างไร บิดามารดาบอกเจ้าหรือ"
"บิดามารดาเคยเปรยกับข้าว่า พวกเขาร่วมกันค้าขายทางทะเลกับท่านอาทั้งสอง พอรู้เช่นนั้นข้าก็อดชื่นชมกับความเฉลียวฉลาดของพวกท่านไม่ได้ จนกระทั่งตอนนี้ ท่านพ่อท่านแม่ข้าสิ้นใจ เงินทองทั้งหมดที่มี ข้าก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ข้าไม่ได้เข้าไปทำงานในวังหลวงอีกแล้ว จะออกทัพดังเดิมก็ทำไม่ได้ ข้าจึงนึกถึงพวกท่าน"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สวี่จิ้นไฉและฮูหยินสวี่ก็หันหน้ามองกันทันที
"ข้ารู้ว่าพวกท่านกำลังจ้องมองข้าอย่างมีข้อกังขา คิดว่าข้าจะมีเงินทองได้อย่างไร... เงินส่วนของท่านพ่อท่านแม่ ข้าไม่เคยแตะต้อง เงินของข้า พวกเขาก็ไม่เคยแตะต้องด้วยเช่นกัน"
เอ่ยจบ เฟิ่งเจี๋ยยกมือขึ้นปรบสองที หลังจากนั้นเพียงชั่วอึดใจ ซือจงก็แบกย่ามถุงใหญ่ที่มีเบี้ย ตั๋วเงินและทองคำมากมายอยู่ในนั้นเดินเข้ามาในเรือน ก่อนที่จะวางกองไว้ตรงหน้าของพวกเขาทั้งสอง
ประกายสีเหลืองทองอร่ามสะท้อนแสงสว่างวาบของทองคำที่อยู่ในย่ามกระแทกสายตาของสองสามีภรรยาจนยับยั้งความโลภที่ฉายออกมาทางสีหน้าไม่อยู่
พวกเขาเบิกตากว้างโต จ้องมองเงินทองกองใหญ่ด้วยสายตาเป็นประกายมันวาว พลางคิดในใจ หากเป็นดังเช่นที่เฟิ่งเจี๋ยกล่าวจริง คงมีแต่คนโง่เขลาเท่านั้นที่ปล่อยเงินทองตรงหน้าหลุดลอยไปได้
"ยามรุ่งเรืองไม่ประมาท ยามตกยากต้องอดทน แต่ยามนี้ข้ามีเงินทองเยอะแยะไปหมด เห็นแล้วรำคาญลูกตานัก อยากจะใช้มันให้หมด ๆ ไปเสียบ้าง หากท่านอาทั้งสองตกลงจะร่วมค้าขายกับข้าแล้วละก็...ให้ลงทุนจ่ายหนักเท่าไหร่...ข้าจักยอม"
สวี่จิ้นไฉและฮูหยินสวี่หันไปกระซิบกระซาบครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยตอบด้วยท่าทางเป็นมิตร
"เฟิ่งเจี๋ย...เจ้ายังคงฉลาดหลักแหลมเช่นเดิม ถูกแล้ว สกุลสวี่ทำการค้าขายทางเรือ ข้ายินดีอย่างยิ่งหากเจ้าจะสานต่อปณิธานของบิดามารดาเจ้า"
"จริงหรือท่านอา...ข้าดีใจยิ่งนัก ฮ่า ๆ ๆ"
สวี่จิ้นไฉและฮูหยินสวี่ตบเข่าฉาดใหญ่หัวเราะชอบใจตาม
"ซือจง...เอาหนังสือสิทธิ์ให้ท่านอาลงนามเสีย"
"ขอรับท่านโหว"
ซือจงวางหนังสือสิทธิ์ฉบับหนึ่งบนโต๊ะ หมุนหน้าหนังสือไปทางสองสามีภรรยาตามคำสั่งการ
"นี่คือหนังสือสิทธิ์ระหว่างข้ากับท่านอาทั้งสอง ลงทุนเท่าใด ผลกำไรเท่าใด ข้าขอมอบสิทธิ์แก่ท่านทั้งสองพิจารณา" เฟิ่งเจี๋ยเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มกระหยิ่ม
"ดะ ได้ ๆ ๆ" สวี่จิ้นไฉรีบคว้าพู่กันจุ่มหมึกสีดำเข้มลงนามบนหนังสือสิทธิ์เร็วไว โดยที่ไม่สนใจอ่านตัวอักษรที่อยู่ในหนังสือเลยแม้แต่น้อย
"ข้ามีของมากมายในคลังเก็บของ ล้วนแล้วแต่เป็นของได้ราคาทั้งสิ้น ไว้ข้าจะพาเจ้าไปดู แล้ววันนั้นเราค่อยมาตกลงร่วมทุนกัน" ฮูหยินสวี่กล่าว
"ขอบคุณ...ขอบคุณ" เฟิ่งเจี๋ยประสานมือคำนับ
"เอ่อ...งั้นข้าไปก่อนก็แล้วกัน ที่ข้าเคยทำกับเจ้าถือว่าลืม ๆ ไปเถิดนะเฟิ่งเจี๋ย อย่างไรเสีย...เราก็เป็นสกุลพี่น้องกัน ข้ายังรักและเอ็นดูเจ้าเหมือนเดิม" สวี่จิ้นไฉเอ่ยด้วยท่าทางอึกอักไม่เต็มใจนัก ทว่ายอมขอโทษ ยังดีกว่าโดนบอกเลิกค้าขายทีหลัง
"ไม่เป็นไร ๆ ท่านอา...ข้าเข้าใจ"
สิ้นเสียง สวี่จิ้นไฉและฮูหยินสวี่ก็ลุกขึ้นยืน เดินออกไปจากเรือน
แต่ทว่ายังก้าวไม่พ้นประตู เฟิ่งเจี๋ยก็กลั่นแกล้งตะโกนเสียงตามหลังว่า "ท่านอา...จะไม่บอกลาสหายเก่าของท่านหน่อยหรือ? หรือจะให้ท่านพ่อท่านแม่ข้าไปส่งที่จวนดี"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งสองก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน รีบก้าวฉับเดินออกไปจากเรือนโดยไว
ท่าทางทุลักทุเลของสวี่จิ้นไฉและฮูหยินสวี่นั้น สร้างความพึงพอใจแก่เฟิ่งเจี๋ยจนกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่
"ฮ่า ๆ ๆ"
"ท่านโหว...เอาอย่างไรต่อไปดีขอรับ" ซือจงโพล่งเอ่ยถามขึ้นเมื่อไม่มีผู้ใดอยู่ในเรือนแล้ว
เฟิ่งเจี๋ยหยุดชะงัก ชักสีหน้านิ่ง ก่อนจะตอบกลับเสียงเคร่งขรึม "ยามนี้มีปลาคู่หนึ่งติดแหแล้ว จะดิ้นหลุดไปไหนได้เล่า...เดินตามแผนที่วางเอาไว้ก็เพียงพอ"
"ขอรับท่านโหว"
สวี่จิ้นไฉกะจะมาสั่งสอนคุณชายโจว แต่กลับกลายมาเป็นปลาติดแหที่คุณชายโจววางเอาไว้เสียได้...จะเป็นอย่างไรติดตามตอนต่อไปกันนะคะ :)