ห้า
มุ่งหน้าสู่สมรภูมิ
ณ ดินแดนโพ้นทะเล ชายแดนระหว่างแคว้นฝูกับแคว้นหยาง
กฎของยุทธภพ ผู้ที่แข็งแกร่งกลืนกินผู้ที่อ่อนแอ
ในดินแดงแห่งนี้มีแคว้นมหาอำนาจอยู่สองแคว้น แคว้นหยางครอบครองแดนเหนือ แคว้นอู๋ปกครองแดนใต้
ทุกครั้งที่แคว้นมหาอำนาจสู้รบกัน ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ต่างพากันเดือดร้อน ทุกหย่อมหญ้าถูกอาบด้วยโลหิต ผืนดินที่เหยียบย่ำกลายเป็นหลุมศพ แคว้นเล็กเมืองน้อยที่ใกล้ชิดต่างพากันอกสั่นขวัญแขวน ใต้หล้าไร้ซึ่งความสงบสุข
หลังจากผ่านความทุกข์ระทมมาอย่างแสนสาหัส ในที่สุดสวรรค์ก็รับฟังคำร้องขอของไพร่ฟ้า เมื่อฮ่องเต้ของสองแว่นแคว้นตัดสินใจลงนามสัญญาสงบศึกเป็นเวลาสามปี
ทว่าต่อให้หยุดยั้งศึกใหญ่ แคว้นหยางกับแคว้นอู๋กลับไม่เคยฝักใฝ่หาสันติภาพโดยแท้จริง ในระหว่างที่มิอาจทำศึกต่อกัน ผู้นำทั้งสองแคว้นก็เริ่มไล่ล่าดินแดนและอาณานิคมจากแคว้นอื่น บีบบังคับให้แคว้นที่ด้อยกว่าต้องเลือกฝ่าย
บัดนี้สัญญาสงบศึกเหลือระยะเวลาเพียงหนึ่งปีกับอีกสามเดือนก็จะหมดลง แคว้นใหญ่ทั้งสองต่างตระเตรียมความพร้อม ทั้งเงินตรา กำลังพล อาวุธ และเสบียงต่างหลั่งไหลเข้าสู่ค่ายทหารและเมืองหลวง เด็กชายที่อายุเพียงสิบสามปีเป็นต้นไปถูกบังคับให้เกณฑ์ทหาร แม้จะไม่ยินดีแต่ก็มิอาจขัดขืนราชโองการ สตรีในครอบครัวต่างร่ำไห้อย่างน่าเวทนา เพราะรู้ดีว่าพวกเขาคงไม่มีชีวิตรอดกลับมาบ้านเกิด
การแย่งชิงดินแดนและเมืองขึ้นทวีความดุเดือดมากขึ้น จนกระทั่งล่าสุด แคว้นฝูซึ่งมีอาณาเขตเชื่อมติดกับสามแคว้นรับศึกสามด้าน ในระหว่างที่ต่อสู้กับแคว้นหยางซึ่งมีชายแดนติดกันทางตอนเหนือ แคว้นเกากับเมืองจื้อโหยวซึ่งมีอาณาเขตติดกันทางทิศตะวันตกและใต้ก็ฉวยโอกาสนั้นบุกเข้าโจมตี ทำให้พวกเขาสูญเสียดินแดนไปกึ่งหนึ่ง
ผลกระทบดังกล่าวเป็นข่าวที่สั่นสะเทือนไปทั่วดินแดน แคว้นเกาซึ่งอยู่อย่างสงบเสงี่ยมมานานได้รับดินแดนเพิ่ม ส่วนเมืองจื้อโหยวสถาปนาตนเองเป็นแคว้นจื้อโหยว ทั้งสองแคว้นเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับแคว้นอู๋
แคว้นฝูซึ่งแต่เดิมเป็นศัตรูกับแคว้นหยางไม่มีทางเลือกอื่น เพื่อรักษาแว่นแคว้นของตนเองจึงจำเป็นต้องสวามิภักดิ์ต่อแคว้นหยาง
“ฝ่าบาท”
บุรุษร่างสูงโปร่งบนหลังอาชาไนยยังคงมองตรงไปเบื้องหน้า ดวงตาสีน้ำหมึกสะท้อนภาพของผืนทะเลสีครามไกลสุดลูกหูลูกตา ใบหน้าของชายวัยยี่สิบเจ็ดหล่อเหลาทว่าดุดัน แววตาเรืองอำนาจมีความทะนงองอาจ
หม่าจิวหูดึงบังเ**ยนให้ม้าของตนเองเดินไปใกล้คนเบื้องหน้า ระมัดระวังมิให้เข้าไปใกล้จนเกินไป “สำรับของพระองค์เตรียมพร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แม่ทัพหม่า”
ชายหนุ่มร่างใหญ่กำยำยังคงทอดมองเสี้ยวหน้าของผู้เป็นนายเหนือหัว ใบหน้าราบเรียบไร้อารมณ์
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ทะเลทิศบูรพามีความงดงามต่างจากทิศประจิมอยู่มากทีเดียว” สุรเสียงของพญามังกรดังแข่งกับเสียงคลื่นและลมที่พัดเข้าสู่ฝั่ง
เนินเขาแห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างเขตแดนแคว้นหยางกับแคว้นฝู ห่างไกลจากเมืองหลวงมาร้อยลี้ ทว่าจุดมุ่งหมายของพวกเขาหาใช่สถานที่แห่งนี้ไม่
กองทัพแคว้นหยางกว่าสองหมื่นนายจำเป็นต้องใช้เวลาอีกประมาณสิบวันจึงจะเดินทางถึงเมืองต้าไห่ ในฐานะกองหนุนและฝ่ายส่งเสบียง
บัดนี้แคว้นเกากับแคว้นจื้อโหยวร่วมมือกันนำกองทัพเรือบุกตีเมืองต้าไห่ เมืองท่าซึ่งเป็นแหล่งสร้างเม็ดเงินให้แก่แคว้นฝู
หากสามารถยึดเมืองท่าแห่งนี้ได้ แคว้นฝูก็ถึงคราวอวสาน และแคว้นหยางก็จะสูญเสียเงินตราบรรณาการที่จะนำมาบำรุงฟื้นฟูกองทัพและบ้านเมือง
ดังนั้นศึกนี้... จึงเป็นศึกใหญ่ที่จะตัดสินทิศทางของสองแคว้นมหาอำนาจหลังจากระยะเวลาของสัญญาสงบศึกได้หมดลง
ทว่าสิ่งที่หม่าจิวหู แม่ทัพใหญ่แห่งแคว้นหยางไม่เข้าใจคือ เพราะเหตุใดฮ่องเต้จึงเสด็จมาดูการรบครั้งนี้ด้วยพระองค์เองต่างหาก
เหล่าขุนนางต่างพากันคัดค้านเป็นเสียงเดียวกัน ทว่าหยางหวู่... บุรุษผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องความขี้ระแวงและโหดเหี้ยม ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดกล้าเสนอตัวคัดค้านเป็นครั้งที่สอง
“แคว้นเกากับแคว้นจื้อโหยวต่างก็ไม่สันทัดการทำศึกทางน้ำ ต่างจากแคว้นฝูซึ่งกลุ่มโจรสลัดเป็นผู้ก่อตั้งแคว้นแห่งนี้ในอดีต การนำกองทัพเรือมาโจมตีเมืองท่ารังแต่จะทำให้เสียเปรียบ ไม่แน่ว่าอาจมีกลอุบายบางอย่างซุกซ่อนอยู่” หม่าจิวหูแสดงความคิดเห็นออกไปอย่างระมัดระวัง
สายพระเนตรขององค์เหนือหัวยังคงจับจ้องเกลียวคลื่นที่ม้วนตัวเบื้องล่าง “แคว้นอู๋...”
ผู้ฟังขมวดคิ้ว ก่อนจะเผยสีหน้ายุ่งยาก “สัญญาสงบศึกระหว่างเรากับแคว้นอู๋ยังมีผลอยู่ หากสองแคว้นเกิดปะทะกันที่เมืองต้าไห่จะทำอย่างไร”
“กองทัพไร้นาม” หยางหวู่หรี่ตาครุ่นคิด “ท้องทะเลกว้างใหญ่ไพศาล เรือที่สัญจรไปมาสืบหาที่มาที่ไปได้ยาก หากมีเรือไร้สังกัดเข้ามาร่วมศึกก็คงยากที่จะแบ่งแยกได้ว่าเป็นฝ่ายใด”
“ถึงแม้ว่าแคว้นอู๋จะสามารถทำศึกทางน้ำได้ แต่ฝีมือมิอาจเทียบเคียงแคว้นฝูได้อยู่ดีมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“สรรพสิ่งใต้หล้า ไม่มีสิ่งใดแน่นอน” อีกฝ่ายกล่าวเสียงเบาหวิวราวกับกำลังกระซิบคุยกับความทรงจำที่ผ่านพ้น “แคว้นฝูเองก็ไม่ได้รบทางน้ำมาหลายปีแล้ว”
“ทูลฝ่าบาท กว่ากองทัพของเราจะเดินทางไปถึง คาดว่ากองทัพจากแคว้นเกากับแคว้นจื้อโหยวคงเปิดฉากโจมตีแคว้นฝูแล้ว เมื่อเราไปถึงคงได้เห็นสถานการณ์อย่างใกล้ชิดพ่ะย่ะค่ะ”
หยางหวู่พยักหน้าเล็กน้อย พึมพำออกมาเพียงคำเดียว “อือ”
หม่าจิวหูหลุบตามองต่ำ ทหารในกองทัพกำลังพักม้าและกินข้าว อีกไม่เกินครึ่งชั่วยามต้องออกเดินทางต่อ
ฮ่องเต้มิได้เสวยสิ่งใดเลยตั้งแต่เช้า พระวรกายของพระองค์มีค่าดุจทองคำ ในฐานะแม่ทัพผู้ภักดีจึงอดรู้สึกเป็นห่วงมิได้
หลายเดือนก่อน ฮ่องเต้ทรงสูญเสียคนสำคัญไปกับการทำศึกกับแคว้นฝูถึงสองคน ผู้หนึ่งถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหด อีกคนหนึ่งหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
นับตั้งแต่นั้นพระวรกายของฮ่องเต้ก็ผ่ายผอมลงเรื่อยๆ ผู้ที่ทำงานในห้องเครื่องกับหมอหลวงต่างกลัดกลุ้มเป็นอย่างยิ่ง ปรุงโอสถและของบำรุงมากมายเพื่อเยียวยาพลานามัยให้แข็งแรง แต่เนื่องจากองค์เหนือหัวไม่ใคร่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร ดังนั้นความพยายามที่ผ่านมาจึงไม่เป็นผล ผู้คนทั้งหลายต่างก็จนปัญญา
ป่วยกายยังรักษาได้ ทว่าไข้ใจต้องใช้กำลังใจในการเยียวยา
“เตรียมออกเดินทางต่อ”
หม่าจิวหูดึงตนเองออกจากห้วงความคิดเมื่อได้ฟังถ้อยคำรับสั่ง “ฝ่าบาทจะไม่เสวยสักหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เราไม่หิว”
ชายหนุ่มก้มหน้าลง ในเมื่อเป็นความปรารถนาของผู้เป็นนาย เขาก็ไม่กล้าขัดขืน “ไว้กระหม่อมจะสั่งให้คนห่ออาหารให้ เผื่อฝ่าบาททรงหิวจะได้เสวยระหว่างเดินทาง”
หยางหวู่หรี่ตามองผู้พูดอย่างรำคาญ แต่ถึงไม่ชอบใจก็ป่วยการที่จะปฏิเสธ ปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจชอบ
แม่ทัพหนุ่มดึงบังเ**ยนม้าให้หมุนตัวเดินจากมา เปิดโอกาสให้บุรุษผู้ยืนอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของแคว้นมหาอำนาจใช้เวลาตามลำพัง
ผู้ที่หยางหวู่สูญเสียไปกับศึกก่อนหน้านี้คือแม่ทัพกู่จิ้นกว่าง นอกจากจะเป็นแม่ทัพผู้ภักดีแล้ว เขายังเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์ที่เติบโตมาด้วยกัน
หม่าจิวหูเองก็เคารพนับถือกู่จิ้นกว่างมาก ด้วยเหตุนี้การได้รับราชโองการให้มาทำศึกเพื่อปกป้องแคว้นฝูซึ่งสังหารอดีตแม่ทัพอย่างเหี้ยมโหดจึงทำให้ชายหนุ่มรู้สึกราวกับมีเหล็กหนามทิ่มแทงหัวใจอยู่ตลอดเวลา
มิใช่แค่หม่าจิวหูคนเดียวที่คิดแบบนั้น คาดว่าคนทั้งกองทัพคงมีความรู้สึกเช่นเดียวกัน
กู่จิ้นกว่างเป็นบุรุษที่แข็งแกร่ง จิตใจเปี่ยมด้วยคุณธรรมอันน่าเลื่อมใส ทั้งยังขึ้นชื่อเรื่องความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อฮ่องเต้และแคว้นหยาง หลายปีที่ผ่านมา แม่ทัพผู้นี้กรำศึก สังหารศัตรูเพื่อปกป้องราษฎร ผู้คนมากมายมีภาพวาด จุดธูปเทียนไหว้สักการบูชาราวกับเป็นเทพองค์หนึ่ง
ความแค้นที่ชาวแคว้นหยางมีต่อแคว้นฝูหยั่งรากฝังลึก มีผู้ใดบ้างที่ไม่อยากแก้แค้นให้แก่วีรบุรุษของพวกเขา
การส่งกองกำลังมาช่วยต้านศึกในครั้งนี้ เกรงว่าคงไม่มีประโยชน์เท่าที่ควร ดังนั้นการที่ฮ่องเต้เสด็จมาที่แห่งนี้ด้วยพระองค์เองเช่นนี้ ทำให้หม่าจิวหูอดสงสัยไม่ได้ว่าพระองค์ทรงมีจุดประสงค์อันใดแอบแฝงกันแน่
หาก ‘คนผู้นั้น’ อยู่ด้วยก็คงดี... นอกจากฝีมือวางแผนการรบที่ยอดเยี่ยมแล้ว เขาคงเป็นคนเดียวในใต้หล้าที่รู้พระทัยของโอรสสวรรค์ ทว่าน่าเสียดายนักที่กุนซือปริศนาเองก็หายสาบสูญไปหลังจากเสร็จศึกกับแคว้นฝู ทำให้ฮ่องเต้เหมือนถูกตัดพระหัตถ์ซ้ายขวา กลายเป็นบุรุษที่โดดเดี่ยว
หม่าจิวหูจับจ้องแผ่นหลังกว้างใต้ชุดเกราะซึ่งดูอ้างว้าง ก่อนจะเบนสายตาไปยังธงสีแดงชาด สัญลักษณ์ของแคว้นหยางที่โบกสะบัดไปตามแรงลม