หลุดปาก

1244 Words
พายุมุ่งหน้าขับรถมายังคอนโดย่านธุนกิจที่พราวดาวพักอาศัยอยู่เนื่องจากเวลาที่แอบออกจากโรงพยาบาลเป็นช่วงเย็นของวันกว่าจะมาถึงจึงมืดค่ำแล้ว ทันทีที่ลงจากรถพายุก็เดินไปประตูฝั่งที่นีรชานั่งอยู่ "เดินไหวหรือเปล่า" ครั้นนีรชาจะอ้าปากตอบแต่ก็ดูจะช้าไปหลายขุมเพราะร่างบางของพราวดาวถูกเขาอุ้มออกมาจากรถซะก่อน "ฉันเดินเองได้น่าไม่ต้องอุ้มหรอก" ยอมรับว่าอัตราการเต้นหัวใจผิดจังหวะไปบ้างแต่ด้วยนิสัยใจคอของเจ้าของร่างกายที่ชอบดื้อรั้นกับเพื่อนชายคนนี้นีรชาเลยจำเป็นต้องเล่นไปตามบท "คนซุ่มซ่ามแถมยังขี้สำออยอย่างเธอฉันพนันเลยว่าเธอเดินไม่ถึงสามก้าวหรอกได้นั่งก้นจ้ำเบ้าแน่" ว่าจบร่างสูงก็อุ้มคนที่เขาคิดว่าเป็นเพื่อนสาวคนสนิทอ้อมมาด้านหลังคอนโดโดยไม่คิดจะฟังคำคัดค้านหรือสนใจสีหน้าที่เริ่มไม่พอใจ ทางเข้าที่พายุใช้อยู่เป็นประตูลับมีลิฟท์ขึ้นไปได้ทุกชั้นแต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นพวกดาราไม่ก็คนดังที่ไม่อยากให้ใครยุ่งเรื่องส่วนตัวถึงจะรู้จักทางลับนี้หรือพูดง่ายๆก็คือเวลาพาใครขึ้นคอนโดแล้วไม่อยากเป็นข่าวนั่นเอง เช่นเดียวกับพายุ เขาเข้าใจสถานการณ์ของพราวดาวในเวลานี้ดีหรือเรียกว่าดีกว่าคนอื่นยังได้แม้เขาจะไม่ใช่คนในแวดวงบันเทิงหรือคนโด่งดังอะไรแต่หลายคนก็รู้จักเขาในฐานะเพื่อนสนิทของพราวดาวและนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงอย่างเหนือเมฆ หากมีคนมาเห็นว่าเขาแอบย่องพาดาราสาวขึ้นคอนโดส่วนตัวในยามวิกาลเช่นนี้หลังจากที่พึ่งมีข่าวฉาวไม่กี่วันมันคงจะไม่เป็นผลดีสักเท่าไหร่ “นี่นายจะพาฉันไปไหน” เนื่องจากประตูด้านหลังปลอดคนค่อนไปทางวังเวงนีรชาจึงเอ่ยด้วยความระแวง คุณหมอพายุในนิยายที่แม่นักเขียนวางคาแรคเตอร์ไว้นั้นทั้งสุภาพบุรุษทั้งอ่อนโยนแต่เท่าที่สัมผัสตัวเป็นๆเหมือนจะตรงกันข้ามทุกอย่าง แต่ประเด็นมันอยู่ที่ในนิยายที่แต่งนีรชาไม่เคยพูดถึงเรื่องพวกนี้ “ฉันว่าเธอคงจะสมองเสื่อมจริงๆแล้วล่ะ” ถ้าไม่ใช่เพราะหาเรื่องชวนทะเลาะพราวดาวคงจะความจำเสื่อมกระมังถึงได้เอาแต่พูดจาเลอะเทอะไม่หยุด ใช่ว่าครั้งแรกซะเมื่อไหร่ที่พายุใช้เส้นทางนี้แอบขึ้นไปส่งพราวดาวบนห้องทว่าจังหวะที่นีรชากำลังจะอ้าปากเถียงประตูลิฟท์ก็เปิดออก เจ้าของร่างสูงก้าวขายาวๆเพียงไม่กี่ก้าวก็มาหยุดอยู่หน้าห้องๆหนึ่ง “คีย์การ์ดล่ะ อ่อ ไม่ต้อง” ยังไม่ทันที่นีรชาจะได้ล้วงหาคีย์การ์ดในกระเป๋าพายุก็กดรหัสเข้าห้องด้วยความคล่องแคล่วราวกับเป็นห้องของตัวเองแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้นีรชาแปลกใจเพราะเรื่องเข้าถึงความเป็นส่วนตัวระหว่างพระรองกับนางร้ายเธอเป็นคนเขียนเรื่องพวกนี้ขึ้นมาเอง ร่างบางระหงของพราวดาวถูกพายุพาเข้ามาในห้องนอนที่อยู่อีกห้องหนึ่ง คอนโดแห่งนี้กินพื้นที่ถึงห้าสิบตารางเมตร ห้องครัวและห้องนั่งเล่นแยกกันอย่างเป็นสัดส่วน ก้นงอนงามสัมผัสกับโซฟานุ่มก่อนที่ไฟสีนวลภายในห้องส่องสว่าง พายุเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้วต่อให้เขาหลับตาเดินก็รู้ว่าอะไรวางอยู่ตรงไหน “ยาล่ะอย่าบอกนะว่าเธอไม่ได้เอามา” เมื่อมองเห็นแค่กระเป๋าแอร์เมสราคาแพงใบเดียวคุณหมอพายุจึงไม่ได้รอฟังคำตอบ “อยู่ที่พี่เนตร” นีรชาตอบไปตามความจริง “แล้วทำไมป่านนี้ผู้จัดการส่วนตัวเธอยังมาไม่ถึงอีก” บวกลบคูณหารเวลาคร่าวๆต่อให้การจราจรจะติดยังไงเนตรนภาก็ควรจะมาถึงได้แล้วพายุจึงถามอย่างนึกตำหนิ “นั่นน่ะสิแต่ไม่เป็นไรหรอกฉันอยู่คนเดียวได้นายกลับไปเถอะ” นีรชาปัดมือไล่ ถ้าตอนนี้เธอนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์คงจะเขียนให้พายุยอมกลับไปง่ายๆตามวิสัยของตัวละครทว่า...อีกฝ่ายกลับตอบมาว่า “แล้วเธอจะไปอาบน้ำยังไง” เขาเป็นคุณหมอประจำตัวมีเหรอที่จะไม่รู้ว่าขาของพราวดาวยังไม่หายดีถึงขั้นจะช่วยเหลือตัวเองได้และยิ่งเป็นห้องน้ำที่มีพื้นที่กว้างขวางเกินกว่าประโยชน์ใช้สอยและด้วยนิสัยชอบซุ่มซ่ามเลยทำให้เขาอดเป็นห่วงเพื่อนสาวไม่ได้ “รอพี่เนตรมาค่อยอาบ” “แล้วถ้าผู้จัดการส่วนตัวเธอมาช้าหรือไม่มาล่ะ” “ฉันก็จะนอนมันทั้งอย่างนี้แหละ” ด้วยความที่ติดนิสัยชอบนอนก่อนค่อยว่าของตัวเองมานีรชาเลยตอบโดยที่ไม่ทันได้คิดแต่เธอก็พลาดที่ดันพูดประโยคนี้กับคุณหมอผู้รักความสะอาดจนลามไปถึงคนรอบข้าง “ยัยดาราจอมซกมกเอ้ย” ทันทีที่เสียงค่อนไปทางดุจบลงร่างบางระหงก็ถูกอุ้มขึ้นในท่าอุ้มเจ้าสาวอีกครั้ง นีรชาตกใจรีบเอามือไปคล้องคอพายุเอาไว้ตามสัญชาตญาณ “ท่ะ...ทำอะไร” แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดการณ์อะไรอยู่แต่นีรชาก็คาดไม่ถึงว่าพายุในมิติที่เธอหลุดเข้ามาจะสนิทชิดเชื้อกับนางร้ายของเธอจนถึงขั้นอุ้มพาไปอาบน้ำอย่างหน้าตาเฉย ไม่ใช่บทที่เธอวางไว้แน่ๆ “ก็พาเธอไปอาบน้ำไงถามได้” หากแต่คำตอบที่หลุดออกมาจากปากของเจ้าของแขนกำยำมันดูไร้อารมณ์จนน่าหมั่นไส้แม่นักเขียนเลยอยากตะกุยหน้าพระรองของตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด “ฉันรู้ว่าฉันสวยแต่อย่าแม้แต่จะคิด” ถ้าตอนนี้คนถูกอุ้มเป็นพราวดาวดาราดาวร้ายที่หลงตัวเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็คงจะพูดประโยคนี้ออกมาคนอาศัยร่างจึงสวมบทบาทได้อย่างแนบเนียน “เธอนั่นแหละหยุดคิดอะไรบ้าๆได้แล้วคนอย่างฉันยอมอยู่เป็นโสดดีกว่ามีแฟนเป็นดาราขี้วีนอย่างเธอ” พายุวางคนหลงตัวเองลงพื้นด้วยสีหน้ามั่นใจในตัวเอง มันมีคนอยู่ประเภทหนึ่งที่ต่อให้เพื่อนจะหน้าตาดีขนาดไหนก็ไม่คิดจะเอามาเป็นแฟนเฉกเช่นพายุกับพราวดาว ความสนิทสนมที่มีให้กันตั้งแต่วัยเด็กเป็นสาเหตุทำให้เขาไม่มีทางคิดอะไรเกินเลย อีกอย่างผู้หญิงในอุดมคติของพายุก็ไม่ใช่ผู้หญิงขี้วีนแถมยังชอบเอาแต่ใจอย่างพราวดาวแน่ๆ “เพราะนายถูกกำหนดมาให้ไม่มีคู่มากกว่าเหอะ” ประโยคนี้ออกมาจากก้นบึ้งความคิดของนีรชามากกว่าจะเป็นนิสัยนางร้ายในนิยายของเธอเพราะถ้าหากเป็นพราวดาวคงจะพูดด้วยความมั่นอกมั่นใจว่า“นายก็ไม่ใช่สเปคของฉันเหมือนกันย่ะ” “หมายความว่าไง” ดวงตาสีรัตติกาลจ้องอย่างขอคำตอบ สมองระดับคุณหมอแถวหน้าโรงพยาบาลชื่อดังมีเหรอที่จะปล่อยให้ความสังสัยของตัวเองผ่านไปง่ายๆ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD