3.1 งานเลี้ยงไม่ทันเริ่ม ก็เลิกราเสียแล้ว

1636 Words
สาม งานเลี้ยงไม่ทันเริ่ม ก็เลิกราเสียแล้ว งานเทศกาลระบำวิหคคือเทศกาลซึ่งจัดขึ้นทุกปีในช่วงปลายหน้าร้อน แสดงให้เห็นว่าฤดูฝนได้มาเยือนแล้ว จุดประสงค์ของเทศกาลนี้คือการขอบคุณเทพเจ้าแห่งสายฝนซึ่งประทานความชุ่มฉ่ำมาทั่วทุกหย่อมหญ้า ทำให้ราษฎรมีน้ำใช้ดื่มกินและทำการเกษตร สาเหตุที่เทศกาลนี้มีชื่อว่า ‘ระบำวิหค’ ก็เพราะมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่โบราณกาลว่า เทพเจ้าแห่งสายฝนมักจะแปลงกายเป็นนกโผบินเที่ยวเล่นในดินแดนมนุษย์ ช่วยเหลือพื้นที่แห้งแล้งให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ หล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตทั้งหลายด้วยความเมตตา ตามอาคารบ้านเรือนและท้องถนนถูกประดับประดาด้วยโคมแดง มัดรวมกันเป็นรูปปักษาและก้อนเมฆ วิจิตรงดงามราวกับมีชีวิต บนถนนสายหลักยังตั้งเวทีตามจุดต่างๆ เพื่อจัดแสดงการร่ายรำ สองข้างทางมีพ่อค้าแม่ค้ามาจัดร้านขายขนมและอาหาร ผู้คนจากทั่วสารทิศหลั่งไหลกันเข้ามาร่วมสนุกกับงานเทศกาลที่ปีหนึ่งจัดเพียงครั้งเดียว นอกจากผู้คนทั่วแคว้นเยว่จะพากันหยุดงานเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลอันแสนพิเศษนี้แล้ว ภายในวังหลวงยังมีการจัดงาน แจกเทียบเชิญเชื้อพระวงศ์และเหล่าขุนนาง เนรมิตตำหนักรับรองให้สวยงามราวกับสวรรค์บนดิน จ้างนักดนตรีเลื่องชื่อและนางรำชั้นยอด อาหารรสเลิศปรุงจากวัตถุดิบที่คัดสรรมาอย่างละเอียดลออ แกะสลักเป็นรูปสัตว์มงคลและบุปผา สุรานุ่มหวานลื่นคอโชยกลิ่นอบอวล ผู้คนต่างพูดคุยเสวนากันอย่างคึกคัก “ท่านอ๋องมู่กับพระชายาเสด็จ! ท่านหญิงมู่มาถึงแล้ว!” สิ้นคำประกาศจากทหารอารักขาหน้าตำหนัก บานประตูใหญ่ก็เปิดออกกว้าง เนื่องจากฮ่องเต้ยังเสด็จมาไม่ถึง แม้คนจากสกุลมู่จะมาถึงช้าไปบ้าง แต่ก็ยังถือว่าไม่น่าเกลียด และต่อให้มีคนไม่พอใจก็มิอาจส่งเสียง ด้วยยำเกรงต่อบารมีของผู้ครอบครองกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นเยว่ การมาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ยังมีท่านหญิงมู่ มู่เฟยเหลียน มาร่วมงาน ถือเป็นครั้งแรกในรอบสิบปีซึ่ง ‘ว่าที่พระมารดาของแผ่นดิน’ ได้ปรากฏตัวอย่างเป็นทางการต่อหน้าผู้คนในชนชั้นสูง ทุกการเคลื่อนไหวภายในตำหนักพากันหยุดนิ่ง เสียงดนตรีเบาลงจนเงียบหาย นางรำทั้งหลายพากันหลบฉาก เสียงพูดคุยของผู้คนแผ่วเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดลง สายตาของพวกเขาต่างหันมามองร่างผู้มาใหม่ มู่หลิ่งเหวินมีรูปร่างกำยำสูงใหญ่ ครั้นได้ยืนเทียบเคียงกับบุรุษอื่นก็ยิ่งโดดเด่น กลายเป็นบุคลิกที่สง่างามน่าเกรงขาม เขาสวมอาภรณ์สีเลือดหมูปักดิ้นทองเข้ากับกวานทองบนศีรษะ ดวงตาเฉียบคมดุจพญาอินทรีเปี่ยมด้วยอำนาจ สีหน้าเคร่งขรึมไร้อารมณ์ ผู้ที่เดินเคียงกายมาด้วยกันเป็นสตรีร่างบางซึ่งดูอ่อนเยาว์กว่าวัย นางสวมอาภรณ์สีขาวปักดิ้นทอง แต่รองเท้า ผ้าคาดเอว และผ้าพันคอเป็นสีเลือดหมูปักลายเข้าคู่กับสวามี เรือนผมยาวสลวยถูกเกล้าขึ้นสูง ประดับด้วยปิ่นมุกเก้าสีซึ่งดูเรียบง่าย ทว่ามูลค่าที่แท้จริงของมันเทียบเท่ากับจวนเสนาบดีหนึ่งหลังเลยทีเดียว เนื่องจากเหอซิงมักจะใช้เวลาอยู่ที่หอเมตตาเป็นส่วนใหญ่ ผู้คนทั้งหลายจึงไม่เคยคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะมีรัศมีของสตรีชนชั้นสูง ทว่าแม้ทุกกิริยาจะนุ่มนวลอ่อนช้อย ในเวลาเดียวกันกลับแฝงกลิ่นอายสูงส่งดุจเทพเซียน เหล่าแขกเหรื่อผู้มาร่วมงานพากันลอบกลืนน้ำลาย การมาถึงของคนจากจวนอ๋องมู่ยังสามารถสร้างความกดดันให้พวกเขาได้เหมือนเคย ทว่าสีหน้าของพวกเขาก็เริ่มดีขึ้นเมื่อสายตาจับสังเกตเห็นสตรีร่างเล็กซึ่งเดินตามอยู่ด้านหลัง ถัดจากบิดามารดาของนางประมาณห้าก้าว เด็กสาววัยสิบสี่มีใบหน้ารูปไข่ ดวงตากวางสีน้ำตาลกระจ่างใสมองตรงไปเบื้องหน้า พวงแก้มสีแดงระเรื่อกับกลีบปากสีชมพูอ่อนทำให้นางดูอ่อนเยาว์และไร้เดียงสา บนศีรษะเกล้าเป็นมวยกลมสองจุก รัดด้วยสร้อยถักทองคำรูปบุปผาและผีเสื้อ มู่เฟยเหลียนมีรูปร่างบอบบางน่าทะนุถนอม สวมอาภรณ์สีกลีบบัว ไล่จากสีขาวมาจดสีชมพูที่ชายกระโปรงและชายแขนเสื้อ ปักลวดลายด้วยด้ายทองกับไข่มุกสีขาวกระจ่าง แม้นางจะถูกทำนายไว้ว่าจะเป็นสตรีซึ่งมีชะตานางหงส์ แต่เด็กสาวกลับแต่งกายได้น่ารักสมวัย เผยให้เห็นถึงช่วงอายุที่ห่างจากเหล่าสนมซึ่งมารวมตัวกันที่นี่อย่างเด่นชัด ทำให้สตรีเหล่านั้นขบกรามแน่น ถลึงตามองมาอย่างอิจฉาริษยา บุปผาต่อให้งามเพียงใดก็ย่อมมีวัยโรยรา พวกนางแม้เคยเป็นสตรีที่ขึ้นชื่อเรื่องความงดงาม แต่วัยที่เพิ่มมากขึ้นก็ทำให้ผิวพรรณที่เคยเต่งตึงเริ่มเหี่ยวย่น ผมที่เคยเงางามหลุดร่วงเบาบาง เสียงพูดที่เคยไพเราะอ่อนหวานแปรเปลี่ยนเป็นแห้งแหบ สิ่งที่ทรงพลังมากที่สุดในโลกใบนี้มิใช่เงินทอง ชื่อเสียงหรืออำนาจ แต่เป็นกาลเวลาต่างหาก เพราะกาลเวลาไม่เคยปรานีผู้ใด... มู่เฟยเหลียนกวาดตามองผู้คนทั้งงานแบบเร็วๆ คราหนึ่ง มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย ขณะเจ้าตัวเร่งเดินตามบิดามารดาไปอย่างสงบเสงี่ยม เนื่องจากเด็กสาวยังไม่ผ่านพิธีปักปิ่น ยังไม่ถือว่าเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ดังนั้นจึงได้รับสิทธิ์ให้นั่งอยู่ข้างเหอซิง “ถวายบังคมท่านอ๋องมู่ ถวายพระพรพระชายา คารวะท่านหญิงมู่” ร่างกำยำซึ่งเดินนำอยู่ด้านหน้าหยุดลงพลางพยักหน้าคราหนึ่ง เหอซิงคลี่ยิ้มน้อยๆ ส่วนมู่เฟยเหลียนค้อมศีรษะเพื่อให้เกียรติผู้อาวุโสกว่า นางกำนัลซึ่งตื่นตะลึงกับกลิ่นอายของคนทั้งสามพลันได้สติ รีบเข้ามาเชื้อเชิญแขกทั้งสามไปยังที่นั่งซึ่งจัดรับรองไว้ให้ บุรุษนั่งฝั่งขวา สตรีนั่งฝั่งซ้าย สองสามีภรรยาจึงต้องแยกจากกันชั่วคราว หลังจากสองสตรีหนึ่งบุรุษนั่งลงประจำที่ บทเพลงที่หยุดไปก็บรรเลงขึ้นอีกครั้ง นางรำกลับมาร่ายรำสร้างความบันเทิง นางกำนัลยกสำรับอาหาร รินน้ำชาและสุราตามโต๊ะต่างๆ ดวงตาของเหอซิงทอดมองการแสดงเบื้องหน้า ยกน้ำชามาดมกลิ่นเรียบร้อยค่อยจดปากดื่มแก้กระหาย “เหลียนเอ๋อร์ เตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง” มู่เฟยเหลียนยิ้มน้อยๆ ยักคิ้วส่งให้ผู้ถาม “เหลียนเอ๋อร์ไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวมากหรอกเพคะ ผู้อื่นเสียอีกที่ต้องเหนื่อยหน่อย” “ก็เพราะเจ้ามิใช่หรือที่ขอปรับเปลี่ยนแผนจนตนเองไม่ต้องออกแรง” เด็กสาวหัวเราะคิกคักพลางเด็ดองุ่นส่งเข้าปาก “ท่านแม่ก็กล่าวเกินไป ข้าเพียงแค่ขอปรับเปลี่ยนให้สมบูรณ์แบบมากขึ้นก็เท่านั้นเอง” หลังจากเตรียมตัวมานานหลายวัน ในที่สุดนางก็ทำใจได้ การจากลากับครอบครัวครานี้ไม่ใช่ตลอดไป ดังนั้นมู่เฟยเหลียนจึงมีสติในการพิจารณาสิ่งต่างๆ มากขึ้น และความซุกซนเจ้าเล่ห์ซึ่งถูกใครบางคนบ่มเพาะก็เริ่มออกลาย เมื่อเป็นเช่นนี้ เหอซิงก็เบาใจขึ้นเล็กน้อย หวังว่าหลังจากนี้บุตรสาวคงสามารถใช้ชีวิตในยุทธภพได้อย่างปลอดภัย “ท่านแม่ ข้าอยากกินอันนั้น” เสียงของมู่เฟยเหลียนดึงเหอซิงออกจากห้วงความคิด มองตามนิ้วของบุตรสาวก็เห็นนางกำลังชี้ไปยังจานสีสวยซึ่งตั้งอยู่อีกฟากหนึ่ง “ไม่ได้” เด็กสาวอมลมเข้าไปจนแก้มป่อง “ไยจึงไม่ได้” “นั่นมันไก่หมักสุรา เจ้ายังเด็กอยู่ จะริอ่านกินของเหล่านั้นได้อย่างไร” เหอซิงดุบุตรสาวเสียงนิ่ง “แค่ชิมก็มิได้หรือเพคะ” มู่เฟยเหลียนยังคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ “ไม่ได้” เหอซิงยืนยัน ก่อนจะก้มหน้ากระซิบข้างใบหูนาง “หากเมามายจนเสียงานใหญ่จะทำอย่างไร” ครั้นได้ฟังเช่นนั้น ดวงตากวางของมู่เฟยเหลียนก็เปล่งประกายระยิบระยับ “หากได้กินสักครึ่งชิ้น ลูกรับรองว่าทุกอย่างต้องราบรื่นแน่เพคะ” หมอหญิงส่งเสียงหัวเราะในลำคอ บุตรสาวนางคงอยากกินจริงๆ จึงได้กล่าวเช่นนี้ เหอซิงใช้ตะเกียบเงินพลิกชิ้นไก่ไปมาเพื่อทดสอบยาพิษ ยกเข้ามาใกล้จมูกเพื่อสูดดมกลิ่น เนื่องจากกลิ่นของสุราและสมุนไพรสามารถนำมากลบกลิ่นพิษบางชนิดได้ นางจึงต้องใช้เวลาตรวจสอบอย่างระมัดระวังและแนบเนียนเพื่อมิให้ผู้อื่นผิดสังเกต นางขยับปลายนิ้ว เส้นเอ็นเส้นหนึ่งผุดออกมาแล้วแทงเข้าไปในเนื้อไก่ พอดึงออกมาก็ตรวจสอบอีกรอบ แล้วจึงคีบใส่จานบุตรสาวอย่างสบายใจ เส้นเอ็นที่นางใช้เชื่อมติดกับร่างกายของนางโดยตรง หากมียาพิษ พิษจะซึมผ่านเข้าไปในตัวนาง และนางจะสามารถรับรู้ได้ทันที วิธีการนี้เหอซิงใช้เวลาฝึกฝนมานานกว่าสิบปีจึงเริ่มชำนาญ หากเป็นผู้อื่นย่อมมองไม่ออก กระทั่งมู่เฟยเหลียนก็ไม่ทราบเรื่องนี้ เด็กสาวซึ่งได้รับอนุญาตจากผู้เป็นมารดายิ้มกว้างจนตาหยี ใช้ตะเกียบแบ่งไก่ออกครึ่งชิ้นตามที่ลั่นวาจา จากนั้นค่อยส่งเข้าปาก “อร่อยหรือไม่” “อร่อยเพคะ!” นางเอ่ยพลางคีบอีกครึ่งชิ้นที่แบ่งไว้ใส่ถ้วยของมารดา “ท่านแม่ ท่านเสวยเยอะๆ นะเพคะ”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD