5|สัมผัสที่โหยหา...

4883 Words
พิมพ์ลดาต้องรอจนกระทั่งเขาทานข้าวอิ่มเป็นที่เรียบร้อย จึงหวังว่าจะได้คุยเรื่องงานกับเขาให้เสร็จ ๆ แต่แล้วชายหนุ่มกลับบอกมาอย่างง่าย ๆ ว่า ชอบแบบที่เธอทำมานั้นแล้ว และให้ดำเนินการทุกอย่างตามใจเธอได้เลย                                                                ครั้นหลังจากกลับมาจากโรงแรมนั้นมา ความคิดและจิตใจของพิมพ์ลดาก็แตกกระสานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทางเสียหมด เนื่องจากปัญหาที่หนักอึ้งอยู่กับเรื่องทรัพย์สินของชายหนุ่ม ที่ได้สูญหายไปพร้อมกับเธอในคืนนั้น กว่าจะรวบรวมสติทั้งหมดให้กลับมาอยู่กับงานของลูกค้ารายใหม่ที่มีนัดกับเธอในวันพรุ่งนี้ได้ ก็ทำให้หญิงสาวนั่งตั้งสติอยู่อีกนานทีเดียว                                                                                                       ณ คอฟฟี่ช็อป กลางห้างสรรพสินหรู คือสถานที่ที่พิมพ์ลดาได้นัดคุยงานกับลูกค้าที่นี่ ซึ่งเธอได้ใช้เวลาร่วมหนึ่งชั่วโมงจนคุยและตกลงกันได้อย่างราบรื่น ครั้นเสร็จสิ้น อีกฝ่ายจึงขอตัวกลับไปก่อน ในขณะที่พิมพ์ลดาต้องนั่งสรุปงานตามแบบที่ลูกค้าต้องการอยู่ต่อไป  ขณะนั้นเองเก้าอี้ที่ลูกค้าของเธอเพิ่งลุกไป จู่ ๆ ก็มีร่างใครบางคนนั่งลงไปแทนที่ตรงนี้ ทำให้พิมพ์ลดาต้องเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอสี่เหลี่ยมผืนผ้า และเธอก็เห็นว่า ใครที่นั่งลงกับเก้าอี้ตัวนี้ หญิงสาวจึงออกอาการเหวอเพราะตกใจขึ้นมาทีเดียว "คุณ คุณเปลว!"                                                                         ชายหนุ่มขยับแว่นกันแดด ที่สวมพรางสายตาขึ้นลงเล็กน้อยเป็นการตอบรับว่าเป็นเขาเอง พิมพ์ลดาจึงเหลียวมองไปทั่วร้านแล้วก็หันกลับมาถามเขาว่า "คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?"                                        "สักพักแล้ว..."                                                                           "คะ!"                                                                                         "เมื่อกี้ ฉันนั่งอยู่ตรงมุมนั้น..." ตอบพลางชี้นิ้วไปยังมุมหนึ่งของร้านกาแฟด้วย    และคำตอบของเขา ก็ทำเอาพิมพ์ลดาเหวอขึ้นมาเป็นครั้งที่สอง "หมายความว่า...คุณ! คุณตามฉันมา!"    "เปล่า..." เปลวตะวันส่ายหน้าก่อนเล็กน้อย แล้วบอกต่ออีก "พอดีบริษัทมีจัดอีเว้นท์ขอบคุณลูกค้าอยู่ตรงโน้น ฉันเลยตามมาร่วมงานและกำลังจะกลับพอดี แต่ก็มาเห็นเธอคุยอยู่กับ...เสี่ยซ้ง"                          "คุณรู้จักเสี่ย?"                                                                "ลูกค้าที่โชว์รูม ที่มักไปจองรถให้บรรดาเมียของเขาอยู่บ่อย ๆ" ตอบแล้วพลางจ้องมองใบหน้างามตรงหน้า เพราะมีแว่นกันแดดปกปิด เธอเลยไม่รู้ว่ากำลังถูกเขาจ้องด้วยสายตาอย่างไม่ไว้วางใจ "เสี่ยซ้งมีเมียสี่คน แถมลูกอีกห้า ตอนเขาคุยอยู่กับเธอ ก็ดูมีท่าทางสนิทสนมกันดีนะ" "เขาเป็นลูกค้าฉันค่ะ! เสี่ยซ้งกำลังจะขยายสาขาภัตตาคารอาหารจีนเพิ่ม ฉันกำลังรับตกแต่งให้ ฉันจึงคุยกับเขาในฐานะลูกค้า ส่วนที่ว่าดูสนิทสนม เพราะเสี่ยซ้งเป็นคนอารมณ์ดีหรอกค่ะ..." พิมพ์ลดาตอบด้วยน้ำเสียงกระด้าง เนื่องจากจับคำพูดของเขาได้ว่า เขาได้พูดจาดูแคลนเธออยู่                                                                                                   "ทีฉันเป็นทั้งลูกค้า... แถมเคยเป็นคนแรก..."                                  "คุณเปลว!" เธอเรียกเขาแทบจะแยกเขี้ยวตามอีกด้วย เข้าใจว่าเขากำลังย้อนไปถึงเรื่องราวในคืนนั้นอีก  "ไม่มีอะไรอีกแล้วใช่มั้ยคะ!" หญิงสาวเริ่มเก็บข้าวของบนโต๊ะทำงานขึ้นมา พลางเหลือบตาขึ้นมามองเขาไปด้วยเล็กน้อย ด้วยรู้ว่า...ขืนยังนั่งทำงานต่อโดยมีเขามานั่งร่วมโต๊ะด้วย เธอไม่มีสมาธิทำงานต่อแน่          "ฉันขอตัวกลับก่อน พอดีตอนบ่ายฉันมีงานอีกค่ะ"                    "เดี๋ยวสิ ฉันก็กำลังจะไปด้วย..."                                                     เธอขณะผุดลุกขึ้นยืนแล้ว จึงรีบหันกลับมาถามทันที "คุณจะไปไหน?"                                    "ก็ ไปทำงานกับเธอ"                                                                        "ไป? ไปได้ยังไง..."                                                                       "คนที่ดูแลบ้านหลังนั้นได้โทรมารายงานว่า บริษัทของเธอให้คนงานนำอุปกรณ์ที่ใช้ตกแต่งบ้านเข้าไปรอแล้ว ตอนบ่ายเห็นบอกว่าเธอจะไปคุมงานด้วยตัวเองนี่ งั้นก็ดีเลย ฉันก็อยากไปดูบ้านหลังนั้นด้วย"       พิมพ์ลดาถอนหายใจแรง ๆ เขารู้แล้วว่างานที่เธอมีตอนบ่ายคืองานเข้าไปดูแลบ้านพักต่างอากาศของเขาที่ราชบุรี     "นะ...ไปรถฉัน" บอกเฉย ๆ ยังไม่พอ ยังชูกุญแจรถสปอร์ตคันงามของเขาขึ้นมาให้เธอดูอีก              "แต่ฉันขับรถมาที่นี่ค่ะ แล้วก็จะขับไปที่บ้านนั้นเอง"                         "ให้คนของฉันขับรถคันนั้นไปไว้ที่คอนโดฯเธอสิ แล้วพวกเขาค่อยเอากุญแจรถตามไปให้เธอที่นั่น"                      "คุณเปลว..." เธอเรียกเขาอย่างอ่อนใจ เห็น ๆ อยู่ว่าเขาไม่ลดละความพยายามที่จะให้เธอนั่งรถไปกับเขาจริง ๆ เลย                                         "ไปด้วยกันเถอะ เรามีเรื่องติดค้างกันอยู่นะ ...จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าใครเป็นขโมยของ เธอก็อย่าคิดที่จะหนีฉันไปไหนดีกว่า"    พิมพ์ลดาเหลียวมองไปรอบ ๆ กายด้วยหวั่นใจว่า เขาเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาขู่เพื่ออยากให้ใครได้ยินด้วยหรือไม่ และหญิงสาวจึงเห็นคนที่โต๊ะใกล้ ๆ กันเริ่มส่งสายตาแปลกประหลาดมาที่เธอ หญิงสาวจึงจำใจหันกลับมาตอบตกลงเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้  "ก็ได้ค่ะ!"        เฟอร์รารี่คันสีแดงสด รูปทรงเพรียวคันหนึ่งกำลังแล่นฉิวอยู่บนท้องถนนด้วยความเร็วสม่ำเสมอ ตั้งแต่หญิงสาวก้าวขึ้นมานั่งในรถที่มีราคาเหยียบสามสิบล้านคันนี้ พิมพ์ลดาก็ไม่ได้พูดจาอะไรกับเขาเลย  ชายหนุ่มก็ทำหน้าที่ขับรถได้อย่างดี เขาไม่ได้พูดเรื่องอะไรออกมาอีกเช่นกัน หรือไม่...ในหัวของเขากำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ด้วย ซึ่งเธอก็ไม่อาจรู้ได้ พิมพ์ลดาเผลอเหลือบมองชายหนุ่มที่กำลังทำหน้าที่ขับรถอยู่นั้นทันที         ตอนจะก้าวขึ้นมานั่ง เขาได้ถอดสูทเข้ารูปคลุมกับเบาะรถเอาไว้ เสื้อเชิ้ตโปโลแขนสั้นสีขาว ที่กำลังโชว์มัดกล้ามของต้นแขนจากการบังคับพวงมาลัยรถหรู วันนี้เขาใส่กางเกงยีนส์ทรงเข้ารูป ทำให้เธอเห็นว่า เขาเป็นชายหนุ่มที่ใส่กางเกงยีนส์แล้วดูมีเสน่ห์ขึ้นมาอีกสิบเท่า                         อีกอย่างพิมพ์ลดารู้ว่า รูปร่างของเขาก็ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมเมื่อห้าปีก่อนเลย ทั้ง ๆ ที่ผู้ชายที่มีอายุเพิ่มขึ้น มักจะมีปัญหาเรื่องพุงหรือไขมันส่วนเกินตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายตามมาทั้งนั้น อย่างเสี่ยซ้ง ลูกค้ารายที่เธอเพิ่งนั่งคุยด้วยภายในร้านกาแฟคนนั้น อายุก็คงจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา แต่ยังมีรูปร่างอ้วนท้วมมากกว่าเขาอีก                              "เมื่อวาน ทำไมถึงไม่บอกเรื่องที่บ้านเธอให้ฉันรู้ด้วย" ชายหนุ่มถามขึ้น จับสายตาเธอได้ว่าลอบชำเลืองเขาอยู่เป็นระยะ ๆ    ทำให้พิมพ์ลดาที่ใช้สายตาชำเลืองมองเขาอยู่ พลอยตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบหันมาถามเขาด้วยแววตาแปลกประหลาด "ทำไมล่ะคะ แล้วคุณรู้อะไรเกี่ยวกับที่บ้านของฉันมา..."                                             "ก็...เรื่องบ้านที่เคยล้มละลาย…" เปลวตะวันเอ่ยออกมาจนได้ แม้ทีแรกจะรู้สึกเกรงใจ เพราะการได้พูดถึงเรื่องความเป็นมาของหญิงสาวคงเหมือนการไปสะกิดความเจ็บปวดของเธอเข้าอีก                                                             และก็จริง ๆ ด้วย ...        พิมพ์ลดาหันกลับมามองคนที่กำลังขับรถอีกแวบ ก่อนจะหันหน้าหนีแล้วนั่งเงียบ สงสัยว่า เขารู้เกี่ยวกับเรื่องทางบ้านของเธอได้ยังไงกัน                                                                             "เธอคงสงสัยว่า ฉันรู้ได้ยังไง โอเค จะพูดให้ฟังก็ได้ว่า เมื่อวานตอนที่เธอกลับ ฉันให้ลูกน้องช่วยหาข้อมูลของเธอเพิ่ม จากชื่อและนามสกุล"                                                                                        เขาเฉลย ทำให้หญิงสาวผ่อนลมหายใจยาวทีเดียว เพราะความเป็นส่วนตัวถูกละลาบละล้วงเอาจนได้ แต่ก็นั่นแหละ เขามีสิทธิ์ที่จะสงสัยและอยากรู้เรื่องราวของเธอ ก็ในเมื่อเธอตกอยู่ในฐานะผู้ต้องสงสัยของเขานี่นา                                เปลวตะวันได้ย้อนความไปถึงเรื่องเมื่อวาน หลังจากหญิงสาวกลับ เขาก็เอาชื่อนามสุกลให้อำพลและนิรุตช่วยสืบประวัติหญิงสาว กระทั่งเช้านี้ทั้งสองได้กลับมารายงานเขาว่า                                             'เธอคือคุณหนูตกยากครับคุณเปลว บ้านช่องถือว่าร่ำรวยมีฐานะดีมาก่อน แล้วล้มละลายครับ' นิรุตเอ่ยเป็นคนแรก  'คุณพ่อและคุณแม่ของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่บางข่าวก็บอกว่าเป็นการฆ่าตัวตาย เพื่อหวังเงินประกันเอาไว้ให้ลูกสาวและลูกชายใช้' อำพลช่วยเสริมอีก                                                   'จากนั้นเธอก็ไม่ได้ใช้เงินประกันหรอก ทยอยใช้หนี้สิ้นบ้าง อีกส่วนก็ถูบรรดาญาติ ๆ มาปอกลอกไปบ้าง น่าสงสารเธอและน้องชายอยู่เหมือนกันนะครับ'                                                                           เปลวตะวันเลยรู้ว่าที่ผ่านมาหญิงสาวและน้องชายที่เป็นออทิสติกนั้นต้องมีชีวิตที่ยากเข็ญกันอย่างไร แถมต้องคอยต่อสู้กับบรรดาญาติ ๆ ผู้มีเขี้ยวเล็บแหลมคม ที่หวังเงินประกันชีวิตของบิดามารดาของเธอไปอีกด้วย                    "ที่ฉันไม่ได้เล่าให้คุณฟัง เพราะ..." พิมพ์ลดาเอ่ยขึ้นหลังจากนั่งเงียบเพื่อทำใจ                  "ทำไมไม่เรียกชื่อตัวเองเฉย ๆ อย่างเช่น องุ่น"                                   "ฉันเกลียดชื่อนั้นค่ะ!"                                                                        "ก็ได้ ๆ งั้นก็เรียกตัวเองว่าพิมพ์ ฉันจะได้ไม่ต้องเรียกเธอว่าองุ่นดีมั้ย" เขาพยายามต่อรอง พลางเหลือบมองใบหน้างามนั้นเป็นระยะ ๆ            แทนคำตอบคือการพ่นลมหายใจแรง ๆ จากปลายจมูกได้รูปของเธอ แล้วหญิงสาวจึงตอบคำถามของเขาก่อนหน้าว่า "พิมพ์ ไม่อยากให้คุณมองว่าใช้ความรันทดของตัวเองมาเป็นข้ออ้าง มาเรียกร้องให้ดูน่าสงสารในสายตาของคุณ ซึ่งถ้าพิมพ์พูดไป บางทีนอกจากคุณจะไม่เห็นใจก็อาจจะโดนดูถูกกลับมาอีก"                                                                 เปลวตะวันพยักหน้าขึ้นลง เธอพูดจามีเหตุผลดี แล้วจึงถามต่ออีกว่า "แล้วหลังจากเกิดเรื่องต่าง ๆ กับเธอ เธอเลยเลือกทางนั้น ฉันหมายถึงการเป็นสาวไซด์ไลน์"                                                                                   "ค่ะ" ตอบรับสั้น ๆ แต่ก็แฝงความขมขื่นอยู่ในน้ำเสียงไม่น้อย     "แล้ว เอ่อ หลังจาก เอ่อ เธอหนีฉันไป เธอได้ไปทำแบบนั้นกับใครที่ไหนอีกมั้ย" ข้อนี้เปลวตะวันจริงจังมาก ถามออกไปแล้วก็มาลุ้นคำตอบจากเธออย่างใจจดจ่อทีเดียว ทว่า   "ไม่ค่ะ!"                                                                                          เมื่อเธอตอบแบบสั้น ๆ แต่ดูหนักแน่น ก็ทำให้จิตใจของเขาโล่งสบายขึ้น                   ชายหนุ่มกระตุกยิ้มที่มุมปากอย่างพึงพอใจอีกเล็กน้อย จากนั้นจึงหันกลับมาเพ่งสมาธิอยู่กับการขับรถคันหรูต่ออย่างไม่รบกวนภวังค์อันสงบสุขของหญิงสาวอีก กระทั่งรถคันหรูนี้ถึงที่หมายปลายทาง...           บ้านพักต่างอากาศหลังนี้ ดูน่าอยู่ขึ้นมาอีกเป็นกอง เมื่อได้มัณฑนากรคนสวยมาเป็นผู้ดูแลตกแต่งให้           เปลวตะวันยืนคิดด้วยความครึ้มใจ จากการกอดอกมองหญิงสาวที่ยืนทำงานด้วยความเอาใจใส่ตรงหน้า ท่าทางของเธอดูทะมัดทะแมง เอาจริงเอาจัง ผมยาวถูกรวบไว้เผยใบหน้าเรียวได้รูป กับเสื้อซีฟองแขนสั้นพอดีตัวโทนสีพาสเทลอ่อนหวานเข้ากับกางเกงผ้าสีดำเข้ารูป เขาพยายามจะไม่เข้าไปวุ่นวายกับการทำงานของเธอให้มากนัก เพราะกลัวเป็นการรบกวนสมาธิของเธอ ขณะที่จัดแจงให้คนงานทำตามที่บอก                   แม้บอกตัวเองว่าจะไม่เข้าไปรบกวนหญิงสาว กระนั้นสายตาที่ร้อนแรงแผดเผา ไม่ต่างจากเปลวแดดร้อนแรงจากภายนอกของตัวอาคารที่คอยทอดมองไม่ว่าเธอจะทำอะไร ซึ่งทำให้คนถูกมองตลอดเวลาอย่างไม่คลาดคลารู้สึกร้อนรุ่มอยู่ภายในกาย...      พิมพ์ลดาจึงได้ขยับตัวอึดอัดอยู่บ่อยครั้ง และสายตาดูพร่าเลือนเป็นบางเวลา คล้ายเนื้อตัวจะไม่สบายขึ้น หรืออาจจะเป็นเพราะ...เธอเพิ่งโดนแอร์เย็นเฉียบมาจากรถหรูของเขา ครั้นมาถึงที่นี่ก็มาเจออากาศที่ร้อนจัดของช่วงยามบ่ายเอาก็เป็นได้ ไม่ได้เกี่ยวกับกระแสสายตาของเขาหรอก            แม้จะรู้สึกไม่สบายเนื้อตัวขึ้นมา แต่พิมพ์ลดาก็ฝืนทำงานจนเวลาทำงานภายในวันนี้เริ่มหมดไป หญิงสาวยืนรอให้ลูกน้องค่อย ๆ ทยอยกลับไปนั่นเอง จึงเดินมารับอากาศจากภายนอกตัวบ้านบ้าง เพราะตรงที่เธอยืนนี้ติดกับลำคลองดำเนินสะดวก มีต้นไม้ใหญ่แวดล้อม ด้วยหวังว่าจะใช้อากาศที่ปลอดโปร่ง มาช่วยผ่อนคลายเนื้อตที่ทำท่าจะจับไข้ขึ้นให้รู้สึกสบายขึ้นมาบ้าง             เสียงฝีเท้าที่เหยียบย่างเข้ามาใกล้ ทำให้หญิงสาวที่ยืนทอดอารมณ์ดูสายน้ำในลำคลองตรงหน้ารู้สึกตัว เธอขยับตัวไปมาเล็กน้อย พยายามไม่ให้เขารู้ว่าเธอกำลังโดนความไม่สบายเนื้อตัวเล่นงานอยู่               "ช่วงเดือนธันวา-มกรา อากาศที่นี่คงเย็นทีเดียว" เธอชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน ก่อนที่เขาจะขยับเท้าเข้ามาใกล้มากกว่านี้      "ก็หนาวใช้ได้เลย"                                                                        "พิมพ์ก็ว่า เพราะที่นี่ติดกับคลอง..." เธอเอ่ยเสียงเบาคล้ายพึมพำ ก่อนจะหันมาถามเขาต่อด้วยความสนใจ "คุณเป็นคนที่นี่หรือคะ" "เปล่า ฉันเกิดและโตที่กรุงเทพฯ เรียนที่นั่นพออายุเข้าวัยรุ่นคุณพ่อจึงส่งไปเรียนไฮสคูลที่เมืองนอกจนจบปริญญาโท แล้วจึงกลับมาช่วยที่บ้านทำงาน แต่งานที่บ้าน ฉันไม่ถนัดเลยออกมาเปิดบริษัทนำเข้ารถหรูเอง ...และตรงที่ที่เรายืนอยู่นี้ก็เป็นที่ดินของคุณปู่คุณย่า บ้านพักต่างอากาศหลังนี้ก็เป็นส่วนผสมของบ้านหลังเก่าของพวกท่าน​"                             พิมพ์ลดาหันมามองคนที่ตอบคำถามเสียยาวเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปสนใจกับคลองที่มีสายน้ำเอื่อยตามแรงลมตรงหน้าต่อ                      "หน้าเธอแดง... ไม่สบายหรือเปล่า" เพราะหญิงสาวหันหน้ากลับมา ทำให้เขาดูออกว่าใบหน้าเธอแดง ไม่ได้แดงเพราะปัดแก้มแน่นอน เหมือนแดงระเรื่อที่เกิดมาจากความผิดปกติภายในร่างกายเสียมากกว่า                                                                                          "เปล่า เปล่าค่ะ เรารีบกลับดีกว่า คือพิมพ์มีงานทำต่ออีกเยอะ" เธอรีบตัดบทและจะชวนเขากลับ ทว่า        "ทำงานตลอด ไม่พักบ้างหรือไง" เขารีบถามกลับอย่างเป็นห่วง    "ภาระ...ความรับผิดชอบของพิมพ์มีเยอะ โดยเฉพาะเรื่องน้องชายคนเดียวที่คุณก็รู้แล้วว่าเป็นเอ่อ... ทำให้พิมพ์ต้องทำงานหนักให้มากขึ้น"              "น้องเธอชื่ออะไร ไม่เห็นบอกกันบ้างเลย" เปลวตะวันพยายามถ่วงเวลาให้อยู่ตรงนี้กับหญิงสาวให้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็พยายามจดจ้องคนที่ปฏิเสธว่าตัวเองไม่สบายนั้นอย่างเป็นห่วง "เขาชื่อภัทรค่ะ"                    "ทำไมถึงได้ตัดสินใจส่งน้องไปเรียนไกลตา ดูท่าทางเธอก็รักเขามากออกปานนี้"                 พิมพ์ลดาถอนหายใจเล็กน้อย ตอบว่า "ตอนนั้น มีเรื่องเกิดขึ้นกับเรา"          "เล่าได้มั้ย ฉันอยากรู้บ้าง"                                                             สุ้มเสียงที่ดูเป็นห่วงขึ้น ทำให้พิมพ์ลดาตัดสินใจเล่าถึงจุดหักเหที่เธอต้องตัดสินใจส่งน้องชายไปเรียนไกลหูไกลตา   "ตอนนั้น พิมพ์ลำบากมาก ทั้งเรียน ทั้งทำงานและดูแลน้องไปด้วย อย่างที่คุณก็ทราบว่าเขาเป็นเด็กออทิสติกจึงไม่เหมือนกับเด็กคนอื่นในวัยเดียวกัน เขาไม่สามารถดูแลตัวเองได้ หลังเลิกเรียนพิมพ์ต้องรับของมาขายตามตลาดนัดต่าง ๆ กลางวันช่วงไหนที่ไม่มีเรียนก็จะรับแจกสินค้าตัวอย่าง แจกใบปลิวตามห้างสรรพสินค้าบ้าง จึงไม่สามารถดูแลเขาได้ด้วย พิมพ์เลยพาตัวน้องไปฝากกับคุณป้าคนหนึ่งที่ใจดีกับเราทั้งสองคนมาก แต่...ก็อย่างที่บอกว่าแกไม่เหมือนเด็กทั่วไป วันที่เกิดเรื่องนั้นพิมพ์กำลังทำงานอยู่ คุณป้าได้โทรมาบอกว่าน้องหายไป..."                               เธอหันมามองหน้าเขาแวบหนึ่งด้วยแววตาเศร้าสร้อย ก่อนจะหันกลับไปเล่าเรื่องราวในวันนั้นอีก  "พิมพ์แทบเป็นบ้า ตามหาน้องเหมือนคนใจแทบขาด ถามคุณป้าที่ดูแลน้องว่าเกิดอะไรขึ้น คุณป้าก็เล่าว่าภัทรเขาอยากได้อุปกรณ์วาดรูป แต่คุณป้าหามาให้ไม่ได้ เขาจึงอาละวาดหนัก แล้วคุณป้าก็พูดเสียงตะกุกตะกัก ไม่บอกว่าเพราะอะไรที่ทำให้ภัทรวิ่งเตลิดจนหายไป..."                            "แล้ว เธอเจอเขาภายในวันนั้นมั้ย?"                                               พิมพ์ลดาพยักหน้า "ค่ะ เพราะมีอยู่ที่หนึ่งเป็นที่ที่ภัทรเขาชอบไปมาก มักจะขอให้พิมพ์พาเขาไปเสมอ ๆ  เป็นสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง พิมพ์คิดว่าน้องน่าจะอยู่ที่นั่นเลยไปดู และแกก็อยู่ที่นั่นจริง ๆ ค่ะ แกชอบไปที่สวนสาธารณะไปนั่งดูพวกพี่ ๆ นักศึกษาที่มาสเก็ตรูปตรงนั้นบ่อย ๆ ภัทรท่าทางมีความสุขมากที่ได้เห็นคนวาดรูป ส่วนพิมพ์ก็ร้องไห้ออกมาทั้งโล่ง อก ทั้งสงสารน้อง และคิดว่า หากพิมพ์ตามหาน้องไม่เจอจะเป็นอย่างไร  เมื่อพิมพ์พาน้องกลับบ้าน พิมพ์ก็เจอรอยฟกซ้ำที่ต้นแขนเขาเหมือนโดนบีบด้วยความแรง ที่สำคัญพิมพ์เจอรอยที่ถูกตีด้วยไม้แขนเสื้อตรงแผ่นหลังของเขาค่ะ..." พิมพ์ลดารีบหันหน้าหนีไปเช็ดน้ำตาทันที แล้วเสียงเธอก็เลือนหายไป ...      เปลวตะวันจึงรีบขยับเท้าหมายจะเข้าไปปลอบประโลม แต่หญิงสาวก็ฝืนเล่าต่อ "พิมพ์จึงรู้ว่าคุณป้าคงตีที่ภัทรดื้อพูดไม่รู้เรื่อง เพราะเขาไม่เหมือนเด็กคนอื่นอยู่แล้ว แต่ พิมพ์ก็ไม่ได้โกรธคุณป้าหรอกค่ะ คิดว่าคุณป้าคงพยายามทำดีที่สุดแล้ว พิมพ์จะไปคาดหวังให้เขามาดูแลน้องอย่างดีที่สุดก็ไม่ได้ แค่เขาช่วยดูแลแค่นี้ก็ถือว่าเป็นบุญคุณอย่างมากแล้วค่ะ ตอนนั้นพิมพ์ยอมรับว่าลำบากมาก ไม่ได้ทำงานอย่างเต็มที่ เพราะต้องแบ่งเวลามาดูแลน้องที่บ้านอีก พิมพ์รู้ว่าเป็นเรื่องยากที่จะดูแลน้องชายคนเดียวพร้อมกับต้องทำอะไรอีกมากมาย ที่จะสามารถทำให้เราสองคนพี่น้องอยู่รอดได้..."                                                                         "เธอเลยต้องเลือก...ทำงานนั้น?" เปลวตะวันถามแทรก อย่างเข้าใจบริบทรอบกายของหญิงสาวในเวลานั้นได้ดีขึ้น                            "ค่ะ" พิมพ์ลดาพยักหน้าสำทับอีก "และสิ่งที่ทำให้พิมพ์เลือกทำงานนี้ในตอนนั้น ก็เพราะมีคนที่รู้จักได้แนะนำโรงเรียนที่สิงคโปร์ให้ พิมพ์เลยพาภัทรไปดูสถานที่ บรรยากาศ เห็นว่ามีความเหมาะสม แม้ค่าเทอม ค่าดูแลน้องจะแพง แต่เพื่อน้องชายคนเดียวพิมพ์ก็พร้อมที่จะกัดฟันสู้ทุกทาง"                                                                                              หญิงสาวสูดลมหายใจยาว ๆ ลึก ๆ พร้อมปาดน้ำตาที่พรั่งพรูสุดที่จะอดกลั้นต่อได้อีก ทำให้ชายหนุ่มที่ทอดมองเธออย่างสงสารด้วยรับรู้ว่าที่ผ่านมา เธอมีความพยายามที่จะดูแลน้องชายและตัวเองให้ดีที่สุดอย่างไรบ้าง    เปลวตะวันเผลอถอนใจน้อย ๆ รู้สึกสะท้อนใจ และเสียใจอยู่ลึก ๆ ที่เคยปรามาสว่าเธอเป็นแค่หญิงสาวใจแตก อยากมีของแบรนด์เนมใช้ มีชีวิตหรูหราเหมือนหญิงสาวสมัยใหม่ทั่วไป จึงยอมเอาตัวเข้าแลก... ทั้งที่ความเป็นจริง ชีวิตของคนเราล้วนมีหลากหลายด้าน หลายมุมมอง เขาจึงไม่ควรตัดสินใครไปในทางเดียวกันไปเสียหมด                                                ชายหนุ่มเดินตรงเข้าไปกอดร่างบางแนบอกเอาไว้ แม้ในตอนแรกพิมพ์ลดาจะแข็งขืนทัดทาน...            เขาจดจำวันแรกที่พบเธอได้ แม้พยายามจะแสดงออกมาซึ่งความกร้านโลก โดยการแต่งหน้าอย่างจัดจ้าน แต่นั่นก็คือความกร้านโลกแบบปลอม ๆ ที่เธอได้พยายามทำให้เขาเชื่อ ส่วนตรงหน้ายามนี้ ที่ยืนหันหน้าหนีเขาตลอด แถมแข็งขืนไม่ยอมโอนอ่อนกายมาสู่อ้อมกอดเขาโดยง่าย ก็คือการแสดงออกมาซึ่งความเข้มแข็งอย่างปลอม ๆ เช่นเดียวกัน              พิมพ์ลดาเปราะบางกว่าที่เขาเคยคิดเอาไว้มากนัก                              สุดท้าย เปลวตะวันก็สามารถดึงคนที่แข็งขืนไม่ยอมรับอ้อมกอดมาแนบอกจนได้ ก่อนจะวางมือหนาอันอบอุ่นลงกับศีรษะเธอพลางลูบเบา ๆ ตาม...                                                                                           พิมพ์ลดาเคยคิดเอาไว้ว่าจะไม่ร้องไห้ ไม่แสดงความอ่อนแอใด ๆ ออกมาให้ใครเห็นได้ง่าย ๆ อีกแล้ว...              แต่เมื่อมาเจอสัมผัส และอ้อมแขนแกร่งที่อบอุ่นจากร่างสูงตรงหน้า ก็ทำให้หญิงสาวยอมพ่ายแพ้ทันที เธอรอให้แน่ใจว่าได้ปล่อยน้ำตาทุกหยดไหลรินจนหยาดสุดท้ายแล้วจริง ๆ จึงจะเช็ดมันออกทีเดียว แต่..รอแล้วรอเล่า น้ำตาเจ้ากรรมกลับเอ่อนองออกมาอีกเรื่อย ๆ         ตลอดเวลาที่ผ่านมาพิมพ์ลดาต้องต่อสู้ ฝ่าฟันทำทุกอย่างเพื่อตัวเองและน้องชาย หลายครั้งที่รู้สึกอ่อนแออยากยอมแพ้ต่อทุกสิ่งแล้ว ทว่า ยามได้เหลียวกลับไปมองใบหน้าของน้องชายเพียงคนเดียวที่เธอต้องดูแล        พิมพ์ลดาก็ต้องคอยเก็บกด ความรู้สึกพ่ายแพ้นั้นลงสู่ก้นบึ้งของหัวใจ กดมันลงไปจนจมลึกที่สุด...มันจึงกลายมาเป็นความเก็บกดอัดอั้นขึ้นมาก็ได้ ครั้นได้มาเจอสัมผัสอันอบอุ่น ละมุนจากฝ่ามือแกร่งที่ลูบศีรษะเธอแผ่ว ๆ อยู่นี่ หญิงสาวจึงยอมให้ความอ่อนแอมันกลับมาเล่นงานอีกครั้ง                                                                                                     หรือนี่ คือสัมผัสที่เธอโหยหามาตลอด ใครสักคนที่พอจะเป็นพักพิงให้ในเธอยามที่อ่อนล้า ...                 เปลวตะวันใช้วงแขนแกร่งข้างหนึ่ง กอดรอบลำตัวบอบบางเอาไว้ เลื่อนฝ่ามือหนาที่อยู่ตรงศีรษะหญิงสาว ลงมาลูบขึ้นลงที่แผ่นหลังบาง ความเผลอไผลสงสาร ทำให้เขาจูบซับน้ำตาลงตรงผิวแก้มอ่อนที่มีคราบน้ำตาอาบเอ่ออยู่ ทว่า ยามได้สัมผัสผิวอ่อนแล้ว ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วเข้มเข้าไว้ด้วยกัน แล้วรีบดันตัวหญิงสาวที่น้ำตากำลังนองใบหน้างามนั้นออก จ้องมองเธอด้วยแววตาสงสัยระคนห่วงใยอย่างท่วมล้น                      "นี่...เธอไม่สบายจริง ๆ หรือพิมพ์" เพราะแก้มข้างที่เขาได้แตะริมฝีปากลงไปเมื่อครู่ มีไอร้อนผ่าวอย่างรุนแรงขึ้น    พิมพ์ลดาชักมั่นใจแล้วว่า เธอคงจับไข้จริง ๆ แล้ว แต่ก็ยังปฏิเสธพร้อมกับเช็ดน้ำตาว่า "เปล่าหรอกค่ะ พิมพ์สบายดี" และไม่ยอมสบสายตากับเขาเลย "...กลับกันเถอะค่ะ นี่ก็เย็นมากแล้ว"                                               เปลวตะวันทอดสายตามองหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง เห็นเธอพยายามซ่อนสิ่งผิดปกติแล้ว แต่ก็ไม่เซ้าซี้ ก่อนจะเป็นฝ่ายจับมือข้างนั้นของเธอให้เดินตรงไปยังรถสปอร์ตสีแดงของเขา พิมพ์ลดาเองก็นึกว่าเขาคงจะพาเธอกลับแล้วจริง ๆ ก็ยอมขึ้นรถกับเขาแต่โดยดี  ครั้นขึ้นรถ แผ่นหลังได้แตะสัมผัสกับเบาะนิ่ม ความอ่อนล้าเครียดเกร็งของร่างกายที่เธอได้ประสบอยู่ ก็เล่นงานให้หญิงสาวเผลอหลับลงไปเลย ไม่รู้สึกตัวแม้กระทั่งยามที่ชายหนุ่มตลบเสื้อสูทของเขาขึ้นมาห่มคลุมให้กับเนื้อตัวเธอเสียด้วยซ้ำ             จะรู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อ เหมือนรถที่วิ่งมาตลอดได้ถอยเข้ามาจอดตรงที่เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง    พิมพ์ลดาลืมตาขึ้นทันที จึงเห็นว่าบริเวณโดยรอบเป็นลานจอดรถ แต่ไม่ใช่ลานจอดรถที่คอนโดฯของเธอแน่ ๆ หญิงสาวดึงสูทที่คลุมตัวออก ผุดลุกขึ้น เหลียวมองไปทั่วด้วยความตกใจ                                            "ไม่... ไม่ นี่คุณจะทำอะไรคะ! แล้วที่นี่ที่ไหน ไม่ใช่คอนโดฯพิมพ์นี่"       "โรงพยาบาล..." เขาตอบเรียบ ๆ                                                    "คะ!"                                                                                        "ต้องให้หมอจับเธอแอดมิทสักคืน เธอตัวร้อนจี๋เลย...พิมพ์"                "ไม่ค่ะ พิมพ์ยังโอเค"                                                                  เธอยังแสดงความดื้อรั้น ทำให้เปลวตะวันต้องส่ายหน้า ก่อนขยับตัวยื่นหลังมือหนามาแตะลงตรงหน้าฝาก พลางบุ้ยปากเล็กน้อย แล้วบอกว่า "ร้อนระอุแบบนี้แถวบ้านฉันเรียกว่า...โคตรจะไม่โอเคเลย ขอโทษที่ใช้คำไม่สุภาพ แต่ฉันรู้สึกว่าตัวเธอร้อนขนาดนี้ขืนปล่อยเธอกลับไปนอนที่คอนโดฯ พรุ่งนี้เธอคงต้องนอนเดี๊ยงเป็นผักเน่าแน่ ...จะลงจากรถดี ๆ หรือจะให้ฉันอุ้มเข้าไปให้หมอตตรวจ หืม!"   พูดยืดยาวแล้วก็ตบท้ายด้วยการข่มขู่ หญิงสาวมองสบตากับเขาปริบ ๆ ด้วยแววตาดื้อรั้นอยู่  "ฉันรู้ว่าเธอห่วงงาน ห่วงเงินก้อนโตที่จะเอาไว้ใช้จ่าย แต่ถ้าเธอล้มป่วยลงมากกว่านี้ คิดดูสิพิมพ์ เธอจะเป็นอย่างไร น้องชายเธออีกล่ะ ฉันไม่ได้ห้ามเธอไม่ให้ทำงาน แต่เธอควรรู้จักผ่อนผันเวลาทำงานลงบ้าง เห็นฉันเป็นประธานบริษัทแบบนี้ แต่ฉันก็รู้จักจัดสรรเวลาชีวิต ทำงานส่วนหนึ่ง พักผ่อนส่วนหนึ่ง ตอนทำงานฉันทำเต็มที่ แต่ถ้าหลังเลิกงานเมื่อไหร่ จะไม่มีคำว่างานมาวุ่นวายอยู่ในหัวสมองฉันอีก ปาร์ตี้ เที่ยว ออกกำลัง คือสิ่งที่ฉันทำหลังเลิกงาน..."                                                                 "ก็ได้ ๆ พิมพ์จะยอมเข้าไปให้หมอตรวจ แต่..." เธอยกสองมือขึ้นมายอมแพ้ ไม่คาดคิดว่าบุรุษคนนี้จะใช้คำพูดอย่างยาวเฟื้อยเหมือนคนแก่ขี้บ่นเลย "...มีข้อแม้นะคะ"                                                               "หืม? ว่ามาสิ"                                                                                     "พิมพ์ขอแค่ตรวจ รับยา แล้วพิมพ์ขอกลับไปนอนพักที่คอนโดฯ ไม่ขอนอนโรงพยาบาลเด็ดขาด" เธอพยายามต่อรองเขา ทั้ง ๆ ที่ความจริงไม่ต้องก็ได้ ทว่า ความห่วงใยที่แฝงอาการคุกคามยามที่เธอป่วยไข้นี้ได้ทำให้พิมพ์ลดาเกรงใจเขาอยู่เหมือนกัน          เปลวตะวันครุ่นคิดสักเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยใบหน้าซ่อนรอยยิ้มกริ่มว่า "ก็ได้ ๆ แต่ฉันก็มีข้อแม้ให้เธอเหมือนกัน ถ้าหากเธอจะขอกลับไปนอนที่คอนโดฯ" และยังไม่ได้บอกด้วยว่าข้อแม้อะไร เขาเปิดประตูแล้วหันไปเร่งคนป่วยทันที                      "ไป ลงไปพบคุณหมอได้แล้ว"     ตั้งแต่ลงรถแล้วหายเข้าไปในตึกของโรงพยาบาล ก็ใช้เวลาร่วมชั่วโมงทีเดียว คนทั้งสองจึงได้เดินกลับมาที่รถคันเดิม คนป่วยเดินหน้ามุ่ย ขณะที่คนพามาหาหมอถือถุงยานำหน้า หน้าบึ้งแล้วบ่นงึมงำขณะเปิดประตูเพื่อกลับเข้ามานั่งภายในรถ             "อุณหภูมิจะแตะ 39 องศาอยู่แล้ว ยังบอกว่าโอเคอีก..." ว่าแล้วก็วางถุงยาตรงคอลโซลรถ                                   หญิงสาวถอนหายใจน้อย ๆ เพราะเขาบ่น กลับขึ้นมานั่งแล้วจึงคุยเรื่องค่าใช้จ่ายต่อ "เดี๋ยวค่ายา ค่าหาหมอเท่าไหร่ พิมพ์จะใช้คืนให้ค่ะ"         "ไม่ต้อง ถือว่าเป็นสวัสดิการของฉันก็แล้วกัน"                                  พิมพ์ลดาหันมามองเขา พร้อมกับขอบคุณ "ขอบคุณค่ะ" และเธอก็นึกเรื่องหนึ่งก่อนหน้านั้นได้แล้วว่า "แล้วข้อแม้ของคุณคืออะไรคะ"   "ข้อแม้ไหน?" เขาหันกลับขณะเริ่มสตาร์ทรถ                              "ก็ที่คุณบอกว่า ถ้าพิมพ์ไม่ยอมนอนโรงพยาบาลคุณก็มีข้อแม้..."        "อ้อ! ข้อแม้คืนนี้ ฉันจะอยู่เฝ้าไข้เธอที่คอนโดฯเอง"                           "คุณเปลว!"                                                                    "ทำไมล่ะ เธอป่วย ไม่สบาย แต่ไม่ยอมนอนพักโรงพยาบาลที่มีคุณหมอพยาบาลคอยดูแล กลับไปนอนซมที่คอนโดฯคนเดียวใครจะดูแล ถือว่า...นี่ก็เป็นสวัสดิการอีกอย่างจากฉันก็แล้ว เธอไม่สบายจากการทำงานให้ฉันนี่"                                       พิมพ์ลดาบอกกับตัวเองว่า ข้อแม้ของเขาออกจะฟังดูแปลก ๆ และเป็นสวัสดิการที่น่าเคลือบแคลงสงสัยอยู่ไม่น้อยทีเดียว แต่…     "คุณคงมีสวัสดิการดี ๆ แบบนี้กับพนักงานสาว ๆ อยู่บ่อย ๆ ล่ะสิคะ..." ถามแล้วก็รู้สึกตัวว่าพลั้งปาก พิมพ์ลดาจะกัดลิ้นห้ามตัวเองแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เหลือบมองไปทางเขานิดหนึ่ง เธอก็เห็น...                                  เปลวตะวันหันมาส่งยิ้มนุ่มนวลให้ พลางตอบกลับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนลงว่า "แค่เธอคนเดียวหรอก...พิมพ์"       พิมพ์ลดาสะบัดใบหน้าหนีทันใดด้วยดวงใจที่เต้นแรงขึ้น พลางนึกว่า ก่อนหน้าได้เธอยาลดไข้มาหนึ่งเข็ม ไข้จึงพอลดลงบ้างแล้ว แต่ที่ร้อนผ่าวขึ้นมาตามเนื้อตัวอีกนี่ ไม่น่าจะเกี่ยวกับไข้แล้วล่ะ!                                
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD