4.2 พลัดถิ่น

2363 Words
สำหรับมนุษย์ทั่วไป การเข้านอกออกในวังหลวงย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าสำหรับผู้บุกรุกซึ่งเป็นปีศาจ การทะยานผ่านกำแพงสูงสามผิง[1] นั้นราวกับเดินทอดน่องผ่านทุ่งหญ้าที่มีบุปผาบานสะพรั่ง เดิมทีการตามหาร่องรอยของอมนุษย์ถือเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ทว่าทหารลาดตระเวนบริเวณนั้นก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนของสตรี ภายหลังจึงมีโอกาสได้แจ้งแก่ทหารกับท่านอ๋องมู่ว่าปีศาจที่ลักพาตัวเด็กสาวหลบหนีไปทางประตูทิศใต้ “ช่วยเหลียนเอ๋อร์ด้วย! ท่านแม่! ท่านพ่อ! ข้ากลัว!” “ห่างมาไกลมากแล้ว พวกเขาไม่ได้ยินหรอก” สิ้นเสียงนุ่มทุ้มของปีศาจจิ้งจอก ร่างที่แต่เดิมดิ้นรนก็หยุดนิ่งราวกับสั่งได้ มู่เฟยเหลียนถอนหายใจออกมายาวเหยียด “เจ็บคอจัง” นางพูดเสร็จก็ไม่วายไอแค็กๆ ให้ดูเป็นหลักฐาน ชักสีหน้าน่าสงสารเข้าใส่อย่างเจ้ามารยา ทั้งที่ตนเองมีหน้าที่แค่ตะโกนอย่างเดียว ที่เหลือเป็นผู้อื่นต่างหากที่เหน็ดเหนื่อย หรงเสี่ยหรี่ตามองคนพูด ร่างกายเปล่งแสงสว่างจ้าก่อนจะจางหายไป ร่างของบุรุษผมสีเงินแปรเปลี่ยนกลายเป็นจิ้งจอกหิมะสีขาวตัวใหญ่ พุ่งทะยานออกจากเมืองหลวงโดยมีมู่เฟยเหลียนเกาะอยู่บนหลัง “เกาะให้แน่นๆ ล่ะ” เสียงกังวานไพเราะดังแข่งกับเสียงสายลมยามค่ำคืน “อื้อ!” ครั้นได้ยินเสียงขานรับ จิ้งจอกสีขาวบริสุทธิ์ก็ดีดกายทะยานขึ้นไปบนอากาศ ชาวเมืองที่อยู่เบื้องล่างต่างกำลังสนุกสนานกับงานเทศกาล แสงจากประทัดและโคมแดงที่ห้อยระยาทำให้ดูมีสีสัน ครอบครัว คู่รักเดินจูงมือกันทั่วท้องถนน เป็นบรรยากาศที่สวยงามและอบอุ่น มู่เฟยเหลียนมองภาพเหล่านั้นด้วยแววตาหม่นหมอง ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีโอกาสได้มาเดินเล่นในงานเทศกาลร่วมกับครอบครัวอีกหรือไม่ “ลังเลหรือ” เด็กสาวนิ่วหน้าเมื่ออีกฝ่ายพูดจาแทงใจดำ “ข้าไม่ลังเล แค่อาลัยอาวรณ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น...” หรงเสี่ยหัวเราะในลำคอ วิ่งกระโดดสลับไปมาบนหลังคาบ้านเรือน “ดูท่าว่าคงไม่เล็กน้อยกระมัง” สีหน้าของผู้ฟังเซื่องซึม ทว่าผ่านไปเพียงพริบตาเดียว แววตาก็เปลี่ยนกลับมาเป็นมุ่งมั่นแน่วแน่ “แต่ข้าไม่เคยเสียใจที่ตัดสินใจเช่นนี้” ในเมื่อตัดสินใจลงมือทำ ก็ต้องทำให้แนบเนียน เรื่องนี้เกี่ยวพันกับจวนอ๋องมู่ มู่เฟยเหลียนย่อมมิอาจกระทำอย่างขอไปทีได้ หากนางถูกปีศาจลักพาตัวไปต่อหน้าผู้คน ราชสำนักย่อมมิอาจเอาผิดต่อจวนอ๋องมู่ ขณะเดียวกันก็ถือเป็นการสั่นคลอนอำนาจของหวงผู๋อี๋เพื่อมิให้กำเริบเสิบสานจนเกินไป แผนการในครั้งนี้ เหอซิงเป็นผู้เสนอ เพราะนับตั้งแต่ฮ่องเต้องค์ใหม่ได้อำนาจ ก็มักกระทำเรื่องผิดศีลธรรมจนน่าระอา แม้งานนี้อำนาจภายในราชสำนักของจวนอ๋องมู่จะลดลงไปด้วย มู่หลิ่งเหวินซึ่งไม่ยึดติดกับลาภยศก็มิได้เดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด ตราบใดที่เขามีกำลังทหารเพื่อรักษาความสงบของชายแดนไว้ได้ เรื่องราวภายในวังวนอำนาจลึกลับซับซ้อน ผู้คนที่เกี่ยวข้องย่อมมีจุดประสงค์ของตนเอง หินหล่นก้อนเดียวย่อมกระทบทั้งผืนน้ำ ผู้ที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้ย่อมมีมากมายมหาศาล มู่หลิ่งเหวินกับเหอซิงอุทิศตนเพื่อผู้อื่นมามาก ครานี้พวกเขาจึงขอเห็นแก่ตัวสักครั้ง และใช้แผนการนี้มอบอิสรภาพให้แก่บุตรสาวอันเป็นที่รัก การเคลื่อนไหวของหรงเสี่ยรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ ภาพวิวเมืองที่อยู่ด้านล่างแปรเปลี่ยนเป็นป่ากว้าง แสดงให้เห็นว่าพวกนางออกจากอาณาเขตกำแพงเมืองหลวง ครั้นถึงชายป่าทางตอนใต้ สัตว์ร่างใหญ่ก็ชะลอความเร็วจนหยุดลงตรงลำธาร มู่เฟยเหลียนกระโดดลงมายืนบนผืนหญ้า ปล่อยให้หรงเสี่ยดื่มน้ำและพักผ่อนให้เต็มที่ นี่คือสถานที่ที่นางนัดหมายกับบิดามารดา แต่ถ้ามีสิ่งใดผิดพลาด พวกนางจะรอที่นี่เพียงแค่ครึ่งชั่วยาม จากนั้นก็จะมุ่งหน้าเดินทางไกลอีกหลายร้อยลี้ “ทักษะการตบตาผู้อื่นของข้าล้ำเลิศมากใช่หรือไม่” เด็กสาวหย่อนกายนั่งลงข้างๆ เอามือจุ่มน้ำในลำธารเล่น “ผิดแล้วท่านลุงหรงเสี่ย หากเทียบกันดูแล้ว ข้ามั่นใจว่าเหนือกว่าท่านอยู่ขั้นหนึ่ง” “ที่ไหนกัน” หรงเสี่ยสะบัดพวงหางแตะหลังคนข่มอย่างหยอกเย้า “ข้าเห็นนะว่าเจ้าหลุดยิ้ม” “ไม่มีสักหน่อย ท่านตาฝาดแล้ว!” “ตอนที่ข้าอุ้มเจ้า” “ตอนนั้นข้าไม่ได้ยิ้ม ข้าแค่คันปากเท่านั้น!” ปีศาจจิ้งจอกเก้าหางหัวเราะหึๆ “ตอนข้าสู้กับบุรุษหน้าเหม็นแซ่มู่ เจ้าลืมพูดตามบท ต้องให้ข้าหันไปทางทหาร เจ้าจึงจะเรียกให้พวกเขามาช่วย” คราวนี้ผู้ที่ถูกจี้ตรงจุดส่งเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างขัดใจ “ก็ได้ ข้ายอมรับ” มู่เฟยเหลียนวักน้ำใส่อีกฝ่ายแล้วพูดแก้ไขให้ถูกต้อง “ที่ข้าพูดว่าเหนือกว่าท่านขั้นหนึ่งมันเกินไป ข้าเหนือกว่าท่านเพียงครึ่งขั้นต่างหาก” หรงเสี่ยกระโดดหลบน้ำพลางขมวดคิ้วใส่ “แบบนี้ไม่ถูกกระมัง” “ท่านลุงหรงเสี่ย หากท่านไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใคร ข้าสัญญาว่าจะย่างปลาให้ท่านกินเยอะๆ เลย” “เด็กเจ้าเล่ห์” เขารีบเอาหน้าทรงยาวมาถูไถแก้มของเด็กสาว “สมแล้วที่ข้าเลี้ยงมาเองกับมือ” “ใครเลี้ยงใครมาเองกับมือ หืม หรงเสี่ย” เสียงหวานอันคุ้นเคยของใครบางคน ส่งผลให้ทั้งสองหันขวับไปมองด้านหลัง ครั้นเห็นร่างบางในอาภรณ์ชุดเดิมที่สวมในงานเลี้ยงก็คลี่ยิ้มกว้าง “ซิงเอ๋อร์ของข้า” พวงหางทั้งเก้าของผู้ถูกเรียกสะบัดพันกันไปมา ชวนให้รู้สึกตาลาย เหอซิงคลี่ยิ้มหวาน ทว่าเงาตะคุ่มซึ่งอยู่ด้านหลังกลับแผ่ไอสังหารออกมา “ไม่ใช่ของเจ้า” ปีศาจจิ้งจอกแปลงกายกลับมาเป็นมนุษย์ผมสีเงินสลวย เขม่นมองบิดาของมู่เฟยเหลียนอย่างหงุดหงิด “แมลงน่ารำคาญ” มู่เฟยเหลียนเห็นท่าไม่ดี รีบตรงเข้าไปเกาะแขนบิดาเพื่อห้ามทัพ ส่วนเหอซิงยกมือเท้าสะเอว มองหรงเสี่ยที่ชอบเย้าแหย่สามีของนางอย่างตำหนิ “พวกเรามีเวลาไม่มาก มีสิ่งใดอยากพูดก็รีบพูดเถิด” “จริงสิท่านพ่อ ท่านไม่ได้อยู่กับทหารของวังหลวงหรอกหรือ” เด็กสาวเอียงคอมองมู่หลิ่งเหวินอย่างสงสัย แม้แผนการของมารดาจะรัดกุม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฮ่องเต้จะไม่กริ้วและพาลใส่ครอบครัวของนาง “พ่อบอกว่าพวกเขาชักช้าจึงขี่ม้าล่วงหน้ามาก่อน อีกไม่นานพวกเขาคงมาถึง วางใจเถิด หลังจากนี้พ่อจะนำกำลังคนตระเวนตามหาเจ้าไปทั่วแคว้น ฮ่องเต้ทรงไม่ระแวงสงสัยอย่างแน่นอน” ผู้ฟังเม้มปากพลางพยักหน้าแช่มช้า เมื่อเวลาแห่งการจากลามาถึง นางก็อดรู้สึกใจหายมิได้ ตุบ! สองสามีภรรยาต่างผงะเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ เห็นมู่เฟยเหลียนคุกเข่าลงต่อหน้า “ขอบพระคุณท่านพ่อท่านแม่ที่ยอมรับคำขอที่เห็นแก่ตัวของข้า เหลียนเอ๋อร์ขอคารวะขอบคุณพวกท่านเป็นครั้งสุดท้าย” เหอซิงมองภาพบุตรสาวที่โขกศีรษะลงบนพื้นแล้วนึกถึงภาพของตนเองในวัยเด็ก ยามนั้นนางเด็กกว่ามู่เฟยเหลียนในเวลานี้ และตัดสินใจขอออกจากบ้านเพื่อไปศึกษาร่ำเรียนวิชาแพทย์ในที่ห่างไกล ความรู้สึกของบุพการีในยามนั้น คงไม่ต่างจากที่เหอซิงรู้สึกในยามนี้ เป็นความตื้นตันและห่วงหาอาลัยไปในคราวเดียวกัน มู่หลิ่งเหวินบีบไหล่ภรรยาเบาๆ อย่างเข้าใจ แต่ถ้านางกลั้นน้ำตาไม่อยู่จนร้องไห้ มู่เฟยเหลียนต้องพลอยร้องไห้ไปด้วยแน่ เวลาในการร่ำลาระหว่างพวกเขามีจำกัด การจากกันด้วยรอยยิ้มย่อมดีกว่าน้ำตา “เหลียนเอ๋อร์ ลุกขึ้นเถิด” ท่านอ๋องมู่ทรงประคองร่างบุตรสาวให้ยืนขึ้น “พ่อมีบางสิ่งจะให้เจ้า” บุรุษเจ้าของร่างกำยำปลดอาวุธชิ้นใหญ่ที่ห้อยสะพายอยู่ข้างเอวออกมา “นี่คือดาบปราบปีศาจ เป็นมรดกตกทอดของสกุลมู่มาหลายชั่วอายุคน พ่อเองก็ได้รับมาจากปู่ของเจ้า” มู่หลิ่งเหวินมองดาบซึ่งอยู่ติดกายเขาตลอดเวลาขณะอยู่ในสนามรบ มันได้ช่วยชีวิตเขาไว้หลายครั้ง และเขาก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหลังจากนี้มันจะปกป้องดูแลบุตรสาวอันเป็นที่รักแทนเขา “อาวุธไม่มีตา แต่จิตวิญญาณเชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้าของ จงใช้มันก็ต่อเมื่อถึงคราวจำเป็น เพื่อปกป้องตนเองและผู้ที่อ่อนแอ” มู่เฟยเหลียนผายมือรับดาบจากบิดา ยิ่งน้ำหนักของอาวุธที่สืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคนหนักอึ้งมากเท่าไร เด็กสาวก็รู้สึกว่าภาระบนบ่าของนางยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ดาบเล่มนี้คงมีอานุภาพร้ายกาจ มากกว่าดาบที่นางเคยใช้ฝึกฝน ดังนั้นนางควรใช้มันอย่างมีสติ “เหลียนเอ๋อร์น้อมฟังคำสอนของท่านพ่อ” ด้านเหอซิงหยิบเอาห่อผ้ากับถุงเงินออกมาจากอกเสื้อ “ด้านในมียาสองตลับ สีน้ำตาลแต้มเขียวเป็นยาสารพัดนึก หากได้รับบาดเจ็บ ช้ำใน ลมปราณวิ่งวนสับสน หรือถูกพิษ สามารถใช้ยาตัวนี้เพื่อรักษาเบื้องต้น ตัวยาจะมีฤทธิ์ประมาณหกชั่วยาม ตลับสีดำเป็นผงยาสลบ สามารถใช้ลนไฟ ใส่อาหารและน้ำ หรือโปะจมูก มีฤทธิ์ให้คนสลบไสลประมาณสองถึงสามชั่วยาม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน ส่วนเงินจำนวนนี้ ให้ใช้ระหว่างเดินทาง” เนื่องจากดาบมีขนาดใหญ่มาก มู่เฟยเหลียนจึงเอามันสะพายหลัง จากนั้นก็รับของจากมารดา “ขอบพระคุณท่านแม่” “หรงเสี่ยจะไปส่งเจ้าถึงสุดเขตแดนติดทะเล แต่หลังจากนั้น... เจ้าจะต้องเดินทางด้วยตนเอง” เด็กสาวพยักหน้ารับรู้ “เหลียนเอ๋อร์ทราบแล้ว” “พ่อคิดว่าลูกไม่จำเป็นต้องไปไกลถึงดินแดนโพ้นทะเลหรอก” มู่หลิ่งเหวินเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบมานาน ดินแดนโพ้นทะเลห่างไกลจากที่นี่เกือบพันลี้ มู่เฟยเหลียนอยู่ลำพังตัวคนเดียว หากเดือดร้อนและตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายจะทำอย่างไร เหอซิงอมยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นสามีเป็นห่วงบุตรสาวอย่างออกนอกหน้า “ท่านพ่อ ข้าเคยติดตามท่านแม่ไปดินแดนโพ้นทะเลมาแล้วครั้งหนึ่ง ลูกชอบที่นั่นมาก อีกอย่าง... หากเดินทางไปต่างแคว้นก็ใช่ว่าจะพ้นหูตาของสายลับจากแคว้นเยว่ หากลูกไปขอความช่วยเหลือจากท่านตาท่านลุง ไม่แน่ว่าข่าวสารอาจรั่วไหลมาถึงพระกรรณของฮ่องเต้ ต่อให้ความเสี่ยงมีเพียงนิดเดียว ลูกก็ไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้น มิสู้ตัดปัญหาไปเลยยังดีเสียกว่า” “แต่...” พระชายาแตะพระอังสา[2] ของพระสวามี “เคารพการตัดสินใจของเหลียนเอ๋อร์เถิด” หากผู้คนรู้ว่าท่านอ๋องทรงติดบุตรสาวคงพากันหัวเราะเยาะ “ท่านแม่” มู่เฟยเหลียนสะกิดอีกฝ่ายเบาๆ “ข้ามีข้อสงสัยอยู่อย่างหนึ่งอยากถามท่าน” เหอซิงหลุบตามองบุตรสาว ตัดสินใจดึงตัวนางมาพูดคุยกันตามลำพัง โดยสายตาคอยมองปีศาจจิ้งจอกกับสามีเป็นพักๆ เกรงว่าหากคลาดสายตาอาจมีเรื่องให้ต่อสู้กันอีก “เจ้าอยากถามอะไรหรือ” “หากท่านลุงหรงเสี่ยกับท่านพ่อสู้กันจริงๆ ผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ” นางถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น หมอหญิงฟังคำถามแล้วถึงกับหัวเราะ “คนหนึ่งเป็นมนุษย์ ส่วนอีกตนเป็นปีศาจ เจ้าคิดว่าใครจะชนะล่ะ” “แล้วทั้งที่ท่านลุงหรงเสี่ยไม่ชอบท่านพ่อ เหตุใดเขาจึงได้ยั้งมือให้ทุกครั้งเล่าเพคะ” “เรื่องนั้น...” สตรีวัยสามสิบต้นๆ ยกยิ้มมุมปาก ลูบศีรษะบุตรสาวอย่างรักใคร่เอ็นดู “ไว้ถ้าเจ้าได้มีโอกาสท่องเที่ยวยุทธภพเมื่อไรก็คงรู้เอง” มู่เฟยเหลียนกะพริบตาเสร็จก็เลิกคิ้ว นางคาดไม่ถึงว่ามารดาจะตอบเช่นนี้ หรือนี่จะเป็นปริศนาของยุทธภพ เหอซิงมองสีหน้ามึนงงของบุตรสาวก็หัวเราะ อ้าแขนสวมกอดนางเป็นครั้งสุดท้าย “ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ไหน ขอให้จำไว้ว่าที่นี่ยังเป็นบ้านของเจ้าเสมอ หากเจ้ารู้สึกเหนื่อยล้าก็จงรีบกลับมา” เด็กสาวกอดตอบมารดาพลางหลับตาลง “เพคะ ท่านแม่” การจากลาในครั้งนี้เป็นไปอย่างเรียบง่าย มู่เฟยเหลียนกระชับดาบที่ห้อยหลัง ซุกซ่อนถุงเงินและตลับยา เสร็จแล้วก็กระโดดขึ้นหลังจิ้งจอกตัวใหญ่ “พวกท่านรักษาตัวด้วย” มู่หลิ่งเหวินโอบไหล่ภรรยา สองกายอิงแอบแนบชิดราวกับต้องการปลอบประโลมซึ่งกันและกัน เหอซิงโบกมือลาด้วยน้ำตาเปียกชื้น “เดินทางปลอดภัย!” มู่เฟยเหลียนโบกมือตอบ มองภาพของบิดามารดาที่ห่างออกมาเรื่อยๆ จนเหลือเพียงจุดเล็กๆ ในผืนป่ากว้าง ดวงตะวันของเช้าวันใหม่วาดผ่านผืนฟ้า ประดุจสัญญาณแห่งการเริ่มต้น เด็กสาวยกมือปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ดวงตามองตรงไปเบื้องหน้า เห็นภาพของผืนป่าที่ทอดยาวไปจนเห็นผืนทะเลอันกว้างใหญ่ซึ่งตัดกับเส้นขอบฟ้า ที่แท้ความรู้สึกของการได้รับอิสรภาพ... ก็สวยงามแต่อ้างว้างเช่นนี้เอง [1] 1 ผิง เท่ากับ 3.3 เมตร [2] พระอังสา แปลว่า ไหล่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD