แสงแดดยามซื่อที่เปี่ยมไปด้วยความร้อนระอุ สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างของเรือน
มี่อิงขยับเปลือกตาหนักอึ้งเปิดขึ้นอย่างเนิบช้า แสงอาทิตย์เจิดจ้าส่งผลให้ม่านตาที่ยังปรับแสงได้ไม่ดีนัก ค่อยๆ หรี่ลงเรื่อย ๆ จนแทบจะกลายเป็นเส้นตรง
"ปวด...ข้าปวดหัวเหลือเกิน"
หว่างคิ้วพับย่น ใบหน้าฉายแววเจ็บปวด มี่อิงใช้นิ้วมือเรียวสวยนวดขมับทั้งสองข้างวนเป็นวงกลม ภายในศีรษะของนางยามนี้เจ็บปวดราวกับมีเข็มแหลมมาทิ่มแทงที่หัวสมองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เกิดอะไรขึ้นกับข้ากันแน่…
ที่เรือนนั่น!
ความฝันนั่น!
แล้วสตรีผู้นั้น...คือใคร?
ในขณะที่ศีรษะเจ็บปวด แต่หัวใจกลับจดจำความรู้สึกของความฝันที่ล่วงมาได้เป็นอย่างดี
ความรู้สึกสงสารและหวาดกลัวปกคลุมจิตใจ ยากจะลืมเลือน ทว่าภาพในใจกลับเลือนราง
นางจำได้เพียงแต่ว่า มีสตรีรูปโฉมงามนางหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อร้องขอความช่วยเหลือ แต่พยายามนึกถึงใบหน้าของสตรีผู้นั้นเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
"หากนางต้องการให้ข้าช่วยจริง ๆ ข้าจะช่วยนางได้อย่างไรล่ะ" มี่อิงพรูลมหายใจยาว เคลื่อนใบหน้าอันเลื่อนลอยหันมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง แล้วแสงอาทิตย์ที่เจิดจ้า ก็ทำให้นางอ้าปากค้าง พลางอุทานออกมาเสียงหลง "แม่เจ้า! หายนะกำลังมาเยือนข้าแล้ว"
มี่อิงรีบลุกขึ้นออกไปชำระร่างกายและกลับมาเตรียมน้ำชาขิงยกไปให้คุณชายโจวที่เรือนจ้วนสืออย่างร้อนรนใจ
"คุณชายได้โปรดให้อภัยด้วย มี่อิงทำผิดไปแล้วเจ้าค่ะ ครั้งนี้ที่มี่อิงตื่นสาย จะลงโทษมี่อิงอย่างไรก็ได้...แต่อย่างลงโทษโดยการไล่มี่อิงออกเลยนะเจ้าคะ" มี่อิงยืนก้มศีรษะมองที่ปลายเท้า หลับหูหลับตาพูด ยอมรับความผิดตั้งแต่เดินเข้ามาในเรือน
บรรยากาศเงียบงันชะงัก ไม่มีเสียงใดตอบกลับมา ไม่มีแม้แต่คำต่อว่าใดที่คาดคิดว่าจะออกมาจากปากของคุณชายโจวเลยแม้แต่คำเดียว
มี่อิงค่อย ๆ เงยหน้าหรี่ตามองคุณชายโจวอย่างช้า ๆ
แล้วก็พบว่า...คุณชายโจวยามนี้กำลังยิ้มกรุ้มกริ่ม มีความสุขกับการดื่มชาขิงในมือของเขาอยู่ เหมือนกับว่าคำพูดที่มี่อิงเอ่ยออกมานั้น เป็นเพียงเสียงนกกาบินโผบผ่านไปมาเท่านั้น
จะไม่พูดคำใดออกมาเลยงั้นหรือ…
เวลาล่วงเลยผ่านไปครู่หนึ่ง คุณชายโจวก็ยังคงเงียบอยู่ นางจึงตัดสินใจเอ่ยปากทำลายความเงียบงันนั้นเสียเอง "คุณชายต้องการอะไรอีกหรือไม่เจ้าคะ"
เฟิ่งเจี๋ยวางถ้วยชาลงบนโต๊ะไม้เตี้ย เอ่ยเสียงเย็นชาขึ้น "ข้าต้องการหักเบี้ยเจ้าครึ่งหนึ่ง"
มี่อิงเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ "วะ ว่าอย่างไรนะเจ้าคะ"
"หักเบี้ยเจ้าทั้งหมด" เฟิ่งเจี๋ยกล่าวเสียงราบเรียบ
สิ้นเสียง ใบหน้าของมี่อิงก็ซีดขาวราวกับเต้าหู้ สีหน้าของนางยามนี้ดูหวาดกลัวยิ่งกว่าตอนโดนวิญญาณหลอกเมื่อคืนวานเสียอีก ถึงแม้จะยอมรับความผิด แต่ไม่อาจยอมรับได้หากทำงานแล้วไม่ได้เบี้ยแม้แต่ตำลึงเดียว เพียงแค่ตื่นสายก็โดนหักเบี้ยแล้วงั้นหรือ โหดเหี้ยม...โหดเหี้ยมอย่างที่เขาร่ำลือจริง ๆ
ในใจดื้อรั้น แต่ปากกลับพูดอ้อนวอนคุณชายโจวด้วยความจนใจ "คุณชายโปรดเมตตามี่อิงด้วย มี่อิงสัญญาว่าจะไม่ทำเช่นนี้อีกแล้วเจ้าค่ะ"
แล้วบรรยากาศก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง…
"ครั้งนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้า"
นัยน์ตาสีดำเข้มของมี่อิงเป็นประกายแวววับ นางรีบค้อมกายขอบคุณทันทีด้วยความดีใจ "โชคดีของมี่อิงนัก...ที่ได้รับความเมตตาจากคุณชายเช่นนี้ ขอบคุณคุณชายเจ้าค่ะ"
เฟิ่งเจี๋ยวางมาดเคร่งขรึม ประสานมือวางไว้บนโต๊ะ พลางเอ่ย "หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกละก็…เตรียมตัวเตรียมใจของเจ้าเอาไว้ให้ดี"
มี่อิงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ เผลอกัดริมฝีปากแน่น แค่คิดว่าจะต้องโดนไล่ออกจากจวนไปตัวเปล่าหรือไม่ก็โดนคุณชายไล่ฆ่า ข้าก็รู้สึกใจหายจนแทบจะไม่อยากทำอะไรอีกแล้ว
.
.
.
ยามเว่ย มือขาวกระจ่างจับผ้าสีไข่ไก่เช็ดทำความสะอาดบันไดหินขัดของเรือนอย่างใจจดใจจ่อ ขณะที่หัวสมองยังไม่อาจปล่อยวางได้จากเหตุการณ์เมื่อวันก่อนในเรือนเยว่สือ
มี่อิงยกมือข้างหนึ่งขึ้นบดบังแสงอาทิตย์ที่พุ่งตรงมาสู่ดวงหน้า เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลหยดย้อยลงมาตามแนวแก้มชะล้างเครื่องประทินผิวออกไปบางส่วน เสื้อชั้นในสีขาวนวลเปียกชุ่มปรากฏคราบเหงื่อเป็นหย่อม ๆ ไอแดดที่ร้อนระอุทำให้ผิวหนังร้อนรุ่มจนแทบอยากจะเอากายแช่ทิ้งในน้ำเป็นเวลานาน ๆ
"มี่อิง...ข้าเดินตามหาเจ้าเสียตั้งนาน เจ้ามาอยู่ที่นี่เองหรือ" เจียวซือเอ่ยพลางเดินพุ่งตรงเข้ามาหามี่อิงที่ราวบันได
"เจ้าตามหาข้าทำไมหรือ...เจียวซือ"
"ก็ข้าเป็นห่วงเจ้านะสิ! กลัวว่าจะมีเหตุการณ์เหมือนเมื่อคืนก่อนเกิดขึ้นอีก"
คำพูดของเจียวซือทำให้มี่อิงชะงักชั่วครู่ จริงสินะ! ข้าลืมคิดถึงเรื่องนั้นไปเสียสนิท "เจียวซือ...เมื่อคืนข้ากลับมานอนที่เรือนได้อย่างไรหรือ"
เจียวซือยิ้มกรุ้มกริ่ม ทำท่าทางเขินม้วน ชี้นิ้วไปที่บ่าวชายผู้หนึ่งที่กำลังยกถังไม้ใหญ่อยู่ทางเรือนทิศประจิม
"เจ้าหมายความว่าอะไร" มี่อิงขมวดคิ้วถาม
"ก็ ช่างม่าน ยังไงล่ะ ช่างม่านคือคนที่อุ้มเจ้าเข้ามาส่งที่เรือน ข้าต้องถามเจ้ามากกว่าว่าเมื่อคืนเกิดเหตุการณ์อะไรกันแน่" เจียวซือส่งสายตาแฝงเลศนัยคาดคั้นถาม
มี่อิงใช้สายตาเพ่งมองไปที่ช่างม่านอีกครั้งและคิดในใจ บ่าวชายผู้นั้นมีรูปร่างสันทัด ไม่สูงไม่เตี้ยจนเกินไป แต่ซูบผอมนัก นั่นทำให้นางรู้สึกแปลกใจว่า ช่างม่าน จะใช่ผู้ที่ช่วยนางและแบกนางกลับมาจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?
ถึงแม้ว่านางจะไม่มีสติสัมปชัญญะในยามนั้น แต่นางก็ยังจดจำรายละเอียดได้เป็นอย่างดี
บนแผงอกที่ผายกว้าง ช่างอบอุ่นเหลือเกิน กลิ่นกายที่อ่อนละมุนของเขาตราตรึงมาจนถึงยามนี้ พอได้ยินจากปากเจียวซือว่าคือ ช่างม่าน ในใจก็พลันแย้งปฏิเสธและไม่ปักใจเชื่อในทันที
“ว่าอย่างไรล่ะมี่อิง...เจ้าจะเล่าให้ข้าฟังได้หรือยัง เจ้ากับพี่ช่างม่านน่ะ ความสัมพันธ์เป็นอย่างไรกันแน่” เจียวซือถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น สายตาเป็นประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็น
มี่อิงละสายตากลับมาขัดถูบันไดต่อ พลางเอ่ย “ไม่มีอะไรทั้งสิ้น หากช่างม่านช่วยข้าจริง ข้าก็คงต้องไปขอบคุณเขา”
“อะไรกัน...เจ้าไม่ยอมบอกความจริงข้าอีกแล้ว” เจียวซือยื่นปาก แสดงสีหน้าผิดหวัง “หรือเห็นว่าพี่ช่างม่านเป็นใบ้ แล้วเจ้าคิดว่าจะเป็นเรื่องน่าอับอายกันล่ะ”
“ช่างม่าน...เป็นใบ้อย่างนั้นหรือ” มี่อิงชะงักนิ่ง หันหน้าถามด้วยใบหน้าสงสัย
“ก็ใช่นะสิ! แต่เห็นท่าทางของเจ้าแบบนั้น...ข้าก็เชื่อได้อย่างสนิทใจแล้วล่ะ ว่าเจ้าน่ะไม่ได้รู้จักหรือไปมีความสัมพันธ์อะไรกับพี่ช่างม่านจริง ๆ”
“ก็ข้าบอกเจ้าแล้ว” มี่อิงส่ายศีรษะเอ่ยเสียงระอา
“ว่าแต่...เจ้าจะเล่าเหตุการณ์เมื่อวานนี้ให้ข้าฟังได้หรือยัง ว่าเจ้าหายไปไหนมาทั้งวันแถมกลางคืน เจ้าก็มาอยู่ในสภาพเช่นนั้นอีก”
“เจ้าจำเรื่องขนมเทียนเอ๋อต้านได้หรือไม่"
เจียวซือเอียงศีรษะนึกคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ที่เจ้าไปขอคำแนะนำจากจวงมามาอย่างนั้นหรือ”
“ใช่! จวงมามาให้คำแนะนำแลกเปลี่ยนกับการให้ข้าเข้าไปทำความสะอาดที่เรือนเยว่สือ”
“จะ เจ้าว่าอย่างไรนะ...เรือนเยว่สืออย่างนั้นหรือ” เจียวซือยกมือขึ้นป้องปากด้วยความตกใจ
มี่อิงตอบอื้มและผงกศรีษะเบา ๆ
“เจ้าเข้าไปทำความสะอาดที่เรือนนั่นคนเดียวจริง ๆ หรือ” เจียวซือเอ่ยย้ำ ใบหน้าฉายแววไม่อยากเชื่อ
มี่อิงผงกศีรษะอีกครั้งด้วยสายตาเลื่อนลอย
“เจ้ารู้หรือไม่ ว่าคนที่นี่เขาพูดกันว่าเรือนเยว่สือคือเรือนผีสิง!”
“เรือนผีสิงงั้นหรือ...แล้วอย่างไรล่ะ” มี่อิงเอ่ยพลางคิดในใจ หากไม่ได้เจอวิญญาณในวันนั้น นางก็คงจะตื่นกลัวกับคำพูดของเจียวซือมากกว่านี้
“ในเมื่อ...ข้าเจอผีมาแล้ว” มี่อิงเอ่ยเสียงเรียบ
“จะ เจ้าว่าอย่างไรนะ!!”
“ข้าโดนผีหลอกจนข้าสลบไป ตื่นขึ้นมาก็มาอยู่ที่เรือนพักแล้ว”
“นะ น่ากลัวเกินไปแล้ว” เจียวซือกระโดดกอดแขนมี่อิง พลางหันหน้ามองทางซ้ายที ทางขวาทีด้วยความหวาดกลัว
“ไฉนถึงเรียกเรือนแห่งนั้นว่าเรือนผีสิง...เจ้ารู้หรือไม่” มี่อิงถามด้วยสีหน้าสงสัย
“ก็เรือนเยว่สือเคยเกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมร้ายแรงนะสิ!”
"โศกนาฏกรรมร้ายแรงอย่างนั้นหรือ"
"อื้ม!" เจียวซือพยักหน้าและเอ่ยต่อ "ที่เรือนเยว่สือหลังนั้นน่ะ เคยเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้มาก่อนเมื่อสามปีที่แล้ว จนทำให้คุณชายโจวสูญเสียทั้งฮูหยินและนายท่านภายในเวลาเดียวกัน"
นี่มัน...โหดร้ายเกินไปแล้ว
พอได้ฟังเช่นนั้น นัยน์ตาของมี่อิงก็พลันมีไอน้ำจาง ๆ ปรากฏขึ้น หากชีวิตข้าต้องมาเจอเหตุการณ์เช่นนั้น ในใจข้าคงแบกรับไม่ไหวเป็นแน่
“และสาเหตุที่คุณชายตาบอดก็เพราะเข้าไปช่วยฮูหยินและนายท่าน แต่ช่วยเอาไว้ไม่ทัน หลังจากกองเพลิงสงบ คุณชายก็ถูกนำไปรักษาตัวที่อารามบนเขาสูงอยู่นานนับปีเลยล่ะ"
“ไฉนชะตาชีวิตของคุณชายถึงน่าสงสารเช่นนี้”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น ข้าน่ะ...พอได้ฟังแล้วก็นึกสงสารคุณชายจับใจ”
มี่อิงถอนหายใจเฮือกยาวด้วยใบหน้าสลด คิดในใจ คุณชายโจวผู้นั้นคงเจ็บปวดใจไม่น้อยที่ต้องมาสูญเสียทั้งบิดามารดา แม้กระทั่งดวงตาของตัวเองไป การที่คุณชายโจวกลายเป็นคนอารมณ์ร้อนคงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก ข้าหวังว่าเวลาจะช่วยเยียวยาจิตใจคุณชายโจวให้กลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง...
"เจ้าระวังตัวให้ดีก็แล้วกันมี่อิง ข้าว่าจวงมามากับเซี่ยวเซี่ยวคงจะหาโอกาสเล่นงานเจ้าเป็นแน่"
มี่อิงยิ้มละไมเอ่ยตอบ "อื้ม! เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ข้าจะระวังตัวให้มากกว่านี้"