ตั้งแต่ศยามลกลับมาเธอก็ฟ้องมารดาเรียบร้อย และยังมีสื่อถ่ายทอดสดผ่านหน้าทีวีอีกหลายช่อง
“พลอย...วันนี้ฉันจะไม่ว่าที่แกอยากเด่นอยากดังเทียบชั้นลูกสาวของฉัน คนที่ไม่เคยได้รับการยกย่องอย่างแกก็คงอยากเป็นนางซินสักวัน แต่นี่เลยเที่ยงคืนไปแล้ว คงไม่มีเจ้าชายเหมือนในนิยายหรอกนะ” เจ้าของบ้านบอกเสียงเนิบนาบ
พลอยขวัญอ้าปากหวอกับความคิดของสองแม่ลูก ทั้งที่เธอช่วยแก้ปัญหาและปกป้องชื่อเสียง ประโยคแรกที่ออกจากปากหม่อมหลวงสราลีเธอแค่อึ้ง แต่ประโยคต่อมาทำเอาคนฟังแทบหยุดหายใจ
“ชุดบุษราคัมที่แกสวมขึ้นเวทีราคาเปิดราคาประมูลหนึ่งล้าน แต่เพราะความไม่ดึงดูดของแกทำให้บุษราคัมชุดนั้นไม่มีใครประมูลไป เพราะฉะนั้น...ฉันจะไม่รับผิดชอบกับสิ่งที่แกก่อ แกต้องชดใช้ค่าเสียหายหนึ่งล้านนั้นให้ฉัน แล้วเอาบุษราคัมบ้าๆ นั้นไป” หม่อมหลวงสราลีบอกเสียงเรียบ หากแต่มันกลับกรีดลึกสุดขั้วหัวใจหญิงสาว
‘หนึ่งล้าน...’ หญิงสาวทวนในใจ เธอต้องชดใช้กี่ปี กับเงินเดือนที่เธอได้รับเดือนละสามหมื่น
“แต่พลอย..” หญิงสาวจะอ้าปากค้าน หากเสียงเข้มของหม่อมหลวงสราลีก็ขัดขึ้นเสียก่อน
“นึกถึงบุญคุณที่ฉันส่งเสียแกให้เรียนจบและให้งานให้เงินเดือนบ้างนะพลอย ฉันอาจจะผิดที่เอ็นดูแกมากไป มากไปจนแกคิดเผยอเทียมลูกสาวของฉัน”
“พลอยไม่เคยคิด” หญิงสาวค้าน
“สันดานลูกคนใช้อย่างแก..แค่อ้าปากฉันก็เห็นไปถึงไหนต่อไหน”
คำพูดดูถูกไปถึงบุพการีทำให้พลอยขวัญปวดหนึบทุกครั้ง หากเธอจะพายายออกไปก็เป็นการอกตัญญูเกินไป เธอมีที่กินที่อยู่ ได้เรียนหนังสือก็เพราะบ้านหลังนี้ อีกอย่างยายก็แก่มาก หากออกไปอยู่ลำพังเวลาเธอไปทำงานใครจะคอยดูแล ถึงแม้อยู่ที่นี่เธอจะโดนกดขี่เหมือนทาส แต่ก็ยังมีพี่ๆ แม่บ้านช่วยดูแลยาย
หม่อมหลวงสราลีย่อตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้สักเก่าแก่
“เอาละ พรุ่งนี้ถ้าเจ้าหน้าที่จัดงานส่งบุษราคัมมาให้ แกจะเอาไปทำอะไรก็ช่าง ส่วนเงินหนึ่งล้าน แกต้องทำงานใช้หนี้ฉันสามปี”
พลอยขวัญอ้าปากหวอ เงินเดือนสามหมื่นกับหนี้หนึ่งล้าน หารยังไงก็ไม่ครบสามปี แล้วที่สำคัญ เธอต้องโดนศยามลกดขี่อีกสามปี แล้วไม่รู้ว่าสามปีจากนี้ไปจะมีค่าใช้จ่ายเกิดเพิ่มขึ้นอีกเท่าไร
“ไม่ต้องทำหน้างง แกน่าจะขอบคุณที่ฉันใจดียอมให้แกทำงานชดใช้แค่สามปี”
“ค่ะ” หญิงสาวตอบรับเสียงเบาเตรียมจะเลี่ยงออกไป ถึงตอนนี้เธอต้องคิดใหม่ทำใหม่ ไม่ว่าอย่างไรเธอจะต้องก้าวออกจากบ้านหลังนี้ไปอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ บุญคุณที่มียังเหลือวิธีอื่นที่ต้องตอบแทน
“อ้อ...ฉันเกือบลืม พรุ่งนี้จะมีงานหมั้นของศยามลที่บ้าน แกคงรู้หน้าที่...ไม่ว่าจะอย่างไรก็ห้ามให้ศยามลหนีเด็ดขาด”
หญิงสาวอึ้งอีกครั้งกับข่าวใหม่ที่เธอเพิ่งรู้ แต่ก็เดาออกในทันทีกับใบหน้าของศยามลในตอนที่เธอเข้ามา นางแบบสาวต้องโดนมารดาบังคับแน่นอน แต่ถ้าเจ้าของบ้านเอ่ยปากอย่างนี้ พรุ่งนี้เธอก็ต้องรับบทหนักอีกตามเคย
“ค่ะ” หญิงสาวตอบรับอีกครั้ง เธอคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายอมรับชะตากรรมของตัวเอง
เช้ามืดของวันใหม่ นายหัวเมืองใต้แอบย่องออกนอกบ้านพร้อมกระเป๋าเป้ใบเก่ง ทันทีที่ได้ยินข่าวซุบซิบจากแม่บ้าน เป็นโชคดีของเขาที่หิวน้ำกลางดึก ในเวลาที่แม่บ้านกำลังช่วยกันเก็บครัว เมื่อรู้อย่างนั้นเขาก็ต้องรีบหนี ขืนปล่อยให้ถึงเช้า มีหวังโดนมารดาของเขามัดมือชกอีกแน่นอน
ตุ๊บ! เสียงพื้นรองเท้าตกกระแทกพื้น
ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นเต็มความสูงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ทันทีที่ก้าวหลุดออกมาพ้นรั้วบ้าน เรื่องแต่งงานไม่ว่าจะอย่างไร จะไม่มีใครบังคับเขาได้อีก
นายหัวหนุ่มหันหน้าเข้าหาตัวบ้าน มองไปที่ห้องนอนของมารดาบอกผ่านสายลมสั่งลา “ลาก่อนนะครับแม่ ผมจะไม่กลับมาที่นี่อีกจนกว่าแม่จะเลิกบังคับให้ผมแต่งงาน”
เช้าวันต่อมาที่ห้องอาหารของบ้าน สาวใช้ทั้งหมดในบ้านยืนเรียงกันรอบโต๊ะอาหาร มือของทุกคนกลุ่มอยู่หน้าตัดของตัวเองอย่างนอบน้อม
“อะไรนะ...กรินไม่ได้ในห้อง” เสียงคุณอิงดาวร้องถามสาวใช้ดังลั่นห้องโถง
“ค่ะ” หนึ่งในหญิงสาวนางหนึ่งตอบรับ เธอเป็นคนขึ้นไปปลุกเรียกนายหัวหนุ่มด้วยตัวเองและเป็นคนพบว่าเขาไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว
คุณอิงดาวกว่าสายตาจ้องไล่เรียงทีละคน ถามย้ำเสียงหนักอย่างคาดคั้น “คนออกจากบ้านไปทั้งคน พวกหล่อนไม่มีใครเห็นสักคนเลยหรือไง”
สาวใช้ทุกคนใส่หน้าพร้อมกันพร้อมกับก้มหน้างุดหลบสายตา
“ฉันเลี้ยงพวกแกเสียข้าวสุกจริงๆ ค่าจ้างก็แพงตัดเงินเดือนจะดีไหม”
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณแม่” กริชที่เพิ่งแต่งตัวเดินมาสมทบก็รีบเข้ามาตามเสียง ถามขึ้นหลังจากได้ยินประโยคสุดท้ายของมารดา
คุณอิงดาวหันกลับไปมองหน้าลูกชายคนเล็ก
“ก็พี่ชายตัวดีของแกน่ะสิ แอบหนีไปแล้ว” คนเป็นมารดาบอกเสียงหงุดหงิด พร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาไม่ได้ห่วงรอยยับยู่ของชุดหรูที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้
“ใครเป็นคนปากโป้งพูดถึงเรื่องงานหมั้นให้กรินได้ยิน” คุณอิงดาวมองกราดก่อนที่จะหยุดสายตาไล่ทีละคนแบบเรียงตัวอีกครั้ง แต่ทุกคนก็ยังยืนนิ่งงันนางจึงหันกลับมาถามลูกชาย
“แล้วแกละ...รู้บ้างไหมว่ากรินออกไปไหน”
“เมื่อคืนก็ไม่มีพิรุธอะไรสักอย่าง ก็เห็นนั่งดูแฟชั่นโชว์มีความสุขดี” กริชบอก
“ก็นั่นน่ะสิ”
“หรือว่าจะมีธุระด่วน” ลูกชายคนเล็กออกความเห็น
“ตั้งแต่พี่ชายแกไปอยู่ภาคใต้ 5 ปี ไม่เคยยอมขึ้นมากรุงเทพสักครั้ง แล้วแกคิดหรือว่าคนอย่างกรินจะมีธุระกับใครที่ไหน”
“ก็จริง” กริชพยักหน้าคล้อยตามมารดา
“กรินต้องรู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นไม่ลงเอยแบบนี้หรอก แต่ที่ฉันอยากรู้ว่าใครเป็นคนบอก” สาวใช้ส่ายหน้าหวือพร้อมกัน คุณอิงดาวกุมขมับไม่ว่าจะด้วยกลใด นางไม่เคยชนะลูกชายคนโตได้สักครั้ง
เมื่อเห็นไม่มีทางออกและไม่มีใครรู้ใครเห็น คุณอิงดาวจำต้องจัดการปัญหาเฉพาะหน้าเช้านี้ให้จบ จากตอนแรกตั้งใจมัดมือชกลูกชายโดยไม่บอกกล่าว แต่นางกลับโดนลูกชายคนโตเซอร์ไพรส์เสียเอง
“เฮ้อ...แล้วฉันจะทำยังไงดี หม่อมหลวงสราลีต้องฉีกอกฉันแน่ๆ สั่งคนเอารถออกซิ!” คุณอิงดาวบอกอย่างทอดถอนใจ ยกมือกุมขมับ