“แล้วถ้าข้าหนีไป พวกท่าน...”
เหอซิงกระตุกยิ้มมุมปาก “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าพวกเราเป็นใคร ผู้ที่ให้กำเนิดสตรีผู้มีชะตานางหงส์... จะเป็นพวกไร้ความสามารถได้อย่างไร”
“พ่อกับแม่ของเจ้าคิดแผนไว้แล้ว ต่อให้เจ้าหนีไป ตระกูลมู่ก็จะไม่ได้รับผลกระทบ” บุรุษผู้อยู่ทางด้านหลังกล่าวเสียงหนักแน่น
ถึงแม้ว่าบุพการีทั้งสองจะยืนกรานเช่นนั้น ทว่ามู่เฟยเหลียนก็ยังคงลังเล ไม่กล้าตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ยังห่วงหน้าพะวงหลัง
นี่ถือเป็นข้อเสียอย่างหนึ่งของมู่เฟยเหลียน ขณะเดียวกันก็ถือเป็นข้อดี เพราะมันแสดงให้เห็นว่าบุตรสาวของพวกเขามีจิตใจที่อ่อนโยนและงดงามมากกว่าใคร
พระชายาสบตาผู้เป็นพระสวามี เกรงว่าถ้าไม่กดดันสักหน่อย มู่เฟยเหลียนก็คงมิอาจตัดใจเลือกได้เสียที
“หากเจ้าตัดสินใจที่จะไป เจ้าจะไม่สามารถกลับมาจวน... กลับมาที่แห่งนี้ไม่ได้อีก” เหอซิงจับไหล่บุตรสาว “เจ้าไม่อาจมาพบข้า ท่านพ่อ หรือน้องๆ ของเจ้าได้อีก”
นัยน์ตากวางซึ่งถอดแบบมาจากมารดาสั่นไหวดุจระลอกคลื่น เป็นรอยกระเพื่อมไหวที่บีบรัดหัวใจของผู้เป็นมารดาอย่างที่สุด
แต่เหอซิงจำเป็นต้องใจแข็ง... นางต้องการให้บุตรสาวเติบโต และกำหนดอนาคตด้วยตนเอง
“จะไม่ได้เจอหน้า ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้า แม้แต่พูดคุย... กอดกัน กล่อมนอน หรือกล่าวราตรีสวัสดิ์ก็จะไม่มี” น้ำเสียงของมารดาสั่นเล็กน้อย เมื่อเห็นดวงตาของมู่เฟยเหลียนแดงก่ำ หยดน้ำใสกระจ่างไหลอาบแก้มนวลผ่อง
“ทะ...ท่านแม่...” เสียงของเด็กสาวสั่นเครืออย่างน่าสงสาร
กระทั่งมู่หลิ่งเหวินซึ่งยืนมองอยู่ไกลๆ ยังปวดใจจนต้องเบือนหน้าหนี
เมื่อรู้ว่าลูกกำลังเสียใจ จิตใจของคนเป็นบิดามารดานั้นร้าวรานยิ่งกว่าไม่รู้กี่เท่า
“ข้า...”
“เหลียนเอ๋อร์ เจ้าต้องการอะไร”
“แต่เสี่ยวหยางเพิ่งสิบขวบ เสี่ยวจ้าวกับเสี่ยวซิวก็ยังเด็กนัก”
มู่หลิ่งเหวินยกมือกอดอก พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ไม่ผิด พวกเขายังเด็กมาก ถ้าเจ้าจากไปสักครึ่งถึงหนึ่งปี พวกเขาก็คงลืมหน้าเจ้าไปแล้ว”
มู่เฟยเหลียนได้ฟังเช่นนั้นก็ปวดใจกว่าเดิม “ท่านพ่อ!”
ลำพังต้องแยกจากบิดามารดาก็ปวดใจพอแล้ว ยิ่งได้รู้ว่าตัวตนของนางจะถูกบรรดาน้องชายลืมเลือนไปก็สร้างความทุกข์ตรมให้มากกว่าเดิม
“เจ้าพูดเช่นนี้ หมายความว่าเจ้าตัดสินใจที่จะหนีไป?” เหอซิงถามเสียงอึมครึม
ผู้เป็นบุตรสาวชะงัก นางพูดออกไปเพียงไม่กี่คำ เหอซิงก็สามารถคาดเดาความต้องการลึกๆ ของนางได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“ท่านแม่...”
“สุดท้ายเจ้าก็เลือกที่จะไปอยู่ดีสินะ”
มู่เฟยเหลียนขบกรามแน่น นางรักครอบครัวของนาง หากเลือกได้ก็ไม่อยากจากไปไหน ทว่านางไม่ต้องการใช้ชีวิตอยู่ในวังหลวง กลายเป็นหมากให้ผู้อื่นชักจูง และต่อกรกับพระสนมหลายพันคน หากนางกลายเป็นฮองเฮาของฮ่องเต้หวงผู๋อี๋ ชีวิตของนางคงไม่มีความสุข
“ข้าล้อเล่น” หมอหญิงซึ่งปั้นหน้าเศร้าเมื่อครู่กลับคลี่ยิ้ม ลูบศีรษะบุตรสาวอย่างอ่อนโยน “เรื่องความต้องการของเจ้า มีหรือที่ข้ากับหลิ่งเหวินจะไม่รู้ เหลียนเอ๋อร์ สิ่งที่พวกข้าอยากเห็นคือความกล้าของเจ้าต่างหาก”
“ความกล้า... หรือเพคะ”
“ใช่” มู่หลิ่งเหวินทิ้งตัวนั่งลงข้างกายเด็กสาว “ความกล้าที่จะพูดในสิ่งที่ตนเองต้องการ”
ร่างของมู่เฟยเหลียนสั่นเทามากกว่าเดิม แม้จุดที่นางยืนอยู่จะหนักอึ้ง ทว่าคำพูดของบิดาก็ทำให้สิ่งที่เคยกดทับบนบ่าเบาลงอย่างน่าอัศจรรย์
“สิ่งเดียวที่ข้า มู่เฟยเหลียนไม่เคยเสียใจ คือการได้เกิดมาเป็นลูกของพวกท่าน” นางสบตากับบุคคลทั้งสองด้วยแววตามุ่งมั่นจริงจัง “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าไม่ต้องการเป็นฮองเฮาของหวงผู๋อี๋!”
นี่เป็นครั้งแรกที่มู่เฟยเหลียนได้พูดสิ่งที่กักเก็บไว้ในใจมาหลายปีต่อหน้าบิดามารดาอย่างตรงไปตรงมา
หากเด็กสาวพูดคำนี้ข้างนอก คาดว่าคงไม่แคล้วถูกทหารจับกุมตัวข้อหาขัดราชโองการ
มู่หลิ่งเหวินยิ้มบาง ส่วนเหอซิงปิดปากหัวเราะโดยปราศจากการสงวนท่าทีดังที่พระชายาพึงกระทำ
“วางใจเถิด พ่อเองก็ไม่มีวันปล่อยให้เจ้าถูกจับแต่งงานกับบุรุษผู้นั้นเช่นกัน!”
“ท่านพ่อของข้า!” เด็กสาวกระโดดกอดบุรุษร่างสูงใหญ่กำยำอย่างซาบซึ้งใจ มู่หลิ่งเหวินแม้จะเคอะเขินอยู่บ้างเพราะมิค่อยได้แตะต้องตัวบุตรสาว แต่หลังจากได้รับกำลังใจจากภรรยา มือใหญ่กร้านก็กอดตอบบุตรสาวอย่างทะนุถนอมที่สุดเท่าที่จะทำได้
หลังจากที่ได้กอดกันเช่นนี้แล้ว มู่หลิ่งเหวินจึงได้รู้ว่าบุตรสาวตัวเล็กมากเพียงใด รูปร่างของนางบางกว่าเหอซิงเสียอีก
มู่เฟยเหลียนมีสรีระใกล้เคียงกับพระมารดาของเขา องค์หญิงหวงหมิงซินที่สิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่เขายังเด็ก
เหอซิงมองภาพสองคนพ่อลูกกอดกันกลมก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่เอ่อล้นขึ้นมาในอก ภายภาคหน้าคงยากนักที่ครอบครัวของนางจะอยู่พร้อมหน้า ดังนั้นทุกช่วงเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันจึงมีค่าที่สุด
“ในยุทธภพภายนอกนั้นกว้างใหญ่ ผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเจ้าจะเต็มไปด้วยความหลากหลาย บางคนจริงใจ บางคนจิตใจคดเขี้ยว เต็มไปด้วยเล่ห์กลสารพัด เจ้าต้องระมัดระวังตัวให้ดีรู้หรือไม่”
“ฮึก! หมายความว่าหลังจากนี้ เหลียนเอ๋อร์จะไม่ใช่ลูกสาวของท่านพ่ออีกต่อไปแล้วหรือเพคะ” ดวงตากวางของผู้ถามเริ่มเปียกชื้น
“เด็กโง่...” เหอซิงฝืนยิ้มพลางรั้งตัวมู่เฟยเหลียนเข้ามากอดบ้าง หยาดน้ำตาที่หลั่งไหลงดงามราวกับไข่มุก “สุดหล้าฟ้าเขียว ไม่ว่าเราจะอยู่ห่างไกลกันเพียงใด ตราบใดที่เหนือศีรษะห่มด้วยผืนฟ้า ใต้ร่างรองด้วยผืนดิน ข้ากับเจ้าก็คือครอบครัว เจ้าจะเป็นลูกสาวที่ข้ารักตลอดไป”
“ข้าสัญญาว่าวันหนึ่งข้าจะกลับมาหาพวกท่าน” เด็กสาวกอดรัดอีกฝ่ายแน่น “ข้าสัญญา”
ผู้เป็นมารดาลูบศีรษะของนางอย่างอ่อนโยน “อีกเจ็ดวันข้างหน้า วังหลวงจะมีงานเลี้ยงครั้งใหญ่ เหลียนเอ๋อร์ วันนั้นจะเป็นวันที่เจ้าหนี”
สิ้นเสียงของเหอซิง มู่หลิ่งเหวินก็ละสายตาจากสตรีทั้งสองไปยังสมบัติประจำตระกูลมู่ซึ่งสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน
ดาบเล่มใหญ่ในฝักสีน้ำตาลเข้มถูกตั้งไว้บนโต๊ะมานานหลายปี จนเหมือนของประดับชิ้นหนึ่ง ทว่าอานุภาพของมันเป็นสิ่งที่แม้แต่คนต่างแคว้นยังเกรงกลัว
มู่หลิ่งเหวินครอบครองของวิเศษซึ่งมีเพียงชิ้นเดียวในใต้หล้า แต่เขามิอาจรั้งให้บุตรสาวอยู่ข้างกายและดูแลนางตลอดไปได้
มู่เฟยเหลียนควรมีโอกาสได้ไล่ตามความฝันในวัยเยาว์ พบมิตรภาพระหว่างการผจญภัยอันแสนตื่นเต้น
สิ่งที่นางปรารถนาคืออิสรภาพ... ดังนั้นเขาก็พร้อมที่จะแลกทุกสิ่งเพื่อให้นางสมหวัง เพื่อให้นางมีความสุข ยิ้มและหัวเราะจากใจจริงโดยปราศจากข้อผูกมัด
นั่นคือความรักที่ท่านอ๋องทรงมีให้แก่มู่เฟยเหลียน พระธิดาเพียงคนเดียว
ค่ำคืนนั้นมู่เฟยเหลียนขอนอนค้างกับเหอซิงและมู่หลิ่งเหวิน สามคนพ่อแม่ลูกปรึกษาแผนการที่จะดำเนินการในอีกเจ็ดวันข้างหน้า จนกระทั่งรุ่งสางจึงได้ผล็อยหลับไปพร้อมกัน