วันต่อมา
ตอนนี้ฉันกำลังนั่งเฉย ๆ รอให้ถึงเวลาที่ผู้ใหญ่มาพบกัน พี่เบนซ์เดินเข้ามาบอกฉันตั้งแต่เมื่อคืนว่าพ่อจะเดินทางมาคุยกับแม่ของพี่เอิ๊กที่บ้านหลังนี้ในเวลาสิบโมงเช้า พี่เบนซ์บอกให้ฉันเตรียมตัวให้ดี แต่งตัวให้เรียบร้อยและห้ามฉันพูดอะไรที่ไม่ควรพูด ฉันมองหน้าพี่ชายด้วยสายตาเรียบเฉย เป็นอันรู้กันว่าฉันเข้าใจแล้ว รู้เรื่องแล้วและไม่เต็มใจ
ฉันยังไม่เคยเล่าใช่ไหมว่าพ่อแม่ฉันเลิกกัน พ่อมีคนใหม่ไปซื้อบ้านอยู่กับผู้หญิงคนใหม่ แม่มีคนใหม่ก็ไปอยู่กับรักครั้งใหม่ แม่อยากเอาฉันไปอยู่ด้วย แต่ว่าฉันไม่อยากไปฉันจึงเลือกที่จะอยู่กับพี่ชายที่บ้านหลังนี้ พี่เบนซ์เขาดูแลฉันดีมาก หวงฉันมาก แต่ว่าคนเราอะยิ่งถูกหวงก็ยิ่งอยากทำสิ่งที่ถูกห้ามใช่ปะ อย่างเช่นเรื่องดื่มเหล้าฉันก็ชอบหาโอกาสแอบดื่มบ่อย ๆ บางครั้งก็ถูกพี่เบนซ์จับได้ บางครั้งโอกาสเหมาะก็รอดตัวไป แต่ครั้งนี้การเมาของฉันทำให้เกิดเรื่องจนได้
เป็นเรื่องที่แก้ไม่ได้ซะด้วยสิ
เมื่อถึงเวลาตัวฉันก็ถูกพี่เบนซ์เรียกให้ลงมานั่งที่ห้องโถง ภายในห้องโถงมีฉันพี่เบนซ์ ทางผู้ใหญ่ยังมาไม่ถึง พี่เบนซ์บอกว่าพี่เอิ๊กเขามากับแม่ของเขา เท่าที่ฉันรู้แม่พี่เอิ๊กเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว พ่อเขาหย่ากับแม่เขาเมื่อนานมาแล้วต่อมาไม่นานพ่อเขาก็เสียชีวิต
มานั่งรอไม่ถึงห้านาทีรถของพ่อฉันกับแม่เลี้ยงก็แล่นเข้ามาจอดในรั้วบ้าน สองนาทีต่อมาแม่เลี้ยงเดินควงพ่อมานั่งที่เก้าอี้ในห้องโถง ในจังหวะนั้นรถพี่เอิ๊กก็ขับเข้ามาในรั้วพอดี
“กลอยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฉันฟังแล้ว งามหน้าไหม ไหนว่าแกมีปัญญาดูแลน้องได้ ทำไมปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้” คนที่พ่อมักจะต่อว่าก็คือพี่เบนซ์ ในตอนที่ฉันจะอยู่กับพี่เบนซ์ไม่ยอมไปอยู่กับแม่และอยู่กับพ่อพี่เบนซ์เป็นคนออกหน้าให้ฉัน บอกว่าจะดูแลฉันให้ดี จะไม่ทำให้ฉันเสียหาย มาถึงวันนี้เกิดเรื่องนี้ขึ้นพ่อก็เลยโวยวายใส่พี่เบนซ์ก่อนจะมาลงที่ฉัน
“เบลคบกับพี่เอิ๊กค่ะ คนคบกันนอนด้วยกันผิดตรงไหนคะ” ฉันต้องปกป้องพี่ชาย ต่อให้ไม่อยากแต่งกับพี่เอิ๊ก แต่ฉันก็ไม่ยอมให้พี่เบนซ์มาโดนพ่อด่าแบบนี้
“นี่พี่แกสอนให้แกไม่รักนวลสงวนตัวเหรอยัยเบล ต่อให้แกเป็นแฟนกันแกก็ไม่ควรปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น”
“เบลอาจจะผิดที่ให้แฟนเข้าไปนอนในห้อง แต่เบลถามหน่อยค่ะคนปกติที่ไหนเที่ยวเปิดห้องนอนคนอื่นเป็นว่าเล่น แม่ของเบลยังไม่เคยทำแบบนี้เลย แล้วทำไมน้ากลอยถึงได้ถือวิสาสะเปิดประตูห้องนอนเบลในเวลาแบบนั้นคะ” หลังจากที่ตั้งสติอยู่พักใหญ่ฉันก็นึกขึ้นได้ว่าต้นเรื่องมันมาจากพี่เอิ๊กก็จริง แต่ระหว่างฉันกับพี่เอิ๊กเราอาจจะตกลงกันได้ถ้าหากน้ากลอยไม่เข้ามาในห้องนอนแล้วโวยวายจนมีคนมากมายเข้ามาในห้อง เมื่อเป็นแบบนั้นการแก้สถานการณ์ที่ดีที่สุดในหัวพี่เบนซ์ก็คือการแต่งงาน
“น้าเข้าไปก็เพราะเป็นห่วง เห็นผู้ชายวัยรุ่นมาบ้านตั้งเยอะจะไม่ให้น้าห่วงเบลได้ยังไง”
“เพื่อนพี่เบนซ์มาไม่ได้มีแค่ผู้ชายนะคะ” นี่กำลังจะพูดให้พี่เบนซ์โดนด่าอีกสินะ ยัยอสรพิษ แล้วถามหน่อยตีสามใช่เวลามาหาลูกเลี้ยงที่บ้านเหรอ ที่มาก็เพราะต้องการจับผิดพวกฉันชัด ๆ
“ต่อให้มีผู้หญิงแต่น้าก็เป็นห่วงถึงได้เข้าไป” ทำหน้าซื่อเก่งซะจริง หวังดีเหรอ เป็นห่วงเหรอ เฮอะ จับผิดซะมากกว่า
“ไม่ว่ายังไง...”
“พอได้แล้วยัยเบล เรื่องนี้แกผิดยังจะมีหน้ามาโยนความผิดให้น้ากลอยอีก น้าเขาเป็นห่วงแกแกทำไมไม่สำนึกบุญคุณน้า อยู่กับพี่แกพี่แกก็สอนแต่เรื่องไม่ดี ทำตัวไม่น่ารักเอาซะเลย”
“ไม่เกี่ยวกับพี่เบนซ์เลยนะคะ”
“จะไม่เกี่ยวได้ยังไง เป็นต้นแบบไม่ดีให้น้องเห็นน้องก็ต้องทำตามอยู่แล้ว ถ้าเป็นแบบนี้กลอยว่าเราเอายัยเบลกลับไปอยู่ด้วยดีไหมคะคุณพี่”
สาระแนอีกแล้วไง
“น้ากลอยคะ”
“เงียบเลยยัยเบล ฉันก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน น้าแกพูดมีเหตุผล แกอยู่กับพี่แกมีแต่จะเสียกับเสีย เก็บข้าวของไปอยู่ฉันดีกว่า ครั้งนี้แกห้ามปฏิเสธ”
“พ่อลืมหรือเปล่าคะว่าเบลอายุ 20 ปีแล้ว เบลสามารถดูแลตัวเองได้แล้วค่ะ”
“20 ปีก็จริง แต่เบลจะพูดอย่างนี้ไม่ถูกนะ เบลยังให้พ่อส่งเงินให้ใช้จะปีกกล้าขาแข็งได้ยังไง” ดูปากเมียพ่อฉันสิ
“เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในครอบครัวเรา คนนอกอย่างน้ากลอยเงียบไว้ไม่ดีกว่าเหรอครับ” พี่เบนซ์อดกลั้นไม่ไหวถึงได้พูดออกมา
“ไอ้เบนซ์!” และการพูดแบบนี้ก็ทำให้พ่อไม่พอใจ “พูดให้มันดี ๆ หน่อยนี่แม่เลี้ยงแกนะ”
“เท่าที่ผมจำได้ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เลี้ยงผมมาทำไมผมต้องเกรงใจ เธอไม่ใช่แม่เลี้ยงผม สำหรับผมเธอแค่เมียพ่อ”
“ไอ้เบนซ์! ไอ้ลูกชั่ว ฉันจะบอกแกไว้เลยนะฉันจะเอายัยเบลไปอยู่ด้วย ถ้าไม่ไปอยู่กับฉันก็อย่าคิดว่าฉันจะส่งเงินให้ใช้”
“พ่อ!” มาบีบบังคับฉันอย่างนี้เลยเหรอ มันเกินไปแล้วนะ ฉันไม่เงินเขาก็ได้ ฉันหางานทำได้ ที่ผ่านมาไม่หางานทำระหว่างเรียนก็เพราะไม่มีใครยอมให้ฉันทำ แต่ต่อจากนี้ฉันจะทำงานหาเงินใช้เอง
“เรื่องค่าใช้จ่ายของน้องผมจะเป็นคนรับผิดชอบเองครับ ต่อไปคงไม่รบกวนพ่อแล้ว” ประโยคนี้ออกมาจากปากพี่เอิ๊กที่เดินเข้ามาในห้องโถงพร้อมกับหญิงวัยกลางคน
“จู่ ๆ มาพูดใหญ่โต ไม่แนะนำตัวแบบนี้ไม่มีมารยาทเลยนะ” พ่อฉันเอ่ยโดยไม่มองหน้าพี่เอิ๊ก
“สวัสดีครับ ผมเอิ๊กครับ เป็นเพื่อนเบนซ์แล้วก็เป็นแฟนกับน้องเบล เรื่องราวที่เกิดขึ้นผมพร้อมจะรับผิดชอบน้องทุกอย่าง”
“ทำงานอะไร” พ่อถามด้วยน้ำเสียงเชิงดูถูก
“ผมเป็นเจ้าของร้านซ่อมและแต่งรถครับ”
“หึ คิดว่าจะดูแลลูกสาวฉันได้แน่ใช่ไหม เรื่องแต่งงานไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ การแต่งงานหนึ่งครั้งถ้าผิดพลาดขึ้นมาจะเป็นตำหนิไปตลอด ผู้หญิงมีแต่เสียกับเสีย ฉันไม่ต้องการให้ลูกสาวฉันผิดพลาด”
“ผมเป็นคนจริงจังกับความสัมพันธ์ พ่อเชื่อใจผมได้ครับ ผมจะไม่ทำให้น้องเบลเสียใจ”
“เอาแต่พูดใครหน้าไหนก็พูดได้ ฉันก็เคยพูดแบบนี้กับแม่ของยัยเบลเจ้าเบนซ์ แต่สุดท้ายเราก็หย่ากันอยู่ดี”
“เมื่อไหร่ที่ผมแต่งงาน ผมไม่คิดจะหย่าครับ” พี่เอิ๊กพูดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
“ฉันคิดว่าเรามาตกลงกันเรื่องงานแต่งดีหรือเปล่าคะ เด็กสองคนคบกันรักกัน แต่ว่าเกินเลยแบบนี้ฉันรู้ว่าลูกชายฉันทำไม่ถูกค่ะ เรื่องมันก็เกิดขึ้นไปแล้วฉันคิดว่าเรามาจัดการสิ่งที่ควรจัดการไม่ดีกว่ามาถกเถียงกันหรือคะ เถียงกันไปยิ่งจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงนะคะ” แม่ของพี่เอิ๊กเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร แม่ของพี่เอิ๊กพูดได้มีเหตุผล แม้จะเป็นเรื่องไม่จริงที่ว่าฉันกับพี่เอิ๊กรักกัน ทว่าตอนนี้การพูดแบบนี้ก็เป็นการแก้สถานการณ์ที่ดี ดีกว่ามาเถียงกัน
“ผมได้ยินมาแล้วว่าทางคุณต้องการหมั้นไว้ก่อน แต่ทางผมคิดว่าแต่งงานไปเลยจะดีกว่า หมั้นกันก็ใช่ว่าจะถอนหมั้นไม่ได้”
“ฉันเอาหัวเป็นประกันว่าจะไม่มีการถอนหมั้นเกิดขึ้น” แม่พี่เอิ๊กพูดด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “จะแต่งเลยก็แต่งได้ แต่ฉันได้ยินเอิ๊กบอกว่าน้องเบลยังต้องฝึกงานและยังมีโปรเจกต์จบอีก ฉันคิดว่าถ้าหากเร่งรัดเรื่องการแต่งงานจะทำให้น้องเบลไม่มีสมาธิในการเรียน คุณไม่ต้องห่วงเรื่องการแต่งงาน ฉันจะจัดให้สมเกียรติ ไม่ทำให้น้องเบลน้อยเนื้อต่ำใจแน่นอน”
“แต่ผมคิดว่า...”
“เรื่องนี้แม่อ่ายได้คุยกับแม่แล้วครับพ่อ แม่ตกลง แม่เห็นด้วยกับแม่อ่ายทุกอย่าง” พี่เบนซ์พูดแทรกพ่อ
“ถ้าตกลงกันแล้ว ข้ามหัวฉันไปแล้ววันนี้จะให้ฉันเสียเวลามาทำไม” พ่อกำลังรู้สึกเสียหน้า คือระหว่างพ่อกับแม่เลิกกันแล้วก็จริงแต่ว่าแม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจมากกว่านิดหน่อย
“เป็นการเจรจาเพื่อให้เข้าใจค่ะ คุยกับคุณตรง ๆ ฟังจากปากฉันตรง ๆ ย่อมดีกว่าปากคนอื่นพูดค่ะ” แม่พี่เอิ๊กเอ่ย ไม่ได้กำลังเหน็บน้ากลอยใช่ไหม
“ได้ ถ้าอย่างนั้นงานหมั้นจะเริ่มเมื่อไหร่” พ่อพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“เรื่องนี้ฉันกำลังหาฤกษ์อยู่ค่ะ”
“ฤกษ์ดีอาจจะหายากและรอนาน ไม่เอาฤกษ์สะดวกดีกว่าหรือคะ ยังไงก็เป็นแค่งานหมั้น ยังไม่ใช่งานแต่ง เชิญแขกผู้ใหญ่ที่รู้จักมาเลี้ยงอาหารก็พอ” น้ากลอยเอ่ย
“ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากคุยกับคุณนะคะ แต่แม่ของน้องเบลบอกว่าการตัดสินใจทุกอย่างเกี่ยวกับน้องเบลแม่ของน้องเบลจะเป็นคนตัดสินใจเองค่ะ ฉะนั้นเรื่องนี้ฉันจะคุยกับแม่ของน้องเบลอีกที ขอบคุณสำหรับความเห็นนะคะ”แม่พี่เอิ๊กเชือดน้ากลอยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง พูดซะน้ากลอยหน้าเจื่อน
“ค่ะ แต่ก็อย่าลืมนะว่าฉันก็เป็นเมียของพ่อยัยเบล”
“ไม่ลืมค่ะ” แม่พี่เอิ๊กยิ้ม ยิ้มเยือกเย็นดี
“เอ้า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องคุยอะไรแล้ว ทางพวกคุณกับแม่ของยัยเบลจะตัดสินใจยังไงก็เอาเลย ส่วนเรื่องเงินที่ผมเคยจ่ายให้ยัยเบลผมจะจ่ายต่อก็ต่อเมื่อยัยเบลย้ายไปอยู่กับผม”
“เรื่องค่าใช้จ่ายของน้องเบลผมรับผิดชอบเองครับ จากนี้ผมขออนุญาตรับผิดชอบชีวิตน้องเบลนะครับ” พี่เอิ๊กบอกพ่อฉัน
“หึ เอาสิ ฉันจะรอดูว่าจะไปได้สักกี่น้ำ” พ่อพูดพลางลุกขึ้นเดินออกจากห้องโถง
“เรื่องสินสอดจะน้อยเกินไปไม่ได้นะคะ ถ้าไม่เหมาะสมคุณพี่ไม่ยอม ลาค่ะ” น้ากลอยพูดแล้วก็เดินตามพ่อไป บอกแล้วไงว่าแม่เลี้ยงของฉันร้ายกาจค่ะ ถ้าไม่มีพี่เบนซ์คอยเป็นโล่ฉันเละเป็นโจ๊กนานแล้ว
“ขอโทษนะครับแม่ที่ต้องให้แม่มาเจออะไรแบบนี้” พี่เบนซ์พูดหลังจากที่พ่อกับน้ากลอยไปแล้ว ฉันก็รู้สึกอายเหมือนกัน สำหรับฉันการเอาเรื่องครอบครัวออกมาขายก็เหมือนแก้ผ้าให้ชาวบ้านดู
“ไม่เป็นไรน่า เราคนกันเอง ไหนน้องเบลมาหาแม่ใกล้ ๆ ได้ไหมลูก” แม่พี่เอิ๊กเอ่ย
“ค่ะ” ฉันลุกเดินมาหาแม่ของพี่เอิ๊ก มาถึงก็นั่งลงตรงหน้าท่าน
“หน้าตาน่ารักมากเลยลูก ต่อไปนี้ก็ให้พี่เอิ๊กเขาดูแลนะ เรื่องค่าใช้จ่ายไม่ต้องเป็นห่วงอะไรเลย”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่ครับน้องเบล เรื่องนี้พี่ตัดสินใจแล้ว” พี่เอิ๊กพูดแทรก
“ค่ะ” เพราะไม่แน่ใจว่าแม่พี่เอิ๊กรู้เรื่องมากน้อยแค่ไหน ฉันจึงรับปากไปก่อน จากนั้นค่อยหาเวลาพูดกับพี่เอิ๊กอีกที
“อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนนะครับแม่ เดี๋ยวเบนซ์โทรสั่งแป๊บเดียวครับ” พี่เบนซ์เอ่ยชวน
“วันนี้แม่ยังมีธุระต่อน่ะเบนซ์ โอกาสหน้าแล้วกันนะ”
“ได้ครับแม่”
“มีโอกาสน้องเบลไปทานข้าวที่บ้านแม่นะลูก”
“ค่ะ” ไม่ไปหรอก ฉันไม่ได้อยากจะเป็นเมียพี่เอิ๊กสักหน่อย
แต่เหมือนว่าฉันจะหนีปัญหานี้ไม่ได้เลย
ผู้ใหญ่คุยกันขนาดนี้ฉันจะเอาเหตุผลอะไรไปขัด