ตั้งแต่ที่รู้ว่าคุณชายโจวเป็นคนโอบอุ้มนางออกมาจากเรือนเยว่สือในวันนั้น นางก็ไม่อาจละสายตาจากเขาได้เลยแม้แต่น้อย
นัยน์ตาเจือรอยยิ้มมีนัยลึกซึ้งเป็นประกายระยิบระยับจ้องมองดวงหน้าอันหล่อเหลาคมคายไม่หยุด ในตาคู่สวยนั้นมีแต่คำปลาบปลื้มและชื่นชมเต็มไปหมด
ตรงข้ามกันกับเฟิ่งเจี๋ยที่ไม่รู้อะไรเสียเลย เขากรอกดวงตาเลื่อนมองไปยังมี่อิงแวบหนึ่ง แทบจะชักดวงตากลับมาไม่ทัน ดวงตาอันหยาดเยิ้มของนางนั้นมีนัยอันใดแอบแฝงกันแน่?
เฟิ่งเจี๋ยกระแอมเสียงในลำคอ เรียกสติอันเลื่อนลอยของนางให้หวนคืน
นางสะดุ้งเล็กน้อย ลอบอมยิ้มที่มุมปากจาง ๆ ด้วยความขวยเขิน ก่อนที่จะก้มศีรษะ ใช้มือขูดฝนแท่งหมึกสีดำขลับบนโต๊ะต่อดังเดิม
ครั้นเมื่อนางก้มหน้าลง เขาก็ชำเลืองมองนางอีกครั้ง
วันนี้นางสวมเสื้อผ้าสีฟ้าอ่อนสดใสตามฤดู มุ่นผมเก็บอย่างเกียจคร้านปักด้วยปิ่นเงินธรรมดา ทว่ากลับดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก กลีบปากเรียวบางเป็นสีแดงเรื่อธรรมชาติ พวงแก้มขาวกระจ่างนวลเนียนราวกับเต้าหู้ เขาอยากจะก้มลงไปกัดชิมเสียให้รู้แล้วรู้รอด
“คุณชาย...บ่าวฝนหมึกเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” มี่อิงวางแท่งหมึกดำเข้มลงบนถาดรองพลางเงยหน้าเอ่ย
เฟิ่งเจี๋ยที่กำลังเคลิบเคลิ้มรีบดึงสายตากลับ หงายมือและกระดิกปลายนิ้วเป็นสัญญาณให้นางส่งยื่นพู่กันให้
มี่อิงช้อนตามองหนึ่งครั้งก็เข้าใจ นางจับพู่กันจุ่มน้ำหมึกดำในถ้วย สะบัดสีออกเล็กน้อย ก่อนที่จะยัดด้ามยาวของพู่กันใส่ในมือเขาอย่างนุ่มนวล
"คุณชายจะให้บ่าวช่วยเขียนให้หรือไม่เจ้าคะ" มี่อิงเอ่ยถาม เพราะคิดว่าเขาคงจะขีดเขียนบนกระดาษยากลำบากไม่น้อย
ยังไม่ทันได้คำตอบ นางก็โพล่งอธิบายต่อให้กระจ่าง "บ่าวโชคดีนัก... ตอนท่านย่าทำงานอยู่ที่สำนักดูดวงก่อนจะมาตั้งสำนักใหม่ บ่าวได้รับความกรุณาจากนายหญิงให้ไปร่ำเรียนกับบุตรสาวของนางด้วย ก็เลยพอจะขีดเขียนเป็นเจ้าค่ะ"
เฟิ่งเจี๋ยส่ายศีรษะช้า ๆ พลางเอ่ย "เจ้าดูถูกข้าหรือ ถึงข้าจะตาบอด แต่ข้าก็เขียนตัวอักษรได้สวยไม่แพ้เจ้า"
"ปะ เปล่านะเจ้าคะ บ่าวไม่ได้หมายความเช่นนั้นเสียหน่อย" มี่อิงโบ้ยมือปฏิเสธพัลวัน
เพราะถูกฝึกปรือให้เป็นชายหนุ่มตาบอดอย่างสมบูรณ์แบบ การเขียนอักษรจึงเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ทว่ายามนี้เขากลับมีจุดประสงค์ที่มากกว่านั้น ชายหนุ่มที่สามารถจับพู่กันวาดเขียนอักษรอันยาวเหยียดบนกระดาษอย่างไร้ที่ติ โดยที่ไม่เพ่งมองกระดาษ คงจะสร้างความประทับใจแก่หญิงสาวอยู่ไม่น้อย
เฟิ่งเจี๋ยคลี่ยิ้มอ่อนจางที่มุมปาก นึกคิดอย่างสุขใจ ไม่รีรอที่จะตวัดปลายพู่กันไปบนกระดาษสีไข่ไก่ ขีดเขียนข้อความบางอย่างที่ไม่สั้นไม่ยาวจนเกินไปโดยที่สายตาเขาเพ่งมองไปยังเบื้องหน้านิ่ง ไม่มองกระดาษเลยแม้แต่น้อย
"คุณชายเก่งมากเลยเจ้าค่ะ ทำได้อย่างไรเจ้าคะ" มี่อิงเอ่ยชมด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
นั่นยิ่งทำให้เขาแสดงสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องมีความสุขยิ่งนัก
"เจ้าเอาจดหมายนี่ออกไปส่งยื่นให้พ่อบ้านหยางและบอกให้เขานำมันไปส่งให้สกุลสวี่ที” เฟิ่งเจี๋ยสั่งการเสียงอ่อนนุ่ม
พอเอ่ยคำว่า 'สกุลสวี่' รอยยิ้มสดใสที่ฉายบนใบหน้านางพลันหุบลงทันที หรือว่านี่จะเป็นจดหมายรักตอบกลับคุณหนูสวี่?
แล้วอย่างนี้ข้า...ควรทำลายดีหรือไม่?
ไม่สิ!ข้าจะทำอย่างนั้นไม่ได้ ไยสมองข้าถึงคิดอะไรชั่วร้ายออกมาเช่นนี้?
ถึงแม้ความคิดจะขัดแย้งตีกันในหัว หาข้อสรุปไม่ได้ ทว่าสายตาก็ยังคงตวัดอ่านข้อความในกระดาษอยู่ดี
เฟิ่งเจี๋ยที่เห็นท่าทางของนางเช่นนั้น ก็กระแอมไอและเอ่ยขัดขึ้น "จดหมายนี้เป็นจดหมายเชื้อเชิญสกุลสวี่ให้มาพบข้า เจ้าจงดูแลให้ดี บอกพ่อบ้านหยางทำตามที่ข้าสั่งให้ถี่ถ้วน"
จดหมายเชื้อเชิญสกุลสวี่อย่างนั้นหรือ…
เมื่อรู้ว่าไม่ใช่จดหมายรักอย่างที่เข้าใจ นางจึงเอ่ยรับคำด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสดใส ก่อนที่จะใช้มือเรียวสวยม้วนกระดาษเข้าหากันและถือมันเดินออกจากเรือนจ้วนสือมุ่งไปหาพ่อบ้านหยางตามคำสั่งการ
ณ จวนสกุลสวี่
"โหวตาบอดนั่น กล้าดียังไงมาสั่งให้ข้าไปหาที่จวน" สวี่จิ้นไฉเอ่ยสบถเสียงแข็ง พรูลมหายใจกระชั้นถี่ มือทั้งสองข้างกำแน่นสั่นเทาไม่หยุด หลังจากที่เขาได้อ่านจดหมายที่ถูกส่งมาจากจวนสกุลโจว
ฮูหยินสวี่ที่เห็นเช่นนั้น ก็รี่เดินเข้าไปปลอบประโลมสามีทันที "ท่านพี่ใจเย็นลงก่อน โจวเฟิ่งเจี๋ยอาจจะมีอะไรสำคัญอย่างที่แจ้งในจดหมายก็เป็นได้"
ถึงแม้จะเอ่ยออกไปเช่นนั้น แต่สีหน้าของนางกลับวิตกกังวลเสียยิ่งกว่า
สวี่จิ้นไฉกระตุกปาก ยกยิ้มหยัน ถึงแม้ฮูหยินและนายใหญ่โจวจะเคยเป็นสหาย แต่คำพูดหมั้นหมายได้ตายจากพวกเขาทั้งสองในกองเพลิงนั่นแล้ว แม้เป็นวิญญาณก็ไม่อาจทักท้วงอะไรได้อีก
ความโกรธแค้นที่เป็นไฟก่อสุมในใจยังไม่ดับหมอดสนิท เงินทองหลายสิบล้านตำลึงละลายทิ้งไปบนแม่น้ำฮวงโห เพราะความขลาดเขลาของฮูหยินและนายใหญ่โจว มิหนำซ้ำยังถอนตัวออกห่าง สร้างบาดแผลบนจิตใจให้เขาและภรรยายิ่งนัก
เหนือสิ่งอื่นใดหัวอกของผู้เป็นบิดามารดาย่อมตระหนักดีว่าผู้ใดควรได้บุตรสาวยอดดวงใจไปครอบครอง พวกเขาดูแลประคบประหงมสวี่เอ้อร์หนิงอย่างดี หากแต่งเรือนออกไปดูแลคุณชายตาบอด บุตรสาวคงต้องไปตกระกำลำบาก หาความสุขไม่ได้ไปจนชั่วชีวิต
“หึ!จะเป็นเรื่องอันใดได้ หากไม่ใช่เรื่องของเอ้อร์หนิง” ขณะพูด ใบหน้าของสวี่จิ้นไฉก็ยังคงฉายแววตระหนกไม่มีที่สิ้นสุด
“หากเป็นเช่นนั้นจริง เราจะทำอย่างไรกันดีท่านพี่ ปฏิเสธหรือเพิกเฉยไปดีหรือไม่” ฮูหยินสวี่ถอนหายใจเฮือกยาว เดินวนไปมา พยายามครุ่นคิดหาทางแก้ไข
บรรยากาศเงียบงันฉับพลัน
สวี่จิ้นไฉกุมขมับแน่น นิ่งเงียบครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยตอบ “ในเมื่อกล้าเชิญ ข้าก็กล้าไป ข้าบอกเจ้าแล้ว ว่าโจวเฟิ่งเจี๋ยเป็นเช่นไร จองหอง ทะนงตัว ไม่ยอมใคร ข้าคงต้องเข้าไปสั่งสอนเสียหน่อย”
“แต่ท่านพี่…”
“วางใจเถิด ความโกรธเคืองสกุลโจวข้ายังมากล้น ข้าจะไม่มีทางยกบุตรสาวให้มันเป็นแน่”
ด้วยความรุ่มร้อนใจ ภายในวันนั้น สวี่จิ้นไฉและฮูหยินสวี่ตัดสินใจเดินทางไปยัง สกุลโจว ทันที
รถม้าขับบังเ**ยนมาหยุดชะงักจอดหน้าคฤหาสน์
มี่อิงที่เตรียมรออยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าทั้งสองปรากฏตัว นางก็รีบเดินก้มศีรษะนอบน้อมเข้าไปต้อนรับที่หน้าประตูทันที
"นายท่านและนายหญิงมาหาคุณชายโจวหรือเจ้าคะ" มี่อิงเอ่ยเสียงนุ่ม ใบหน้าฉายรอยยิ้มเป็นมิตร
ฮูหยินสวี่ผงกศีรษะส่ง ๆ ใบหน้าเชิดยกสูง สวี่จิ้นไฉไม่ต่างกัน เขาหรี่ตามองคนตรงหน้าประดุจนางเป็นคนไร้ค่า พลางเอ่ยเสียงแข็งห้วน "พาข้าเข้าไปหานายของเจ้า!"
ท่าทางและน้ำเสียงที่วางอำนาจของเขา ทำให้นางตกใจเล็กน้อย พลันนึกไปถึงคำพูดของคุณชายโจว
‘มี่อิง...วันนี้เจ้าไม่ต้องมาปรนนิบัติข้า งานของเจ้าแค่เฝ้ารออยู่ที่หน้าประตูใหญ่เพียงเท่านั้น หากสกุลสวี่โผล่มา เจ้าก็เข้าไปต้อนรับแล้วพามาหาข้าที่เรือนเยว่สือ’
คำสั่งการที่ดูเหมือนไม่มีมูลเหตุออกมาจากปากของโจวเฟิ่งเจี๋ย นางรับคำสั่งด้วยความฉงนในใจเล็กน้อย อยากจะเอ่ยถาม แต่ก็กลืนคำทุกอย่างลงคอไปจนสิ้น
ถึงแม้จะรู้ดีว่าเรื่องบางเรื่องบ่าวไม่ควรก้าวก่าย แต่ให้พาไปเรือนเยว่สือที่มีประวัติไม่ดีนัก ทั้ง ๆ ที่ในจวนก็มีเรือนตั้งหลายหลัง มันไม่แปลกเกินไปหน่อยหรือ?
สิ้นสุดความคิด มี่อิงก็ช้อนตาขึ้นมาเอ่ยยิ้มแย้มเป็นปกติ "เดินตามบ่าวมาเลยเจ้าค่ะ คุณชายรอที่เรือนแล้ว"
นางม้วนตัวหันหลังเดินนำทางทั้งสองเข้าไปด้านในจวน ผ่านเรือนหลายหลังไปหยุดที่ด้านหน้าเรือนเยว่สือ
เรือนเยว่สือยามนี้ดูสะอาดตา ไม่มีหยักไหย่และฝุ่นหนาเขรอะเกาะที่โคนเสา ลำตัวเรือนให้รบกวนสายตาและจิตใจอีกแล้ว มี่อิงก้าวเท้าขึ้นบันได หันกาย ผายมือเชื้อเชิญสวี่จิ้นไฉและฮูหยินสวี่ที่หน้าประตูให้เดินเข้าไปด้านใน โดยที่นางไม่ตามเข้าไปด้วย
ทั้งสองทอดสายตามองเรือนเก่าด้วยแววตาเหยียดหยาม ก่อนที่จะเดินเข้าไปด้านในตามคำเชื้อเชิญนั้น
เมื่อเข้าไปถึง พวกเขาก็พบว่าด้านในเรือนแห่งนี้ดูแปลกประหลาดพิกลนัก อากาศวันนี้ที่ดูอึมครึมครึ้มฟ้าครึ้มฝนยิ่งเสริมให้เรือนแห่งนี้ดูวังเวงและมืดมนมากขึ้นเป็นเท่าตัว แสงรำไรนอกหน้าต่างที่สาดเข้ามาเล็กน้อยทำให้เกิดเงาตะคุ่มดำจาง ๆ ของเหล่าข้าวของเครื่องใช้สะท้อนลงบนพื้น
ฮูหยินเคลื่อนศรีษะหันมองทางซ้ายที ทางขวาทีด้วยความหวาดระแวง พลางกระทุ้งข้อศอกไปที่แขนของสวี่จิ้นไฉเบา ๆ
"อะไรของเจ้า" สวี่จิ้นไฉขมวดคิ้วถาม เสียงแข็งกร้าวดูมาดมั่น ทว่าจิตใจกลับหดเหลือเพียงเสี้ยว ความหวาดระแวงก่อเกิดขึ้นไม่ต่างจากภรรยา เขาเกรงว่าจะเป็นอุบายลอบสังหารของโจวเฟิ่งเจี๋ย ขาจึงแข็งทื่อ ขยับก้าวไม่ออกเช่นเดียวกัน
"ฟะ เฟิ่งเจี๋ยเล่นตลกอะไร" ฮูหยินกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เอ่ยด้วยน้ำเสียงประหม่า
ทันใดนั้นเอง แสงสีเหลืองสลัวรางในห้องพลันสว่างวาบ ตะเกียงที่วางอยู่บนโต๊ะกลางห้องสะท้อนเงาของ 'โจวเฟิ่งเจี๋ย' กำลังนั่งก้มหน้านิ่งอยู่เหมือนดั่งหุ่นไม้ไร้วิญญาณ