หลินอวี้เจินไล่สายตาอ่านตัวอักษรบนจดหมายอีกครั้ง เมื่อทบทวนดีแล้วจึงพับใส่ซองเรียบร้อยเดินออกมาพร้อมกล่องกระดาษสีแดงสดสวย เมื่อนางสาวเท้าออกมานอกห้องก็พบว่าหลินเหิงอี้นั่งกุมศีรษะอยู่โดยมีหวังหมิ่นยกชามยาส่งให้ รอบๆ ยังมีบ่าวรับใช้ที่มีสีหน้ากังวลใจยืนอยู่ไม่ห่าง
“ท่านลุงใหญ่” หญิงสาวร้องเรียกและเมื่อเห็นหลินเหิงอี้เงยหน้าขึ้นใบหน้าซีดเซียวก็ทำให้นางตกใจรีบเดินเข้าไปหา “เกิดอะไรขึ้น?”
“นายท่านหน้ามืดเจ้าค่ะ” หวังหมิ่นรายงานพลางส่งชามยาให้หลินเหิงอี้ที่ยื่นมือมารับแล้วรีบดื่มทันที
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก พักสักครู่ก็ดีขึ้น”
“นายท่านทำงานไม่ได้หยุดได้พักติดต่อหลายวัน บ่าวว่าเชิญหมอมาตรวจดูอาการหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
“ข้าบอกไม่เป็นอะไรก็ไม่เป็นอะไร” หลินเหิงอี้ยันกายขึ้นจากเก้าอี้ แต่เพราะอาการยังไม่ดีขึ้นจึงทรุดลงไปนั่งตามเดิมอีกครั้ง
“ให้คนไปเชิญหมอมาเดี๋ยวนี้” คราวนี้หลินอวี้เจินออกคำสั่งเอง แล้วหันไปถลึงตาใส่ท่านลุงใหญ่ของนาง
“ท่านลุงใหญ่ต้องหยุดพักเจ้าค่ะ” นางออกคำสั่งหน้าตาจริงจังแล้วหันไปทางบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ “ประคองนายท่านกลับไปที่ห้องพัก”
“แต่...แต่นายท่านต้องนำของขวัญไปที่จวนท่านเจ้าเมืองนะขอรับ นี่ก็ได้เวลาแล้ว” บ่าวคนหนึ่งเอ่ยเสียงสั่นด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรดี
หลินอวี้เจินชะงักไปเล็กน้อย นางเม้มริมฝีปากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยด้วยท่าทีสุขุม
“ข้าจะไปเป็นตัวแทนท่านลุงใหญ่เองเจ้าค่ะ”
หลินเหิงอี้เบิกตากว้างมองหลานสาวที่พูดออกมาด้วยความแน่วแน่
“ท่านลุงอยู่ที่ตันหยาง แม้ไม่ใช่คนเมืองนี้แต่ก็อยู่มาหลายปี ทำการค้ามานาน วันเกิดท่านเจ้าเมือง ใครๆ ก็ถือโอกาสนี้นำของขวัญไปมอบให้ แม้ร้านของเราจะไม่ใช่กิจการใหญ่โต อาจไม่ได้อยู่ในสายตาผู้อื่นด้วยซ้ำ แต่เมื่อตระเตรียมของขวัญเรียบร้อยทุกอย่างอย่าง ก็ควรนำไปมอบให้ท่านเจ้าเมืองเสีย คงใช้เวลาไม่มากนัก ให้พี่หวังหมิ่นไปเป็นเพื่อนข้าก็พอ”
หลินเหิงอี้เห็นสีหน้ามุ่งมั่นของหลานสาวก็พยักหน้าอย่างพอใจ แม้เป็นผู้หญิงแต่ไม่อ่อนแอเอาแต่หวาดกลัวมิกล้าตัดสินใจทำสิ่งใด แม้เขาไม่มีลูกแต่ก็เอ็นดูนางประหนึ่งลูกในไส้ เห็นนางเป็นเช่นนี้แล้วใจก็เริ่มผ่อนคลาย ในภายภาคหน้าจะให้นางช่วยดูแลกิจการในส่วนของเขาได้
“หวังหมิ่น เจ้าไปช่วยคุณหนูแต่งตัวแล้วไปพร้อมนาง”
“เจ้าค่ะนายท่าน”
“ท่านลุงใหญ่ ข้าเขียนจดหมายถึงบิดา รบกวนให้คนช่วยนำไปส่งให้ด้วยเจ้าค่ะ” นางรีบยื่นจดหมายของนางให้หลินเหิงอี้ ใบหน้าหวานระบายยิ้มอ่อนโยน
“ท่านลุงใหญ่พักผ่อนให้สบายใจเถิดเจ้าค่ะ หลานไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับแล้ว”
หญิงสาวหันไปสั่งบ่าวไพร่ให้คอยดูแลหลินเหิงอี้อย่างดี สั่งให้คนนำของขวัญไปไว้ในรถม้ารวมทั้งของนางด้วย แต่นางไมได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ เพราะเห็นว่าชุดที่สวมอยู่ก็เรียบร้อยดีอยู่แล้ว นางไม่ต้องการแต่งกายประชันขันแข่งกับผู้ใด และไม่ต้องการเป็นจุดเด่นหลังจากเกิดเรื่องที่ผ่านมาด้วย
ผู้คนมาจวนท่านเจ้าเมืองแน่นขนัด รถม้าของหลินอวี้เจินจำต้องจอดไกลสักหน่อย แต่หลินอวี้เจินไม่รู้สึกลำบากอะไร นางเดินพูดคุยหยอกล้อกับหวังหมิ่น คิดเพียงหาโอกาสเปิดหูเปิดตาในเมืองตันหยาง แห่งนี้ เมื่อได้เข้าไปในจวน นางเองไม่รู้จักผู้ใดแต่นางเคยเป็นตัวแทนบิดานำของขวัญมอบให้เหล่าขุนนางท้องถิ่นบ้าง แม้บิดามิใคร่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้แต่ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ นางเองก็พอเข้าใจ
“พี่หวังหมิ่นรู้หรือไม่ว่าท่านลุงเตรียมของขวัญอะไรมอบให้ท่านเจ้าเมือง” นางกระซิบถามเบาๆ
“เหรินเซินเจ้าค่ะ”
หลินอวี้เจินไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ท่านลุงใหญ่เตรียมโสมคนเป็นของขวัญให้ผู้อื่นในขณะที่ตัวเองต้องการยาบำรุงสุขภาพเช่นกันนะหรือ? นางได้แต่ส่ายหน้าไปมา หวังหมิ่นแม้ไม่ค่อยได้ออกจากเรือนของหลินเหิงอี้ แต่เพราะเป็นคนเมืองตันหยางจึงเคยเห็นหน้าบรรดาคุณหนูของบ้านอื่นที่มาคารวะท่านเจ้าเมือง แน่นอนว่าวันนี้ทุกคนแต่งกายงดงามประดุจงานรื่นเริงของเหล่าเทพธิดา มีเพียงคุณหนูของนางที่แต่งกายเรียบง่าย ทำให้นางได้แต่ถอนหายใจอย่างเสียดาย หากหลินอวี้เจินแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สีสดใส ประดับปิ่นระย้า สวมกำไลและแต้มสีชาดสักหน่อย เรียกได้ว่างดงามไม่แพ้หญิงใดในเมืองตันหยางเลยทีเดียว
หลินอวี้เจินไม่คิดจะอยู่ที่นี่นานนัก อาศัยว่าตนไม่รู้จักใครเป็นพิเศษจึงตั้งใจว่าส่งกล่องของขวัญแล้วจะกลับทันที
ชายผู้นั้นนั่งตำแหน่งประธาน เพียงหางตาเห็นนางเดินเข้าไปใบหน้าไร้รอยยิ้มแม้แต่ดวงตายังคมกริบ เห็นได้ชัดว่าเขารังเกียจนาง นางชนน้องชายของเขาและเด็กหนุ่มคนนั้นก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร เหตุใดแววตาของเขาที่จ้องมองราวกับฉีกนางออกเป็นชิ้นๆ
“ข้าน้อยหลินอวี้เจินเป็นตัวแทนร้านค้าตระกูลหลินนำของขวัญมามอบให้ใต้เท้ากัว ขอให้ท่านสุขภาพแข็งแรง”
แต่เดิมนางนั่งคิดคำอวยพรอยู่บนรถม้ามาตลอดทาง แต่พอเห็นสายตาของเขาแล้วนางจึงไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด หากเขาโกรธเคืองนางเพียงแค่ชนน้องชายของเขาหกล้มละก็... เขาช่างใจแคบเกินไปแล้ว
‘น้องชาย’
“ใต้เท้ากัว” หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างนึกได้ “ของสิ่งนี้ข้าน้อยฝากมอบให้คุณชายกัวอี้เซียวเจ้าค่ะ”
“ของอี้เซียว?”
“เจ้าค่ะ” นางยังสงบนิ่งแม้แววตาของเขาข่มขู่นางอยู่ “แทนคำขอโทษที่ข้าน้อยชนคุณชายกัวหกล้ม”
เขาหรี่ตามองนางแล้วขยับปลายนิ้วเรียกคนรับใช้ที่สาวเท้าเข้ามารับคำสั่ง หญิงสาวไม่ได้ยินว่าเขาสั่งอะไรกับคนรับใช้ คราแรกนางนึกว่าเขาจะสั่งให้คนนำของไปมอบให้คุณชายกัว ทว่าเขากลับพูดออกมาว่า
“ของของอี้เซียว เชิญแม่นางหลินนำไปมอบให้เขาเองเถิด”
แม้ใบหน้าของนางยังสงบนิ่ง แต่รู้สึกเหมือนเส้นชีพจรตรงขมับเต้นตุบตุบ นางย่อกายคารวะเขาอีกครั้งแล้วหมุนตัวเดินตามคนรับใช้ออกมาเงียบๆ ด้วยความโมโหและหงุดหงิดนางเดินตามคนรับใช้ออกมาโดยไม่รู้ว่าหวังหมิ่นถูกกันมิให้เดินตามมาด้วย จนกระทั้งถึงเก๋งจีนด้านหลังที่ห่างไกลผู้คนและเสียงเพลงขับร้อง ทำให้นางเพิ่งรู้ตัวว่านางเดินออกจากลุ่มคนมาไกลเกินไปแล้ว
“ช้าก่อน”
นางเรียกคนรับใช้ ทว่าสายตาของนางเห็นเด็กหนุ่มกำลังก้มหน้าก้มตาอยู่ที่โต๊ะ หลินอวี้เจินไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อ นางเดินเข้าไปเงียบๆ โน้มตัวลงมองเด็กหนุ่มที่กำลังตวัดพู่กันไปมา แม้ลายเส้นเหล่านั้นยุ่งเหยิงจนไม่อาจบอกได้ว่าเป็นภาพอะไร แต่นางกลับเห็นฝีแปรงที่มุ่งมั่น เด็ดเดียวและเฉียบขาดทำให้เผลอยิ้มออกมา
กัวอี้เซียวโยนพู่กันอย่างไม่พอใจ แขนเสื้อของเขาเปื้อนเปรอะหมึกเป็นรอยด่างดวง ทว่าเมื่อเขารู้สึกตัวว่าด้านหลังมีคนอยู่จึงเอี้ยวตัวมอง ดวงตาของเด็กหนุ่มที่เมื่อครู่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดไม่พอใจ กลายเป็นดวงตากระจ่างใสและมุมปากยกยิ้ม เขาอ้าปากแต่เหมือนต้องเค้นเสียงออกมา ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นกุมลำคอของตนเอง