BELOVED 08
ฉันนั่งทำแผลที่หัวด้วยจิตใจที่งุ่นง่าน ยิ่งเสียงออดหน้าประตูกับเสียงโทรศัพท์ทั้งการโทรและไลน์สลับกันให้วุ่นวายไปหมด อย่ามาทำเหมือนสนใจฉันหน่อยเลยสโนว์ทั้งที่ก็เพิ่งกินกับผู้หญิงคนอื่นเสร็จ ฉันไม่ใช่ของตายของใครที่อยากจะสนใจก็มาทำดีด้วยให้ตายใจ
เหอะ...
ไม่ว่าจะโทรมาอีกกี่ร้อยสาย จะส่งไลน์มาอธิบายอะไรก็ตามฉันไม่สนใจ ไม่เปิดอ่านทั้งนั้น ถ้าคิดจะง้อฉันจริงๆก็ขอดูความพยายามของนายหน่อยเถอะ ดูจากสภาพแล้วคงไม่เกินสองวันหรอกเดี๋ยวก็ล้มเลิกความคิดไปเอง ฉันจะทำยังไงให้สมองมันลบภาพที่เห็นได้ ภาพรอยแดงที่เกิดจากการ
คิสมาร์กบริเวณคอของผู้หญิงคนนั้น
ดูเร่าร้อนกันน่าดูเลยนะ...
ถ้าคิดว่าฉันเป็นของเล่น ฉันก็จะเป็นของเล่นที่แพงจนนายไม่มีปัญญาซื้อ ในเมื่อรู้สึกดีด้วยได้ก็ยุติมันได้เหมือนกัน
ทุกๆวันผ่านไปแบบนี้ มีเสียงออดหน้าประตู เสียงโทรศัพท์ เสียงแจ้งเตือนไลน์จากสโนว์ทั้งสิ้น ผ่านมาเกือบสองอาทิตย์สโนว์ก็ยังไม่ลดละความพยายามนับว่าเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อสำหรับฉัน ถามว่าใจอ่อนลงบ้างไหม ก็นิดหนึ่งแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะกลับไปดีเหมือนก่อนซะเมื่อไร
พรุ่งนี้เป็นวันเปิดภาคเรียนเทอมแรกแล้วฉันเลยหอบชุดนักศึกษาที่ได้จากบ้านอาปกรณ์มาชื่นชมแล้วเตรียมพร้อมสวมใส่ แต่นี่รถก็ยังซ่อมไม่เสร็จฉันคงต้องนั่งแท็กซี่ไปเรียนก่อนจนกว่ารถจะเสร็จนั่นล่ะ
วันต่อมา..
ชุดนักศึกษาถูกสวมทับบนร่างกายฉันอย่างพอดี ฉันยืนหมุนซ้ายทีขวาทีอยู่หน้ากระจกเพื่อสำรวจความเรียบร้อยก่อนจะย่างเท้าไปเปิดประตูห้อง แต่แล้วก็เจอกับสโนว์จนได้ทั้งที่ฉันเลี่ยงพบหน้ากันมาหลายวัน ฉันยังไม่รู้จะพูดอะไรด้วยก็เลยหลบหน้าเขา
“กี้ครับ ไปเรียนด้วยกันนะ”
ฉันหันมาล็อคประตูแล้วเดินไปไม่ได้สนใจสโนว์เลย ทำเป็นไม่เห็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เหมือนเจอลมเจออากาศที่ไร้ตัวตน
“โถ่กี้ จะไม่ฟังฉันอธิบายอะไรหน่อยเหรอ?”
แม้กระทั่งในลิฟต์สโนว์ก็ยังจ้องจะคุยกับฉันไม่เลิก ฉันเลยหันหลังให้เขาแล้วหันหน้าเข้าผนังลิฟต์แทน ไม่อยากจะยอมรับเลยว่าพอได้เห็นหน้า สโนว์แล้วใจมันเต้นตุบตับแทบจะกระเด็นออกมา
“ทำไมเธอใจร้ายนักวะ ฉันกับน้องเขา...”
ติ๊ง
ประตูลิฟต์เปิดออกพร้อมกับเท้าฉันที่ก้าวออกมาทันทีไม่รอให้สโนว์อธิบายอะไรจบ ฉันกับน้องเขา... แหวะ ทำไมจะบอกว่าได้กันกี่ยกแล้วล่ะ เหอะ กี่ยกไม่รู้แต่รอยที่คอนี่คงจะเผ็ดมันกันพอตัวเลย
“เธอจะนั่งแท็กซี่ทำไม ไปกับฉันก็ได้ โว้ยยย กี้!!อย่าดื้อดิ”
ฉันก็ดื้ออย่างนี้ล่ะแล้วจะทำไม...
ฉันขึ้นรถแท็กซี่มามหาวิทยาลัยไม่นานก็ถึงเพราะไม่ได้ไกลจากคอนโดมาก มหา’ลัยดูร่มรื่นเพราะต้นไม้เยอะ สองเท้าเดินทอดน่องไปเรื่อยตามริมทางเดินของมหาวิทยาลัยจนมาหยุดนั่งเล่นที่ริมสระน้ำและใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ชูต้นให้ร่มเงาอยู่ ฉันชอบที่เงียบๆแบบนี้แหละ
“ฮือออออออ ทำไมพระเอกใจร้ายกับนางเอกแบบนี้!!! อั๊วรับไม่ได้ อั๊วไม่ยอม!! ฮืออออ”
เสียงใครร้องไห้อยู่แถวนี้นะ
“แงๆๆๆ ทำไมลื้อโง่แบบนี้นะอีตาพระเอก เชื่อนังปากแดงนั่นได้ยังไง ทำไมไม่เชื่อเมียตัวเอง อั๊วสงสารนางเอกจริงๆมีผัวโง่แบบลื้อ!!”
“(-_- )( -_-)”
“ก็ไม่มีใครนี่ แล้วใครมาร้องไห้”
”(-_- )( -_-) /(-_- )( -_-)”
ตุ้บ!!
“โอ๊ยยยยย”
“เธอ!!! เป็นอะไรรึเปล่า”
ฉันก็มองซ้ายมองขวาหาต้นเสียงแล้วนะแต่ก็ไม่เจอ เสียงร้องไห้โหยหวนจนฉันกลัวแล้วเนี่ย นี่ถ้ามืดๆคงนึกว่าผีหลอกแต่นี่ยังเช้าตรู่อยู่ไงเลยได้แต่มองหา จนมาตกใจกับเสียงตุ้บพร้อมกับเงาที่หางตาแว้บๆทำให้ฉันหันไปมองทันทีพบว่าเป็นผู้หญิงผิวขาวคนหนึ่งเลยรีบวิ่งไปดู
“อั๊วไม่เป็นไรหรอก แค่ตกต้นไม้ ขอบใจลื้อมากนะ”
”เธอขึ้นไปทำอะไรบนต้นไม้เหรอ”
“อั๊วขึ้นไปดูซีรี่ส์เกาหลีน่ะ”
“เสียงร้องไห้เมื่อกี้เสียงเธอเหรอ”
“ลื้อได้ยินเหรอ อั๊วว่าอั๊วร้องเบาๆแล้วนะ”
เบากว่าระฆังวัดไปนิดเดียวเอง...
“ว่าแต่เธอเรียนปีไหนเหรอ”
“ปี 4 เซกชั่น 2 ลื้อล่ะ”
“ปี 4 เซกชั่น 2 เหมือนกันเลย ฉันชื่อป๊อกกี้นะ เรียกกี้ก็ได้”
“อั๊วชื่อเหมยลี่ เรียกอั๊วว่าเหมยละกัน ตกลงเราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ ไป ไปเรียนกัน”
“ห้ะ”
ฉันยังงงๆกับการมีเพื่อนคนแรกอยู่ การมีเพื่อนมันง่ายขนาดนี้เลยเหรอ แต่ก็ดีเหมือนกัน ฉันก็กลัวจะไม่มีเพื่อนพอดี พูดถึงเหมยน่ะ หน้าตาเธอน่ารักดีนะ คือหน้าหมวยเลยแหละ เสียงแหลมๆ ตัวเล็กๆ ผิวขาวๆ แต่นิสัยอะยังไม่รู้หรอกไว้ค่อยศึกษากันไปแต่ดูแล้วเป็นคนน่าคบหาดี
เหมยดึงมือฉันให้เดินไปตามทางแล้วก็คอยซักถามฉัน เราพูดคุยกันไปต่างๆนานาจนได้ความว่าเหมยเรียนอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปีหนึ่งและชอบทำอาหารมากๆ ดูจากลักษณะท่าทางเธอเป็นผู้หญิงที่น่ารักมากเลยล่ะ ดูน่าทะนุถนอม แต่เสียงเธอเวลาพูดนี่แหลมกว่าเข็มซะอีก
“อั๊วไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ ลื้อรออั๊วแป๊บหนึ่ง”
“โอเค”
ผู้ชายกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามายืนรุมฉันแล้วใช้สายตาแทะโลมตั้งแต่หน้าถึงปลายเท้าเลยก็ว่าได้ ถ้ายกเท้าฟาดหน้าไปจะโดนไล่ออกไหมเนี่ย ต้องทะเลาะวิวาทกี่ครั้งถึงยังไม่โดนไล่ออก ฉันก็ไม่ได้ศึกษากฎของที่นี่ด้วยสิ แค่รู้ว่าเวลาเสียเปรียบแบบนี้วิชายูโดมันร้อนเหลือเกิน
“เห้ เธอชื่ออะไรเหรอ น่ารักจัง”
“มีแฟนหรือยัง”
“จีบได้เปล่า”
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิคนสวย”
“ไม่ต้องกลัวพวกฉันหรอกน่า”
“อย่ามายุ่งกับฉัน!!”
ฉันพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดเพราะเดินหนีไปไหนไม่ได้เลย มันยืนล้อมหน้าล้อมหลังฉันไว้แบบนี้ พอฉันรำคาญจนขึ้นเสียงใส่ก็ไม่สะทกสะท้านอะไรเลยไอ้พวกนี้นี่
“ไปให้พ้นจากคนของกู!!”
เสียงนี้...
ไม่ทันได้หันไปมองตามต้นเสียงก็พบกับเจ้าของเสียงเดินมาพอดี สโนว์เดินเข้ามาพร้อมทำหน้าตาหาเรื่องมาแต่ไกลเลย ไม่นานก็มีเพื่อนเขา
อีกสามคนเดินมาสมทบ พวกที่ยืนรุมฉันก็ก้มหัวให้สโนว์แล้วเดินหนีไปเลย
ที่ตรงนี้เลยเหลือแค่ฉันกับสโนว์ที่ยืนมองหน้ากันพร้อมเพื่อนเขาที่ยืนดูอยู่ห่างๆ อยากขอบคุณนะแต่ไม่อยากคุยด้วย
“มันแตะต้องอะไรเธอหรือเปล่า”
“เอ่อ”
“ถ้ายังไม่หายโกรธฉันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าพร้อมเปิดใจรับฟังฉันเมื่อไรฉันก็พร้อมจะอธิบายให้เธอฟังนะ บอกไว้ตรงนี้เลยว่าฉันไม่ได้มีอะไรกับผู้หญิงที่ไหนทั้งนั้น ที่เธอเห็นวันนั้นคือน้องรหัสฉันเอง”
“อากี้ อั๊วเสร็จแล้ว”
“ไปกันเถอะเหมย”
ฉันลากเหมยให้เดินผ่านตรงนั้นมาด้วยความรู้สึกแปลกๆ ไม่รู้จะต้องทำหน้ายังไงเวลาเจอหน้าสโนว์ ไม่รู้ว่าจะเชื่อที่เขาบอกดีไหม
“กี้ เธอใจร้ายจังวะ...”
เสียงตัดพ้อของสโนว์ยังดังอยู่ในโสตประสาทจนมาถึงห้องเรียน ยิ่งกว่านั้นคือฉันกับสโนว์เรียนห้องเดียวกัน!! แล้วฉันจะไม่อึดอัดขนาดนี้เลยถ้าสโนว์ไม่เดินมานั่งข้างๆ ทำให้แถวที่ฉันนั่งมีเหมยนั่งริมสุดแล้วก็เป็นฉัน ข้างๆฉันคือสโนว์และเพื่อนของเขาอีกสามคน
ทำยังไงดี ฉันต้องทำหน้ายังไงเนี่ย..
“อากี้ ผู้ชายคนนั้นตามลื้อทำไมอะ?”
“ง้อมั้ง พอดีมีความผิดติดตัว”
“แฟนลื้อเหรอ?”
“ก็ไม่เชิงหรอก”
เวลาเรียนสโนว์จะพยายามเอามือมาแตะเนื้อต้องตัวฉันตลอดโดยเฉพาะมือนี่เผลอไม่ได้เลย คว้าไปจับทันที ฉันต้องแยกประสาทในการเรียนและปกป้องตัวเองไปพร้อมๆกัน
“เหมย เลิกเรียนไปห้างกันปะ?”
“ไม่อะ อั๊วต้องไปฝึกทำอาหาร”
“โอเคๆ ขยันจังนะเธอเนี่ย”
เหมยนั่งดูวิดีโอสอนทำอาหารทั้งคาบเลยด้วยซ้ำ คือดูเธอจะรักการทำอาหารและตั้งใจกับเรื่องพวกนี้มากๆ ฉันก็ไม่ได้อยากกวนเห็นมีสมาธิจดจ่ออยู่เลยนั่งฟังที่อาจารย์สอนไปเรื่อย สโนว์นี่ก็อีกคนเอะอะซบไหล่ๆ ไม่ได้อายสายตาเพื่อนในห้องบ้างเลยหรือไง
อ่อ ลืมไปก็นี่ลูกเจ้าของมหา’ลัยนี่นา..
“กี้ เธอหิวไหม? เราไปหาอะไรกินกันนะ”
“เห้อ.. นายจะตื๊อฉันไปถึงไหนเนี่ยสโนว์”
“จนกว่าเธอจะหายโกรธแล้วกลับไปดีกันเหมือนเดิม”