2|ก็ของมันเคย ๆ

3222 Words
ฝ่ามือหนาข้างหนึ่งได้ลูบไล้เลื่อนขึ้นลงตามลำตัวผ่านผิวเนื้ออ่อนจนเห็นเส้นเลือด ร่างบางที่นอนบนโซฟาขยับลำตัวอย่างอึดอัดและร้อนรุ่ม ความคับแคบของพื้นที่ ทำให้เธอไม่สามารถหลีกเร้นร่างหนาที่โถมทับลงมาได้ อีกทั้งริมฝีปากร้อนผ่าวที่กำลังพรมจูบตรงซอกคอนั้นก็ชวนซ่านหวิว... ใจรอน ๆ                                                                                                 เธอแหงนเงยใบหน้าขึ้น เพื่อสูดเอาอากาศเหนือศีรษะให้เข้าปอด ความอึดอัดนั้นทำให้เธอไม่สบายตัว เนื้อกายร้อนผ่าวราวกับจับไข้ และยามแหงนเงยใบหน้าขึ้น จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ศีรษะอีกคนเคลื่อนลงมาพรมจูบตรงปลายคางเล็กเรียวได้รูป          ผิวกายร้อนรุ่ม ขยับตัวอย่างอย่างอึดอัดอีกครั้ง ยามฝ่ามือหนาที่เคลื่อนอยู่ตามส่วนเว้าส่วนโค้งด้วยอารมณ์ปรารถนาชักนำ ...เมื่อทรวงอกถูกบีบเคล้นเบา ๆ แล้วเลื่อนไปยังเอวคอด ลำตัวบอบบางจึงเบียดหลบเขาอย่างความกระสับกระส่ายตาม                                                      'อื้อ...'                                                                                        จู่ ๆ ฝ่ามือข้างที่เคลื่อนอยู่ตรงส่วนเว้าส่วนโค้งนั้นค่อย ๆ เลื่อนลงต่ำ แล้ววกกลับมาป้วนเปี้ยนแถวโคนขาอ่อน ที่กระโปรงถูกรื้อร่นขึ้น ก่อนจะซุกฝ่ามือเข้าไปภายในกายบางจนสะดุ้งไหวขึ้น 'อ๊ะ!'                                              ลำตัวบอบบางสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากที่นอนนุ่มทันที กายหวิวใจหวิวขึ้นมาอีกครั้ง ฝัน...นี่เธอได้ฝันถึงเหตุการณ์ในวันนั้นอีกแล้วหรือ!    ความฝันชวนวาบหวามนั้นช่างให้ผลจนเรือนกายเธอร้อนขึ้น ร้อนจนเธอต้องเผลอหนีบต้นขาเข้าไว้ด้วยกันแนบแน่น... ดวงตางามทั้งคู่กำลังเคลื่อนไหวไปมาอยู่ในความมืดสลัวเมื่อได้ตรึกตรองว่า                ทำไมเธอยังเก็บเหตุการณ์วันนั้นมาฝันจนถึงกระทั่งตอนนี้ด้วยนะ หรือว่าสัมผัสร้อนผ่าวนั้นยังตราตรึงอยู่ไม่รู้หาย?    หญิงสาวขยับกายขึ้น ดึงสายชุดนอนขนาดเล็กขึ้นมาคล้องไหล่บางขึ้นอีก ยามรู้สึกตัวว่ามันได้หลุดลงไปอยู่ต้นแขนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ พร้อมกับเอื้อมมือกดสวิตซ์โคมไฟเหนือหัวเตียงนอนไปด้วย                            ทันทีที่ไฟสว่างขึ้น เธอก็ได้ไล่เรียงเหตุการณ์ในวันนั้นอีกครั้ง           ปึก ๆ!                                                                                        เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น ทำให้ร่างหนาที่กำลังเคลื่อนฝ่ามือเข้าไปภายในโคนขาอ่อนต้องถอนหายใจออกพรืด ชะงักฝ่ามือร้อนผ่าวไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะหลุบดวงมองร่างบางที่ทอดร่างอ่อนระทวยพลางหลับตาแน่นเกร็งตรงหน้า เขาผละลุกขึ้น แล้วขยับเนกไทตามอีก ก่อนจะออกคำสั่งเสียงเรียบ                                                                                      'ลุกเถอะ...'                                                                               หญิงสาวจึงรีบผุดลุกขึ้น                                                  'แต่งตัวให้เรียบร้อยด้วย'                                                              เธอหมุนตัวกลับ ดึงชายกระโปรงที่รื้อร่นจนเห็นโคนขาอ่อนลง ติดกระดุมที่ถูกเขาแกะออกไปถึงสามเม็ดด้วยมืออันสั่นเทา จากนั้นก็รีบจัดการผมเผ้าให้เรียบร้อย                                                                    เขาเดินกลับไปที่โต๊ะอีกครั้ง พลางเอ่ยเสียงทุ้มเข้มตาม 'เข้ามาได้'          จากนั้นไม่นาน ประตูห้องทำงานจึงถูกเปิดออกด้วยเลขาฯร่างอวบอั้นในวัยสามสิบสี่ปี เลขาฯคนนี้ชำเลืองมองมาที่หญิงสาวแวบด้วยสายตาที่อ่านอะไรออก ก่อนจะเดินนำเอกสารเป็นตั้ง ๆ ที่ต้องให้เจ้านายหนุ่มหล่อได้อ่านและเซ็นชื่อกำกับวางลงบนโต๊ะทำงานตัวใหญ่ตาม                       พิมพ์ลดานึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น พลางเป่าลมออกจากปากอีกพรืด แค่สัมผัสแบบผิวเผิน แต่กลับสร้างความร้อนรุ่มตามผิวกายเธออย่างไม่เลือนหายนี่ล่ะ ทำให้เธอรู้สึกหงุดหงิดจริง ๆ                           'เปลวตะวัน ศรีวัฒนา'                                                  ประธานกรรมมาบริษัท พีที ลักซ์ซัวรี่ คาร์ ในตลอดเวลาที่ผ่านมาข่าวสารของเขา ในฐานะหนุ่มนักธุรกิจรูปหล่อที่เป็นชายในฝันของบรรดาสาว ๆ มากหน้าหลายตามีมาให้เธอเห็นอยู่เสมอ ๆ เธอจึงรับรู้ความเป็นไปของเขาตลอด แต่เขา...คงไม่ได้มารับรู้ความเป็นไปของเธอ  เพราะนับตั้งแต่คืนนั้นที่เธอตัดสินใจอย่างเด็ดขาด รีบสวมใส่เสื้อผ้าเก็บข้าวของแล้วย่องออกจากห้องพักเขาไป  นั่นจึงถือว่าเป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดทีเดียว จนป่านนี้เขาจึงไม่ได้พบเธออีกเลย กระทั่งเวลาได้ผ่านไปแล้วถึงห้าปี สาวไซด์ไลน์หรือ หึ! ก็แค่...เกือบจะเป็น เธอไม่ได้เป็นเต็มตัวจริง ๆ สักหน่อย เธอจะตระหนกและหวาดกลัวตามคำที่พรรณรายก่นด่า สาปแช่งผู้หญิงประเภทนี้ ทำไม!                                                                  เธอก็แค่เคย...เคยติดสินใจชั่ววูบแบบหลงผิด คิดว่าวิธีนี้น่าจะช่วยเหลือเธอ ช่วยเหลือน้องชายได้  'น้องชาย!'                                                                                 พิมพ์ลดาหันกลับไปหยิบกรอบรูปบนเตียงนอนมาดู ภาพถ่ายที่ปรากฏตรงหน้านี้มีสมาชิกทั้งหมดสี่คน ซึ่งแต่ละคนก็ล้วนทำให้ตัวเธออ่อนไหว จนน้ำตาเอ่อซึมขึ้นมาได้อย่างง่าย ๆ อีก โดยเฉพาะเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ...คิดถึงน้องชายคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ ป่านนี้คงมีความสุขอยู่กับการเล่าเรียนศิลปะ อันเป็นสิ่งที่น้องเธอคนนี้ชื่นชอบที่สุด                            ตลอดเวลาเธอได้ต่อสู้ฝ่าฟันชะตาชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งก็ถือว่าเธอมีเกือบทุกสิ่งแล้ว เธอไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อน้องชายอันเป็นที่รัก เป็นญาติเพียงเดียวที่เธอเหลืออยู่ต่างหาก                                             'พ่อคะ แม่คะ พิมพ์จะดูแลน้องให้ดีนะคะ พ่อกับแม่อยู่บนฟ้าให้สุขสบาย ไม่ต้องห่วงเราสองคนอีกแล้วค่ะ' พิมพ์ลดากล่าวอยู่ในใจด้วยน้ำตาที่เริ่มรินไหลตามแก้ม ก่อนจะแนบริมฝีปากจูบคนทั้งสามใบรูป พร้อมกับล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ด้วยการกอดกรอบรูปใบนั้นแนบอกไปด้วยทั้งคืน  วันนี้พิมพ์ลดาตื่นสายกว่าปกติ เพราะเมื่อคืนเธอนอนไม่ค่อยหลับหลังจากได้เผลอไผลฝันถึงผู้ชายคนนั้นเข้า และเมื่อได้สะดุ้งตื่นขึ้นมาแล้ว จากนั้นดูเหมือนเขาก็เป็นตัวการที่ทำให้จิตใจของเธอไม่สงบอีกเลยกระทั่งย่ำรุ่ง แม้จะตื่นสายอย่างนี้ แต่ดีที่วันนี้เธอไม่ได้มีนัดลูกค้าที่ไหน และวันนี้เธอก็มีแค่โปรแกรมเดินทางไปดูบ้านที่ราชบุรีอันเป็นบ้านของลูกค้ารายล่าสุดเพียงเท่านั้น ซึ่งสาย ๆ หน่อยค่อยออกเดินทางก็ได้       พิมพ์ลดาถือถ้วยกาแฟแล้วนั่งลงตรงมุมนั่งเล่นที่ระเบียงห้อง มือหนึ่งยกกาแฟจิบ อีกมือก็หยิบไอแพดวางไว้ตรงหน้าพร้อมเปิดไปที่คลังรูปภาพ ใช้นิ้วเรียวเลื่อนดูรูปบ้านไม้หลังหนึ่งที่มีพื้นที่ส่วนหนึ่งติดคลองไปด้วย บ้านหลังนี้นี่เอง เป็นงานที่พิมพ์ลดาได้รับต่อจากอรณิชา ความจริงพี่อ้อน ก็ไปดูสถานที่จริง และได้ถ่ายรูปต่าง ๆ เหล่านี้มาก็พอจะครบถ้วนแล้ว แต่พิมพ์ลดาว่า อย่างไรเสีย เธอก็คงต้องเดินทางไปดูบ้านหลังนี้จริง ๆ ด้วยตาตัวเองอยู่ดี ถึงจะสามารถบรีฟงานส่ง 'ลูกค้า' รายนี้ได้          พูดถึงอรณิชา ที่อุตส่าห์ตระเตรียมงานโดยการไปเก็บภาพในมุมต่าง ๆ ของบ้านไว้อย่างครบถ้วน แต่ก็ไม่ทันได้ลงมือทำสิ่งใดทั้งสิ้น เพราะดันเกิดปัญหาเกี่ยวกับครอบครัวขึ้นมาเสียก่อน ปัญหาที่ว่า สามีของพี่อ้อนมีเมียน้อย และเมียน้อยคนนั้นก็เคยเป็นสาวไซด์ไลน์มาก่อน...                บ้าจริง! หญิงสาวเผลอสบถออกมาเบา ๆ เวลาก็ล่วงผ่านมาตั้งห้าปีแล้ว แต่เธอก็ไม่สามารถสลัดคำว่า 'สาวไซด์ไลน์' ออกจากหัวได้สักที สุดท้าย มันก็วกวนกลับมาทำให้เธอร้อนรุ่มใจอีกจนได้!                              พิมพ์ลดาเผลอวางแก้วกาแฟลงกับโต๊ะดังกึก! ก่อนจะเบือนหน้าออกจากจอไอแพดเครื่องบางตรงหน้า พร้อมกับส่งสายตาดูวิวทิวทัศน์รอบห้องพักเพื่อผ่อนคลายความหงุดหงิด และความหงุดหงิดที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้ใบหน้างามลดความน่ามองลงไปสักนิด เธอถือว่าเป็นหญิงสาวที่สวย และความสวยของเธอ เคยมีคนบอกว่า สามารถสร้างมูลค่าได้ด้วย     ใช่ หลังจากเลิกไม่ทำงานใน 'คืนนั้น' พิมพ์ลดาก็เปลี่ยนมาทำงานให้หนักมากขึ้น โดยอาศัยหน้าตาและรูปร่างนี้หาเงินเพื่อปลดหนี้สินส่วนหนึ่งของทางบ้าน พร้อมทั้งเลี้ยงน้องชายเพียงคนเดียวไปด้วย โดยงานที่พิมพ์ลดาเลือกที่จะทำพร้อมกับเรียนหนังสือไป ก็คือการตระเวนแจกใบปลิว หรือตัวอย่างสินค้าไปตามสถานที่ต่าง ๆ บางครั้งก็มีงานตามอีเว้นท์ของสินค้าต่าง ๆ มาให้เธอเป็นพริตตี้ และบางคืนเธอก็รับเสื้อผ้าและรองเท้าไปขายตามตลาดนัดต่าง ๆ อีกด้วย                                                      ผลจากการทำงานอย่างหนัก เธอจึงสามารถส่งน้องชายเพียงคนเดียวเข้าเรียนในโรงเรียนเฉพาะทางของเขาได้ แถมยังสามารถผ่อนชำระหนี้ก้อนใหญ่ให้หมดลงได้ภายในไม่กี่ปีต่อมา                                                แม้ทางที่เธอเลือกภายหลังนี้ จะไม่ใช่ทางลัดทำให้เธอสบายอย่างรวดเร็ว กว่า 'งานแรก' มีแต่ความเหนื่อยยากลำบากกาย แต่มันก็ทำให้เธอเกิดความภาคภูมิใจในตัวเองอยู่ไม่น้อย สุดท้าย เธอก็ไม่ได้ขายตัวเพื่อแลกกับเงินนี่ ดังนั้น จำเอาไว้นะพิมพ์ลดา เธอไม่ใช่สาวไซด์ไลน์สักหน่อย เธอไม่ควรเอาเรื่องนี้มารบกวนจิตใจของตัวเองอยู่อย่างนี้อีกนะ!                       ครั้นสลัดเรื่องสาวไซด์ไลน์บ้าบอนี่ออกจากหัวแล้ว พิมพ์ลดาจึงลุกจากเก้าอี้ เพื่อไปอาบน้ำก่อน จากนั้นจึงหยิบเสื้อยืดสีขาวพอดีตัว กับกางยีนส์สีเข้มขาเดฟห้าส่วนมาใส่ หยิบมือถือ ไอแพดหย่อนลงในกระเป๋าใบโต แล้วจึงออกจากห้องพักไป พิมพ์ลดาใช้เวลาเดินทางมาถึงบ้านหลังดังกล่าว ก็เป็นเวลาเกือบบ่ายสามโมงแล้ว ซึ่งแดดกำลังได้ที่ทีเดียว ทำให้หญิงสาวในเสื้อยืดเข้ารูปกางเกงห้าส่วน ต้องหยิบหมวกแก็ปขึ้นมาสวม และก่อนหน้าที่จะมาถึงเธอได้โทรไปหาคุณป้าและคุณลุงคู่หนึ่ง ที่รับหน้าที่ดูแลบ้านหลังนี้ตามเบอร์มือถือที่พรรณรายให้มา เพื่อขออนุญาตเข้าไปดูบ้าน คนทั้งสองจึงจะมาเปิดประตูบ้านรอไว้ให้เธอเข้าไปสำรวจภายในบ้านเรียบร้อยแล้ว      รองเท้าผ้าใบได้เหยียบลงสนามหญ้าที่ปลูกรอบ ๆ ตัวบ้าน แม้บ้านหลังนี้จะมีลักษณะเป็นบ้านไม้แบบสมัยก่อน แต่ว่า ก็มีความร่วมสมัยแฝงอยู่ ด้วยตัวบ้านไม้ถูกยกพื้นสูง มีชาน ทำชายคายื่นออกมา ผนังไม้เป็นระแนงเล่นแสงและเงา เป็นแนวตั้งกั้นรอบ ๆ ชานเอาไว้อีกด้วยที่ และที่บอกว่าบ้านดูมีความทันสมัยแฝงอยู่ ส่วนหนึ่งก็ได้มาจากการเอาวัสดุ สมัยใหม่มาใช้ร่วมกับงานไม้ด้วยเช่น ปูน เหล็ก และกระจก                           จึงถือว่างานนี้เป็นการออกแบบที่มีความร่วมสมัยจากสถาปนิกรายก่อนจริง ๆ และเมื่อพูดถึงสถาปนิกคนก่อนที่เป็นผู้รับเหมาจัดการบ้านหลังนี้ เธอก็เพิ่งรู้มาจากพรรณรายว่า สถาปนิกคนนั้น ได้หนีงานไป ทำให้การตกแต่งภายในไม่เรียบร้อย เหมือนเขาจะมีปัญหาส่วนตัวหรืออะไรก็ไม่ทราบ ทิ้งงาน พร้อมกับหอบเอาเงินมัดจำก้อนล่าสุดไปด้วย ตอนนี้เจ้าของบ้านพักต่างอากาศหลังนี้ ก็กำลังเดินคดีทางกฏหมายกับสถาปนิกหนุ่มรายนั้นอยู่ ซึ่งคนสนิทของเขาเปรยว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้านายตัวเองโดนหลอก ก่อนหน้านั้นเขาก็เคยโดนหลอกลวงมา แต่คนสนิทก็ไม่ได้บอกรายละเอียดอีก พรรณรายเองก็ไม่กล้าชักถามด้วยว่า เป็นเรื่องหลอกลวงอะไร ดังนั้น งานตกแต่งภายในที่เหลือจึงตกมาเป็นของบริษัทพรรณราย โดยอรณิชาเป็นผู้รับผิดชอบ แต่เพราะเกิดปัญหาชีวิต สุดท้ายงานนี้จึงตกมาอยู่ในมือของเธออีกที ...  "วันนี้งานเสร็จเร็วกว่าที่คิดนะครับคุณเปลว คุณเปลวอยากจะไปที่ไหนอีกมั้ยครับ"                             อำพลถามขึ้นมา ขณะที่รถหรูนำเข้าสีดำสนิทกำลังเลี้ยวออกจากโรงแรมแห่งหนึ่ง ที่ถามก็เผื่อว่าเจ้านายจะอยากไปพักดื่มอะไรตามเลาจ์ของโรงแรมดัง ๆ ต่อ                                                                              ชายหนุ่มก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือ งานในวันนี้เสร็จเร็วอย่างที่อำพลได้ว่ามา หลังจากเสร็จสิ้นการนัดคุยงานกับซิปปิ้งรายหนึ่ง ที่คอยทำหน้าที่เป็นตัวแทนจากบริษัทนำเข้ารถยนต์หรู เพื่อดำเนินการในเรื่องศุลกากรแทนบริษัทของเจ้านายตน สำหรับ                                          ซิปปิ้งรายนี้ ก็คือไฮโซสาว ที่มีคุณพ่อเป็นนายตำรวจชื่อดัง แถมซิปปิ้งสาวรายนี้ก็มีสายสัมพันธ์อันดีกับเจ้านายเขา ก็เพราะเป็นสาวไฮโซเนื้อหอมซึ่งหลงรักเจ้านายของตัวเองอยู่ แต่สำคุณเปลวซึ่งลูกน้องทั้งสองคนนี้ได้ทราบดีกว่า หัวใจของเขาราวกับได้ถูกกระชากไปเมื่อหลายปีก่อนแล้ว ...                                                                                                                เสียงริงโทนมือถือในกระเป๋าเสื้อของอำพลดังขึ้น อีกฝ่ายรีบกดรับเพราะไม่อยากให้เสียงมันดังรบกวนภวังค์อันสงบสุขของเจ้านาย พลางกรอกเสียงตามไปว่า "ว่าไงลุงดม? อ้อ คนจากบริษัทรับตกแต่งภายใน มาขอดูบ้านหรือ อ้าว ครั้งที่แล้วก็เคยดูไปแล้วนี่ อ้อ ๆ งั้นก็ให้เข้าไปเลย..."     เปลวตะวันเบือนสายตามองไปยังอำพล ที่ซุกมือถือลงกับกระเป๋าเสื้อด้วยความคิดบางอย่าง ก่อนจะตัดสินใจขึ้นมาได้ทันทีว่า งานเสร็จไวแบบนี้เขาควรไปที่ไหนดี                                                                         "ไปบ้านที่ราชบุรี พล รุต"                                                              ทั้งสองหันมามองหน้ากันเล็กน้อย เพราะคิดว่าคุณเปลวของตนเกิดอยากจะไปบ้านที่ราชบุรีขึ้นมาทำไมเวลานี้ แม้จะสงสัย ก็ไม่ใช่สิ่งที่ตนควรถามออกมาหรือไปขัดขวางความต้องการนั้นได้ นิรุตมองกระจกมองหลัง ก่อนจะค่อย ๆ พารถหรูของเจ้านายเปลี่ยนเลนเพื่อจะพาพวกตนมุ่งหน้าไปยังจังหวัดราชบุรีโดยทันที   เปลวตะวันบอกตัวเองว่า ...ตนก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะมาที่นี่เหมือนกัน มันได้อยู่นอกเหนือแผนงานและแผนการเดินทางของวันนี้ทั้งหมด เพราะหลังจากอำพลกดวางสายมือถือไปแล้ว คำว่า 'บ้านพักต่างอากาศที่ราชบุรี' จึงลอยมากระทบเข้ากับศีรษะอย่างจัง ทำให้ตนรีบบอกคนสนิททั้งสองออกไปอย่างนั้น                                                                        และเหมือนว่า...เขาจะไม่ได้มาเหยียบที่นี่นานนับปีเลยทีเดียว ที่ผ่านมาก็ได้แต่อาศัยนิรุตเป็นผู้ติดตามความคืบหน้า การก่อสร้างบ้านพักต่างอากาศหลังนี้ให้ วันนี้ชายหนุ่มจึงอยากจะมาเห็นบ้านพักต่างอากาศที่เกือบจะสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ตรงหน้านี้สักครั้ง                                          บ้านไม้ที่สูงตระหง่านตรงหน้า ด้านหนึ่งติดกับคลองดำเนินสะดวก อากาศกำลังปลอดโปร่งสบาย ส่วนหนึ่งคงด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ได้นำมาปลูกใหม่นั้นกำลังให้ร่มเงาเต็มที่ จึงช่วยคลายความร้อนของอากาศยามบ่ายเช่นนี้ได้ดีด้วย           ความจริงจะบอกว่าบ้านหลังนี้เป็นหลังใหม่ก็คงจะไม่ถูกนัก ส่วนหนึ่งเขาได้รื้อไม้มาจากบ้านหลังเดิมของคุณปู่คุณย่ามาใช้ด้วย วางรูปแบบตัวบ้านให้เป็นบ้านไม้แบบไทยสมัยก่อน แต่ก็ขอให้มีความร่วมสมัยอยู่ด้วย และความจริงเขาเกือบจะได้ใช้บริการบ้านหลังนี้มาหลายเดือนก่อนแล้ว                                                                                          แต่ เพราะสถาปนิกตัวแสบนั่นทิ้งงานและเชิดเงินมัดจำก้อนสุดท้ายแล้วหนีหายเข้ากลีบเมฆไปเลย ทำให้กำหนดการที่จะใช้บ้านหลังนี้จัดงานสังสรรค์กับเพื่อนฝูงสักครั้งก็เป็นอันต้องล่าช้าอีก                         เปลวตะวันหันไปมองรถยนต์ฮอนด้าซีวิคสีขาวคันหนึ่ง ที่จอดซุกเอาไว้ในโรงรถ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่เป็นรถของคนจากบริษัทรับตกแต่งภายในแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งได้โทรขออนุญาตมาดูสถานที่จริงก่อนจะนัดส่งงานตัวอย่างในสัปดาห์หน้า เขาละสายตาจากรถสีขาวสะอาดตานั่น แล้วมองเข้าไปภายในบ้าน ก่อนจะสาวเท้าตามไปดูอย่างเงียบเชียบ    จากช่องระแนงไม้ที่สามารถมองเข้าไปภายในห้องโถงชั้นล่างของบ้าน เปลวตะวันเห็นด้านหลังของ หญิงสาวคนหนึ่งในเสื้อยืดกางเกงยีนส์เข้ารูป และสวมหมวกแก๊ปด้วย ตอนนี้เธอกำลังเงยหน้าสำรวจอะไรสักอย่างตรงห้องโถง และแล้วคิ้วเข้มของเขาขมวดเข้าด้วยกันเล็กน้อย …      เอ๊ะ! จำได้ว่า อำพลเคยบอกว่า มัณฑนากรที่มารับงานนี้เป็นผู้หญิงวัยราว ๆ สี่สิบปี ไม่ใช่หญิงในวัยสาวสะพรั่งรูปร่างดีอย่างนี้นี่! ตอนนี้นอกจากเธอก็กำลังเงยหน้าขึ้น สำรวจรอบ ๆ ห้องโถงใหญ่แล้ว เธอก็ยังก้มหน้าก้มตาวาดหรือจดอะไรสักอย่างลงบนไอแพดไปด้วย                 เปลวตะวัน พยายามลงฝีเท้ากับพื้นสนามหญ้าให้เงียบอย่างที่สุด พร้อมกับพยายามส่งสายตามองผ่านช่องจากระแนงไม้ตรงหน้า จึงเห็นลาง ๆ ว่าเธอเป็นคนสวย แม้จะมีหมวกแก๊ปปกปิดเสียงครึ่งหน้ายามเธอก้มจดอะไรสักอย่างลงบนไอแพด และเธอก็เป็นคนรูปร่างดี แต่ในข้อดีที่เธอมีอยู่นั้นทำให้เปลวตะวันต้องขมวดคิ้ว พร้อมกับตวัดมือหนาขึ้นมาลูบตรงคางที่เริ่มมีไรหนวดขึ้นไปด้วย ขณะนั้น หญิงสาวที่ก้มหน้าจดอะไรสักอย่างลงบนไอแพดแล้วได้หมุนตัวกลับมาอย่างช้า ๆ ดวงตาทั้งคู่ของเปลวตะวันเบิกกว้างขึ้นทันที           "คุณเปล..."                                                                                เปลวตะวันรีบก้มตัวลง พร้อมกับหันไปสะบัดมือส่งสัญญาณว่าให้คนสนิททั้งสองอย่าเพิ่งส่งเสีย และรีบหลบไปให้พ้น ๆ     ใบหน้าของเปลวตะวันมีความเครียดขึงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้อำพลและนิรุตที่รีบหลบเข้าพุ่มสนข้างรั้วระแวงระวังว่า ภายในบ้านจะมีโจรอยู่หรือไร เจ้านายจึงให้พวกตนพากันหลบไปให้หมด และด้วยสัญชาตญาณทำให้นิรุตรีบควานหาปืนสั้นที่พกติดตัวเอาไว้ทันที                ก่อนอำพลจะปรามด้วยการส่ายหน้า เพราะถ้าหากข้างในเป็นโจรจริง เจ้านายของพวกตนคงไม่เฝ้าติดตามสอดส่องสายตามองผ่านช่องแระแนงไม้ตรงหน้าอยู่อย่างนี้หรอก คงรีบให้พวกตนเข้าไปชาร์จตัวแล้ว…    ถ้าหากไม่ใช่โจร แล้วข้างในบ้านตรงส่วนห้องโถงใหญ่นั้นมีอะไร ...ทั้งอำพลและนิรุตสบตากันด้วยความแปลกใจสุดขีด!         
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD