เจ็ด
ตะเกียกตะกาย
ณ ป้อมทิศตะวันออก ท่าเรือต้าไห่
ดวงตะวันสีแดงก่ำผุดขึ้นจากเส้นขอบฟ้าสะท้อนลงบนผืนน้ำกว้างใหญ่ สายลมจากทิศบูรพาพัดผ่าน ธงสีเหลืองและแดงซึ่งผูกไว้บนเสาเรือโบกพลิ้ว กลิ่นเค็มของทะเลกับกลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งไปทั่วอาณาบริเวณ
การเปิดศึกทางน้ำกับกองทัพแคว้นเกาและแคว้นจื้อโหยวเมื่อคืนที่ผ่านมาผ่านพ้นไปอย่างดุเดือด การซุ่มโจมตีเกิดขึ้นยามวิกาล กองทัพแคว้นฝูจึงได้รับความเสียหายค่อนข้างมาก
มิหนำซ้ำในเวลาเดียวกันยังมีกองทัพไร้นามเข้ามาผสมโรงด้วย การโจมตีที่ผสมผสานกับข้าศึก ก็ทำให้พวกเขาทราบได้ทันทีว่ากองทัพนี้ไม่ใช่โจรสลัดที่มาเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ แต่มีเจตนาเพื่อบุกโจมตีท่าเรือแห่งนี้ร่วมกับอีกสองแคว้นอย่างออกนอกหน้าเลยต่างหาก
แคว้นฝูตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจากศึกแรกอย่างเห็นได้ชัด ทว่าผ่านไปสองชั่วยาม สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปอีกครา เมื่อแคว้นหยางแบ่งกองทัพเรือส่วนหนึ่งกระจายอ้อมไปรอบนอก แล้วพุ่งเข้าโจมตีจากด้านหลัง
กองทัพที่รักษาท่าเรือกับนอกอ่าวบุกโจมตีสองทิศทาง กองทัพแคว้นเกากับจื้อโหยวถูกบีบไว้ตรงกลาง กว่าจะบุกฝ่าออกจากวงล้อมไปได้ก็เสียเรือไปห้าลำ ส่วนฝ่ายพันธมิตรแคว้นฝูกับแคว้นหยางเสียเรือไปทั้งหมดสองลำ เสียหายหนักไปอีกหนึ่งลำ
“ฝ่าบาท”
เสียงเรียกแผ่วเบาที่ได้ยินจากไกลๆ ส่งผลให้ชายหนุ่มเจ้าของร่างสูงโปร่งซึ่งผล็อยหลับไปทั้งที่ยังนั่งดูแผนที่ชายฝั่งท่าเรือเมืองต้าไห่รู้สึกตัว
เนื่องจากกองทัพจากแคว้นหยางเร่งรุดมาที่นี่โดยแทบไม่ได้พักผ่อนจึงอ่อนล้าไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับการฝึกฝนร่างกายมาเพื่อเผชิญกับความยากลำบากอย่างยาวนานติดต่อกัน
หยางหวู่เอามือลูบหน้าเพื่อปรับสีหน้าของตนเอง เสร็จแล้วค่อยผละมือออกแล้วเบือนหน้าไปสบตาหม่าจิวหู
“อย่าเรียกว่าฝ่าบาท”
โอรสสวรรค์เสด็จมาร่วมกองทัพโดยไม่เปิดเผยฐานะที่แท้จริง ในสายตาผู้อื่น แม้กระทั่งคนในกองทัพแคว้นหยาง พระองค์ก็มีตำแหน่งเป็นเพียงที่ปรึกษาคนหนึ่งในกองทัพเท่านั้น
“พ่ะ... ขอรับ” แม่ทัพหนุ่มขมวดคิ้วตอบอย่างระมัดระวัง
“เจ้ามีเรื่องอันใด” หยางหวู่ถามเสียงเรียบ
“เรือสำเภาซึ่งอยู่ไกลจากท่าเรือประมาณยี่สิบลี้ หลังตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นเพียงเรือเดินทางสัญจร ผู้ที่โดยสารอยู่บนเรือส่วนใหญ่เป็นพ่อค้า จำนวนคนรวมๆ แล้วไม่ถึงสี่สิบคนขอรับ” หม่าจิวหูเริ่มรายงาน “และระหว่างที่พวกเรากำลังตรวจสอบน่านน้ำ ก็พบเห็นเรือไม่ทราบสังกัดลำหนึ่งหลบอยู่หลังเนินผาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จึงเข้าโจมตีและรวบจับตัวไว้ได้ จำนวนคนบนเรือมีประมาณสองร้อยคน กำลังอยู่ในขั้นตอนไต่สวนพ่ะ... ขอรับ”
หยางหวู่หยัดกายยืนขึ้น เดินไปหยิบเสื้อคลุมสีทึมขึ้นสวม แต่งกายอย่างเรียบง่าย แต่ก็มิอาจปกปิดบุคลิกอันสง่างามและน่าเกรงขามซึ่งมีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด
“นักโทษถูกไต่สวนอยู่ที่ใด”
“เนื่องจากพวกเราเกรงว่าบนเรืออาจมีกลไกบางอย่างซุกซ่อนอยู่ พวกเราจึงแยกคนเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกย้ายนักโทษไปไต่สวนบนเรือรบแคว้นฝูที่ประจำอยู่ใกล้ที่สุด ส่วนอีกกลุ่มตรวจสอบเรือโดยไม่นำเข้าเทียบท่า แคว้นฝูเองก็ได้แบ่งกำลังคนเพื่อร่วมทำงานกับทางเราทั้งสองหน่วย”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ “ข้าจะไปดูเสียหน่อย”
“แล้วเรือสำเภาลำนั้นจะให้จัดการเช่นไรดีขอรับ” หม่าจิวหูถามพลางเดินตามแผ่นหลังของผู้เป็นนาย
หยางหวู่หยุดเดินแล้วหันกลับมามองเขา “พวกเราไม่มีเวลามากพอที่จะไปสนใจกับเรือสำเภาลำเล็กๆ เพียงลำเดียว กำลังคนของเรามีจำกัด คงไม่มีเวลาไปตรวจสอบอย่างละเอียดอยู่ดี หากบนเรือลำนั้นซุกซ่อนอาวุธหรือกลไกของศัตรูไว้ เราจะตกอยู่ในสถานการณ์เสียเปรียบ”
“ความหมายของท่านคือ...?”
“ฆ่าคนทิ้งให้หมด แล้วจมมันเสีย” นัยน์ตาของผู้ออกคำสั่งไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ
ต่อให้ชีวิตของทุกคนบนเรือจะเป็นผู้บริสุทธิ์ ทว่าเขาซึ่งรับผิดชอบชีวิตคนนับหมื่นมิอาจเสี่ยงกับกองไฟเล็กๆ ได้ สู้กำจัดทิ้งเสียตั้งแต่ตอนนี้ ดีกว่าต้องมาเสียใจภายหลัง
“ขอรับ!” หม่าจิวหูประสานมือรับคำสั่ง ก่อนที่ร่างใหญ่กำยำจะเดินตามหลังหยางหวู่ออกไปด้านนอก
เนื่องจากศึกที่เมืองต้าไห่มีท่านชายฝูเหิงเป็นเจ้าเมืองคอยดูแล หลังหยางหวู่ออกมาจากห้องพร้อมกับแม่ทัพหม่า ก็ปะเข้ากับชายหนุ่มวัยสามสิบปีซึ่งมีบุคลิกอ่อนนุ่มดูไร้พิษสง ทว่าเล่ห์เหลี่ยมการค้าร้ายกาจจนเป็นที่เลื่องลือ จึงสามารถคุมเมืองท่าซึ่งเป็นตัวสร้างเม็ดเงินสำคัญให้แคว้นฝูมาได้หลายปี
“ใต้เท้าลิ่ว” ฝูเหิงประสานมือคำนับหยางหวู่อย่างให้เกียรติ เนื่องจากเขาทราบสถานะที่แท้จริงของอีกฝ่าย
“ท่านเจ้าเมืองฝู” หยางหวู่พยักหน้ารับรู้
“ใต้เท้าจะเดินทางไปที่ใดหรือขอรับ”
“ไปตรวจสอบท่าเรือ”
ฝูเหิงยกยิ้มมุมปาก “บังเอิญยิ่งนัก ข้าเองก็กำลังจะมุ่งหน้าไปที่นั่นพอดี”
หยางหวู่หรี่ตามองอีกฝ่าย ในเมื่อท่านเจ้าเมืองกล่าววาจาประจบเอาใจเช่นนี้ ชายหนุ่มจึงส่งเสียงหึออกมาคำหนึ่งก็เดินนำไปโดยไม่พูดอันใดต่อ
หม่าจิวหูหรี่ตามองฝูเหิงอย่างพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเร่งรุดไปอารักขาผู้เป็นนาย ปล่อยให้อีกฝ่ายมองตามด้วยรอยยิ้มบางเบา แววตาอ่านยากมิอาจคาดเดา
เดิมทีแคว้นหยางกับแคว้นฝูมิได้เป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันมาตั้งแต่แรก ที่แคว้นหยางส่งคนมาช่วยเหลือก็เพื่อรักษาผลประโยชน์ในภายภาคหน้า แต่ก็ไม่มีผู้ใดคาดเดาได้ว่าจะเป็นเช่นนั้นไปได้อีกนานเพียงใด
หยางหวู่เหลือบตามองฝูเหิงซึ่งยืนอยู่ไกลๆ เมื่อได้ระยะห่างพอสมควรค่อยกระซิบคุยกับแม่ทัพผู้ภักดี
“เรื่องที่ให้ไปสืบมาเป็นอย่างไรบ้าง”
ผู้ถูกถามขมวดคิ้วอย่างลำบากใจ “ยังไม่เจอขอรับ”
สีหน้าของโอรสสวรรค์อึมครึม “รีบสืบหาต่อโดยเร็วที่สุด”
“ขอรับ”
...ใต้หล้าแห่งนี้ ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวร ในเมื่อบนโลกแห่งนี้ไม่มีผู้ใดที่หยางหวู่ไว้ใจได้อีก เขาจึงเลือกที่จะไว้ใจเพียงแค่ตนเองเท่านั้น
สถานการณ์บริเวณท่าเรือเป็นไปอย่างตึงเครียด ด้านเรือสำเภาซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งเองก็มีบรรยากาศที่ไม่ต่างกันเท่าไรนัก
มู่เฟยเหลียนวิ่งกลับมายังห้องของตนเองแล้วรวบเอาสิ่งของสำคัญใส่ห่อผ้า หันไปหยิบดาบเล่มใหญ่ที่บิดามอบให้ผูกสะพายขึ้นหลัง
ในเมื่อซูหลีเลือกที่จะทิ้งทุกสิ่งไปเช่นนี้ ผลที่จะได้จากการรั้งอยู่ต่อก็คือความตายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น อดีตท่านหญิงน้อยเพิ่งมีโอกาสได้ลิ้มรสอิสรภาพแค่ไม่กี่วัน ดังนั้นนางจะไม่มีวันยอมแพ้ให้แก่ชะตากรรมนี้เป็นอันขาด!
นางชวนลูกเรือให้หนีไปด้วยกัน ทว่าพวกเขากลับตอบอย่างหนักแน่นว่าจะรอซูหลีอยู่ที่นี่ ความศรัทธาและความเชื่อมั่นที่พวกเขามีต่อลูกพี่ของตน มู่เฟยเหลียนคิดแล้วได้แต่ยกมือปาดหยาดน้ำที่ไหลออกมาจากหางตาของตนเอง
สิ่งที่มารดากล่าวกับนางไว้นั้นถูกต้อง คนในยุทธภพมีหลากหลายรูปแบบ มีทั้งผู้คนที่น่ายกย่องและผู้คนที่น่ารังเกียจ
ด้วยความมุ่งมั่นของลูกเรือเหล่านั้น ต่อให้นางพยายามอ้อนวอนให้พวกเขาหนีไปด้วยกันอย่างไรก็คงไม่ได้ผล
“รีบไปหาหลวนเจี้ยนเสียนดีกว่า” เด็กสาวกล่าวเสร็จก็รีบวิ่งออกไปเคาะประตูห้องข้างๆ
“หลวนเจี้ยนเสียน!” นางตะโกนเรียกอย่างร้อนรนเมื่อไม่ได้รับการขานรับจากด้านใน “หลวนเจี้ยนเสียน! เจ้าตายแล้วหรือ!”
แอด...
มู่เฟยเหลียนชะงักเมื่อบานประตูที่นางกำลังทุบอยู่ถูกแง้มเปิดออก เสี้ยวหน้าของคนด้านในย่ำแย่ ทว่ายังคงเป็นร่างที่มีลมหายใจอยู่
“ข้าจะตายก็เพราะเสียงร้องเรียกของเจ้านี่แหละ” จอมยุทธ์หนุ่มกล่าวอย่างอ่อนแรง “ข้าป่วยอยู่นะ ใจคอจะไม่ให้นอนหลับพักผ่อนบ้างหรืออย่างไร”
“หากเจ้าเลือกที่จะนอนก็คงได้นอนยาวจริงๆ หลับแบบไม่ตื่นอีกตลอดกาลเลยดีไหม”
ถ้อยคำประชดประชัน พร้อมกับการแต่งกายแบบเต็มยศ สะพายห่อผ้าและอาวุธของเด็กสาว ส่งผลให้หลวนเจี้ยนเสียนขมวดคิ้ว
“เกิดอะไรขึ้น”
ผู้ถูกถามถอนหายใจ “ข้าคิดว่าอีกไม่นาน เรือรบที่อยู่ด้านนอกคงมาจมเรือสำเภาลำนี้แน่ กระทั่งท่านลุงซูซึ่งเป็นเจ้าของเรือแท้ๆ ยังตัดช่องน้อยแต่พอตัว ชิงหนีไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว”
คำอธิบายจากมู่เฟยเหลียน ส่งผลให้ชายหนุ่มชะงัก ยืนอึ้งอยู่พักหนึ่งก็รีบเปิดประตูให้นางเข้ามา
“ข้าจะเปลี่ยนชุด เจ้าช่วยข้าเก็บของหน่อยสิ”
มู่เฟยเหลียนขมวดคิ้วก่อนตอบกลับไป “ข้ามิใช่คนใช้เจ้าสักหน่อย”
อีกฝ่ายส่งเสียงหัวเราะหึๆ “แม่นางน้อย เกรงว่าถ้าไม่ช่วยกัน เราอาจตายด้วยกันทั้งคู่ อีกอย่าง... เจ้าเองก็คิดว่าหนีไปคนเดียวใช่ว่าจะรอด มิเช่นนั้นจะมาหาข้าทำไม”
เด็กสาวกะพริบตาถี่ อ้าปากค้างอย่างอับจนด้วยคำพูด “เจ้า...เจ้ามันไม่รู้จักบุญคุณคน!”
นางมาหาก็เพราะเป็นห่วงเขา ไม่ได้คิดเรื่องว่าหนีไปคนเดียวจะรอดหรือไม่รอดเสียหน่อย!
“มิใช่ว่าข้ากำลังตอบแทนเจ้าอยู่หรอกหรือ” ผู้ป่วยที่หน้าซีดราวกับไก่ต้มหัวเราะไปไอไป “ยามนี้เราอยู่ในฐานะที่ต้องพึงพากันและกันจึงจะถูก”
“แน่ใจ?” มู่เฟยเหลียนรวบรวมกำลังภายในเพียงหนึ่งส่วนไว้ที่ฝ่ามือ พอซัดไปที่ไหล่อีกฝ่ายหนึ่งที ร่างสูงกำยำของหลวนเจี้ยนเสียนก็ล้มตึงลงไปบนเตียงนอน
โดนเพียงเท่านี้ยังทรงตัวไว้ไม่ได้ แล้วยังมีหน้ามามั่นใจว่านางจะพึ่งพาเขาได้อีกหรือ!
โกหกทั้งเพ คิดจะใช้วิธีนี้หลอกให้นางช่วยชีวิตเขาหรือ! ฮึ! จ้างให้ยังถือว่าเร็วไปเป็นร้อยปี
ไม่รู้หรือว่านาง มู่เฟยเหลียน มีลุงเป็นปีศาจจิ้งจอกเก้าหางแสนเจ้าเล่ห์!
ใบหน้าน่ารักงอง้ำอย่างไม่พอใจ ถึงคราวคับขันเช่นนี้ หลวนเจี้ยนเสียนยังคิดโกหกนางอยู่อีก ขืนนางปักใจเชื่อเขาคงมีหวังได้พากันไปตายทั้งคู่จริงดังว่า