ณ รีสอร์ตติดไหล่เขาริมหาดส่วนตัว อันเป็นที่สังสรรค์ของเหล่าลูกผู้ดีมีเงินในจังหวัด เพราะจัดเป็นสถานที่ลึกลับที่รู้เฉพาะกลุ่มคนในสังคมเดียวกันเท่านั้น
“เอ้า! ชนแก้ว”
เสียงไชโยโห่ร้องของชายหนุ่มหลายคนก่อนจะตามมาด้วยเสียงแก้วกระทบกัน ดังขึ้นต่อเนื่อง เพราะค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ระหว่างเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบเจอกันมาหลายปี เพราะบางคนก็ไปเรียนต่อและทำงานที่ต่างประเทศ บางคนก็ทำธุรกิจอยู่ต่างจังหวัด และบางคนก็ยุ่งอยู่กับงานและครอบครัวจนปลีกตัวมาเจอกันได้ยาก แต่เพราะวันนี้ หนึ่งในกลุ่มเพื่อนรักตั้งใจจะย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยอย่างถาวร กลุ่มเพื่อนเก่าที่เรียนกันมาตั้งแต่มัธยมต้นจึงนัดเจอกันสังสรรค์อีกครั้ง
“คริสต์ มึงกลับมาครั้งนี้ มึงจะสานต่อธุรกิจปาล์มของครอบครัวมึงเลยใช่ไหม หรือมึงคิดจะทำอะไรอย่างอื่น”
‘คริสต์’ กระดกแก้วเครื่องดื่มรวดเดียวจนหมด หันมายิ้มแบบตาเยิ้มๆ ใส่เพื่อน
“ก็งั้นสิวะ ไม่ให้กูทำงานของที่บ้านแล้วจะให้กูไปทำอะไรล่ะ จะให้กูไปทำหอยงมหอยเหมือนนายหัวเสือ กูทำไม่ได้หรอกว่ะ บ้านกูทำปาล์ม กูก็ต้องทำปาล์มต่อสิวะ”
พูดแบบน้ำเสียงกวนๆ ปนกรึ่มได้ที่ เมื่อนึกถึง ‘นายหัวเสือ’ ตัวต้นเหตุที่ทำให้เขาไม่อยากกลับมาเมืองไทย แม้เหตุการณ์จะเกิดมา 10 ปีแล้ว แต่เขาก็จดจำถึงตอนนี้
เขามันก็แค่คนช้ำรักคนหนึ่ง ช้ำแบบแมนๆ อย่างไม่มีอะไรจะกั้น ทำได้แค่ยอมรับความจริงและยอมรับการตัดสินใจของมุกชมพู เพราะหล่อนไม่ได้รักเขา
แต่จากที่คิดว่าทำใจได้แล้ว กลับไม่เป็นตามคิด เพราะแค่เท้าแตะแผ่นดินไทย ใจก็อดจะปวดหนึบไม่ได้อยู่ดี
ว่ากันว่ารักครั้งแรกลืมยาก ยากจริงๆ นั่นแหละ เพราะเมื่อพลาดจากมุกชมพู เขาก็ไม่เคยจริงใจกับผู้หญิงคนไหนมากกว่าเพื่อนนอน แต่กลับมาไทยครั้งนี้ คงต้องเริ่มใหม่สักที
ตั้งใจว่าจะสานต่อธุรกิจโรงงานปาล์มน้ำมันของครอบครัว ให้แม่กับพ่อได้ใช้ชีวิตบั้นปลาย ซึ่งแม่บอกว่าจะไปทำธุรกิจรีสอร์ตที่ภูเก็ตซึ่งเป็นมรดกของแม่ ส่วนเขาก็เข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการของบริษัทเต็มตัว
“อย่างนี้พวกกูก็ต้องเรียกมึงว่า ‘นายหัว’ น่ะสิ”
“ก็งั้นป่าววะ”
“ขอรับท่านนายหัวคริสต์” เพื่อนๆ พากันค้อมศีรษะให้แบบซูฮก
“กูดูข่าวที่รัฐฯ ก็ให้ตรึงราคาปาล์ม มึงอยู่ไหวเหรอวะ บ้านญาติกูบอกไม่ไหวนะโว้ย! นี่เขาเตรียมเอาปาล์มผสมกับอย่างอื่นให้ต้นทุนมันถูกลงแล้ว ทุนเข้าไปเจ็ดสิบกว่าบาท ให้ขายเจ็ดสิบ ไปต่อได้เหรอวะ”
คริสต์มองหน้าคนถามก่อนจะหันมอง ‘อังกูร’ หนึ่งในเพื่อนสนิทของเขาที่มาเจอกันในวันนี้เหมือนกัน
“แล้วบ้านมึงทำไงกูร” เขาถามทำให้เพื่อนคนอื่นหันมองตามกัน
“เออ... บ้านมึงกับไอ้กูรทำปาล์มเหมือนกันนี่หว่า ที่บ้านมึงทำยังไงกูร”
เพื่อนคนอื่นๆ หันมารุกถาม ราวกับนี่เป็นภาวะแห่งชาติที่ต้องรู้เวลานี้ให้ได้ อังกูรทำหน้านิ่วเขม่นมองคริสต์ เพราะเป็นคนชอบฟังมากกว่าพูด ก็เลยไม่อยากอธิบาย
“มึงก็รู้พอๆ กันกับกู แล้วมึงจะให้กูพูดทำไมวะคริสต์”
“ก็กูอยากให้มึงโชว์ออฟไง”
แววตานกรู้ของคริสต์ทำให้อังกูรส่ายหัวก่อนจะหลุดยิ้ม เขาปิดอะไรเพื่อนไม่ได้เลย แค่เหล่หญิงในร้านอาหาร คริสต์ก็ดันรู้
“ถ้ามึงพูดออกมา มึงจะดูหล่อนะโว้ย!” คริสต์พูดย้ำตามองอังกูรเขม็ง แต่เพื่อนกลับยักไหล่ยิ้มๆ
“ถึงกูไม่พูด กูก็หล่อมากอยู่แล้ว เพราะบ้านกูหน้าตาดีกันทั้งบ้าน มึงลืมหรือไง”
“ใช่! พี่ชายพูดถูกครับ บ้านพี่ชายหน้าตาดีกันทั้งบ้าน โดยเฉพาะน้องแองจี้ น่าร้ากกกกก…”
“ไอ้นี่!” อังกูรยกเท้าจะถีบเพื่อนนั่งข้าง เพราะเพื่อนขยับมานั่งชิด บีบแขน บีบขา ประจบเอาใจ แถมยังเรียกเขาว่าพี่ชาย เหมือนว่าจองน้องสาวเขาไว้แล้ว
“มึงหล่อน่ะกูไม่เถียง แต่…”
คริสต์นึกถึงเด็กผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มแก้มใสจนแทบจะปริแตกเพราะที่ตัวไม่น้อยเลยสักนิด
ครั้งสุดท้ายที่เห็นน้องสาวของอังกูรก่อนที่เขาจะบินไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ เด็กหญิงวัยประถมศึกษาตอนปลายตัวใหญ่เสียกว่ากระสอบทรายที่พวกคนงานนำมาแขวนไว้เตะเล่นกันเสียอีก และตอนที่เขากลับมาเมื่อครั้งจบไฮสคูล เขาก็เห็นเจ้าหล่อนแวบๆ รู้ว่าเป็นสาวแล้วก็ยังจัดว่าตัวใหญ่กว่าผู้หญิงทั่วไปอยู่มาก แล้วไหงเพื่อนบอกว่าน่ารัก หรือพวกมันชอบสาวอวบๆๆ
“แต่อะไรวะคริสต์ มึงจะว่าน้องกูไม่สวยเหรอ”
“เฮ้ย! ไม่ใช่ ที่กูเห็นตอนเด็กอะ น้องหน้าตาน่ารักเชียว แต่ไม่ใช่สเปคกูเท่านั้นแหละ”
“ก็ดีไปที่น้องกูไม่ใช่สเปคมึงอะ เพราะแค่นี้กูก็จัดคิวจนมั่วหมดแล้ว”
“ขนาดนั้นเชียวเหรอวะ”
น้ำเสียงคือแบบไม่เชื่อ แต่อังกูรที่พยักหน้าและเพื่อนๆ ก็หันมายกนิ้วโป้งให้ นั่นเป็นอันรู้กันว่าน้องสาวของอังกูรสวยเด็ด
“หมดตัวเลือกไปอีกหนึ่ง ใช่ไหมครับพี่ชาย”
เพื่อนๆ ยังคงพูดเย้าเรียกเสียงหัวเราะได้ในกลุ่ม คริสต์ได้แต่แค่นยิ้ม เพราะไม่เข้าใจรสนิยมของเพื่อนๆ เลย หรือว่าสนใจแค่หน้าตาสวย แต่หุ่นยังไงก็ได้