7.2 ตะเกียกตะกาย

1898 Words
“เอาเถิด” นางถอนหายใจ ก่อนจะเอาศอกกระทุ้งแขนจอมยุทธ์หนุ่มเบาๆ “หากเจ้ายอมเรียกว่าข้า ‘พี่สาวมู่’ ข้าอาจใจกว้าง ยอมช่วยเหลือเจ้าสักคราหนึ่ง” เดิมทีใบหน้าของหลวนเจี้ยนเสียนซีดเซียว ทว่าพอได้ยินน้ำเสียงยียวนของสตรีตัวเล็กกว่าเขาสองช่วงศีรษะก็ส่งผลให้ใบหน้าเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมา “ดี! วิเศษนัก!” ชายหนุ่มขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เพราะยามนี้กำลังป่วยอยู่จึงต้องพึ่งพาเด็กสาวที่ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม “หือ” นางเอียงคอใส่ “ข้ายังไม่ได้ยินเลย” หลวนเจี้ยนเสียนแยกเขี้ยวใส่ “ฝันไปเถิด!” “อ้อ” มู่เฟยเหลียนพยักหน้าทีหนึ่ง นัยน์ตาหม่นหมองราวกับคนกำลังเศร้าโศกเสียใจ “น่าเสียดายนัก คนเรามิอาจคาดเดาอนาคต แต่การได้รู้จักเจ้าก็ทำให้การเดินทางข้ามมายังดินแดนโพ้นทะเลไม่น่าเบื่อ หากชาติหน้ามีจริง...” “นายท่าน!” เด็กสาวยกมือกอดอกส่ายหน้า “ข้าว่าฟังแล้วมันดุดันเกินไปหน่อย ข้ายังเป็นสาวน้อยอ่อนเยาว์ไร้เดียงสา...” “นายหญิง!” หลวนเจี้ยนเสียนรีบแก้ไขเสียใหม่ ให้ตายอย่างไรก็ไม่มีวันยอมเรียกเด็กผู้นี้ว่า ‘พี่สาว’ ในที่สุดนางก็ฉีกยิ้มกว้าง พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ตกลงตามนั้น” มู่เฟยเหลียนกล่าวจบก็เดินไปช่วยชายหนุ่มเก็บของยัดใส่ห่อผ้าอย่างอารมณ์ดี ปล่อยให้เจ้าของห้องมองตามแผ่นหลังบางพลางกัดฟันกรอด เด็กสาวอายุเพียงแค่นี้ก็เข้าขั้นรับมือยากแล้ว ต่อไปภายภาคหน้าคงมิแคล้วเติบโตเป็นหญิงสาวที่ร้ายกาจเป็นแน่ “ข้าขอยืมชุดเจ้าหน่อย” “ไยต้องยืมชุดข้าด้วย” “ท่านแม่เคยบอกข้าว่า บางครั้งสตรีที่ถูกจับไปเป็นเชลยศึกจะถูกนำไปกระทำเรื่องต่ำทราม” “นั่นมันก็จริง แต่...” หลวนเจี้ยนเสียนมองอีกฝ่ายตั้งแต่ศีรษะจดเท้า นอกจากใบหน้าอ่อนหวานน่ารักแล้ว ทรวดทรงสรีระของนางมิอาจพูดได้ว่าเข้าข่าย “เจ้าวางใจเถิด อย่างเจ้าน่ะไม่มีทางเป็นอันตรายแน่” มู่เฟยเหลียนกะพริบตาสองครั้ง พอเริ่มเข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายความว่าอย่างไร ผู้ที่ถูกปรามาศเรื่องรูปลักษณ์ก็รู้สึกราวกับถูกตบหน้าฉาดใหญ่ “บังอาจ!” ทายาทสกุลมู่โกรธจนตัวสั่น นางเป็นเพียงเด็กสาวที่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่น การมีรูปร่างเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา หลังจากนี้ยังมีเวลาที่จะเติบโตอีกมาก! “หลวนเจี้ยนเสียน แล้วข้าจะรอดูว่าสตรีแบบไหนที่เจ้าจะตกลงปลงใจด้วย!” นางกล่าวเสร็จก็โยนห่อผ้าใส่ตัวชายหนุ่ม ไม่เสียเวลารอเขาเปลี่ยนชุดก็คว้าคอเสื้อเขาด้วยมือขวา ส่วนมือซ้ายถือกระบี่ของอีกฝ่ายมุ่งหน้าออกจากห้อง เนื่องจากโถงทางเดินค่อนข้างแคบ การเดินเหินของทั้งสองซึ่งหอบสิ่งของจึงเป็นไปอย่างทุลักทุเล มู่เฟยเหลียนชะงักฝีเท้าเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องโวยวายจากด้านนอก ปึง! เรือสำเภาทั้งลำสั่นไหวอย่างรุนแรง ราวกับปะทะเข้ากับโขดหินขนาดใหญ่ ดวงตากวางของเด็กสาวเบิกกว้าง เดิมทีตั้งใจจะวิ่งออกไปดาดฟ้าเรือเพื่อดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอก ทว่าสัญชาตญาณก็ร้องเตือนว่าอย่าทำเช่นนั้น “อ๊าก!” เสียงกรีดร้องโหยหวนเบาหวิวจนแทบถูกทับด้วยเสียงคลื่น ร่างกายของมู่เฟยเหลียนเย็นเฉียบราวกับน้ำแข็ง ภาพเบื้องหน้าพร่ามัวไปชั่วขณะ ‘ตายแล้ว... ใช่หรือไม่’ แม้นางจะเคยติดตามบิดาไปค่ายทหาร แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้ไปสมรภูมิรบ ดังนั้นนอกจากผู้ป่วยที่สิ้นใจจากโรงหมอของมารดา มู่เฟยเหลียนก็ไม่เคยเห็นคนตาย... โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข่นฆ่าซึ่งกันและกัน ตุบ! ตุบ! ต่อให้ไม่เห็นภาพ มู่เฟยเหลียนก็สามารถจินตนาการเห็นภาพของสิ่งที่ล้มตึงลงบนพื้นเหนือศีรษะ เป็นร่างของผู้ที่ถูกฟัน... หรือว่าเป็นศีรษะที่ตัดขาดออกจากคอ ชีพจรของนางเต้นแรงขึ้นจนแทบกระเด็นหลุดออกจากอก “เรือลำนี้คงถูกทหารยึดแล้ว...” เสียงกระซิบของหลวนเจี้ยนเสียนดังขึ้นจากด้านหลัง “หากออกไปก็เท่ากับรนหาที่ตาย” เวลานั้นเองที่เด็กสาวได้สติกลับคืนมา “แล้วจะทำอย่างไร” เรือพายที่ไว้สำหรับหลบหนีผูกติดอยู่กับเรือด้านนอก หากไม่ออกไปที่ดาดฟ้าเรือก็คงไปไม่ถึงแน่ “ไม่รู้เหมือนกัน” ในสถานการณ์ตึงเครียดเช่นนี้ การที่หลวนเจี้ยนเสียนรักษาน้ำเสียงไว้ได้ทำให้นางหงุดหงิด แต่ในขณะเดียวกันก็คิดว่าหากไม่มีเขาอยู่ด้วย ป่านนี้นางคงเสียสติไปแล้ว “ค้นเรือลำนี้ให้หมดทุกซอกทุกมุม! อย่าให้เหลือรอดไปได้แม้แต่คนเดียว!” เสียงทุ้มห้าวตะโกนมาจากทางด้านบน ฝีเท้าผู้คนไม่ทราบจำนวนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มู่เฟยเหลียนไม่มีเวลาให้คิดมากนัก ความหวังที่คนด้านนอกจะมีชีวิตอยู่แทบไม่มีเหลือ หากเผชิญหน้ากับทหารที่บุกมายามนี้ นางก็คงถูกปลิดลมหายใจตามพวกเขาไปด้วยอีกคน “ทางนี้!” เด็กสาวกระซิบบอกบุรุษข้างตัว จากนั้นก็ออกแรงดึง พาอีกฝ่ายวิ่งไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับบันไดทางออกซึ่งจะพาไปยังดาดฟ้าเรือ หลวนเจี้ยนเสียนแทบไม่มีเรี่ยวแรงจะเดิน ทว่าแรงจูงจากสตรีร่างเล็กเบื้องหน้าก็ทำให้เขาสามารถก้าวเท้าเดินต่อ น่าแปลกเหลือเกินที่เด็กสาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะสามารถมอบพลังและกำลังใจให้เขาได้อย่างมากมายมหาศาล ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานแต่ได้มีโอกาสมาร่วมเป็นร่วมตาย นี่คงเป็นสิ่งที่สวรรค์เบื้องบนกำหนดมากระมัง ปัง! มู่เฟยเหลียนปิดประตูเรียบร้อยก็หันกลับมามองบุรุษที่นางลากมาด้วยกัน ครั้นเห็นว่าอีกฝ่ายเหงื่อแตกและหอบหายใจแรง นางก็หยิบเม็ดยาจากตลัดเดิมส่งให้เขา “อดทนอีกหน่อยเถิด” น้ำเสียงของผู้กล่าวนุ่มนวลขึ้นอีกหลายส่วน จอมยุทธ์หนุ่มพยักหน้าพลางกลืนเม็ดยาลงไปอย่างไม่อิดออด นางพยุงร่างอีกฝ่ายให้นั่งลงข้างประตู จากนั้นก็กวาดตาสำรวจห้องเก็บของซึ่งมีแสงจากด้านนอกเล็ดลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาเพียงสลัวๆ ในห้องแห่งนี้มีลังไม้วางเรียงรายไว้เป็นแถว ดูก็รู้ว่าเป็นการจัดเรียงที่เกิดขึ้นอย่างพิถีพิถัน ต่างจากห้องเก็บสุราและน้ำในห้องอื่นๆ ก่อนหน้านี้มู่เฟยเหลียนไม่เคยมีโอกาสได้สำรวจสิ่งที่อยู่ภายใน นางไม่รอช้ากวาดตามองไปรอบๆ ครั้นเจอเหล็กท่อนหนึ่งถูกทิ้งไว้บนพื้นก็เอามางัดถังไม้จนเปิดออก สิ่งที่อยู่ในถังไม้... คือประทัดที่เอาไว้จุดเฉลิมฉลองเทศกาลวันปีใหม่ เด็กสาวซึ่งกำลังหาทางหนีทีไล่ชะงักเมื่อความคิดหนึ่งแล่นขึ้นมาในหัว หากนางสามารถจุดไฟที่นี่ได้ ประทัดก็จะระเบิด ในระหว่างที่เปลวเพลิงลุกลามคงสร้างความแตกตื่นตกใจให้แก่ทหารที่บุกรุกมาได้ชั่วเวลาหนึ่ง เนื่องจากก่อนหน้านี้มู่เฟยเหลียนมักจะเดินสำรวจเรือสำเภาลำนี้ทุกซอกทุกมุม นางจึงค่อนข้างมั่นใจว่าตำแหน่งห้องเก็บของแห่งนี้ใกล้กับจุดที่มีเรือพายผูกติดอยู่มากที่สุด ‘หากอาศัยช่วงชุลมุน... เปิดหน้าต่างหลบหนีออกไปละก็...’ มู่เฟยเหลียนเดินไปเปิดบานหน้าต่างแล้วยื่นหน้าออกไปสำรวจเพื่อความแน่ใจ ครั้นเห็นเรือพายลำน้อยมีเชือกผูกติดอยู่ไม่ไกล ดวงตากวางก็ทอประกายแห่งความหวังขึ้นมา แต่ถ้าใช้วิธีนี้ พวกนางอาจถูกแรงระเบิดอัดจนสลบ หรือแย่กว่านั้นอวัยวะบางส่วนอาจกระเด็นหลุดออกจากตัว แล้วสิ้นใจทันที หากยอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้ก็คงต้องตายอยู่ดี ‘มันต้องมีสิ... ทางออกที่ดีกว่า’ ผู้คิดกำตลับยาแน่น ใบหน้าของบิดามารดาและคนในครอบครัววาดผ่านห้วงคำนึง ก่อนที่ความคิดหนึ่งจะผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “หลวนเจี้ยนเสียน” ชายหนุ่มหรี่ตามองผู้เรียก สังหรณ์ใจว่ามู่เฟยเหลียนคงกำลังคิดเรื่องแปลกพิสดารอยู่เป็นแน่ “อะไร” “เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่” “เชื่อใจที่ว่า หมายถึงระดับใดน่ะหรือ” “ข้ากำลังจริงจังอยู่นะ” นางหันมามองเขา แหงนหน้าสบตาด้วยแววตาเคร่งเครียด “หากผิดพลาดเพียงนิดเดียว พวกเราอาจตายเลยก็ได้” “เจ้าหาวิธีหนีได้แล้วหรือ” “อือ” มู่เฟยเหลียนพยักหน้า “แต่ข้าไม่ค่อยมั่นใจ” “ต่อให้ล้มเหลว ถึงอย่างไรเราก็ตายเหมือนเดิมอยู่ดี” สิ่งที่ชายหนุ่มตอบนั้นตรงกับสิ่งที่นางคิด แต่ก็น่าน้อยใจนิดๆ ที่เขาไม่มีคำพูดปลอบประโลมที่น่าฟังกว่านี้ “ข้าต้องการไฟ” นางกล่าว ชีพจรของหลวนเจี้ยนเสียนเริ่มคืนกลับสู่ปกติเมื่อได้กินยา เขากวาดตามองไปรอบๆ ส่วนมู่เฟยเหลียนเริ่มเดินคุ้ยหาสิ่งที่พอจะมาจุดไฟได้ ในขณะที่พวกนางกำลังทำงานแข่งกับเวลา เสียงฝีเท้ามากมายก็ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ประตูห้องต่างๆ ถูกพังทำลายเพื่อหาตัวคน เสียงกรีดร้องและกลิ่นคาวโลหิตเริ่มเข้มข้น จนมือของมู่เฟยเหลียนเริ่มสั่น ทันใดนั้นเอง เสียงทุ้มห้าวของหลวนเจี้ยนเสียนก็ดังขึ้นมา “เจอแล้ว!” เสียงของชายหนุ่มราวกับพระโพธิสัตว์เมตตา เทพเซียนจากสวรรค์ลงมาโปรด ครั้นได้เห็นสิ่งที่อีกฝ่ายชี้ สีหน้าเคร่งเครียดของเด็กสาวก็แปรเปลี่ยนไปทันที ตลับไม้สีดำซึ่งมารดามอบไว้ให้ก่อนออกเดินทางบรรจุยาสลบ เม็ดยาด้านในมีลักษณะเป็นทรงกรวยคล้ายกำยาน ครั้นเด็กสาวโยนมันเข้าไปในตะเกียงเจ้าพายุ เขม่าควันสีขาวก็ลอยคลุ้งออกมาทันที เหอซิงเคยพูดไว้ว่าหากนำมาลนไฟ ยาชนิดนี้จะทำให้ผู้ที่สูดดมหมดสติไปประมาณสองถึงสามชั่วยาม มู่เฟยเหลียนไม่เคยสงสัยในความสามารถทางการปรุงยาของมารดา เพียงแต่ในระหว่างที่รอให้ยาออกฤทธิ์ นางอาจต้องปะทะกับทหารซึ่งมีอาวุธครบมือเสียก่อน ปกป้องตัวเองยังพอว่า แต่ครานี้นางต้องปกป้องหลวนเจี้ยนเสียนด้วย เด็กสาวสบตาจอมยุทธ์หนุ่มซึ่งนางให้ซ่อนตัวอยู่ตรงถังไม้แล้วเอาผ้าคลุมปิดมิดชิด ส่วนตนเองนั่งยองๆ อยู่ที่มุมห้องซึ่งเป็นจุดอับสายตาจากตรงประตู กระชับดาบใหญ่แน่นอย่างเตรียมพร้อม ทั้งนางและเขาต่างผูกผ้าปิดปากและจมูกไว้เพื่อระวังไม่ให้ตนเองสูดดมควันยาสลบเข้าไป และแล้วการรอคอยอันแสนสั้นก็สิ้นสุดลง... ผัวะ! บานประตูห้องเก็บของที่พวกนางซ่อนตัวอยู่ถูกถีบออกอย่างแรง เงาร่างของทหารกว่าสิบนายซึ่งยืนอออยู่ด้านนอกส่งผลให้มู่เฟยเหลียนกลืนน้ำลายเฮือก คำพูดของหลวนเจี้ยนเสียนที่กล่าวกับนางก่อนหน้านี้ยังคงชัดเจนในความทรงจำ “หากถึงคราวคับขัน เจ้าจะสามารถหวดดาบเล่มนี้เพื่อฆ่าคนได้จริงๆ หรือมู่เฟยเหลียน”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD