พอใจรีบมาหาภัสสราทันทีที่ทราบเรื่องคร่าวๆ จากการพูดคุยกันทางโทรศัพท์ แต่กลับแปลกใจ เพราะเพื่อนรักไม่ได้มีอาการเศร้าโศกเสียใจเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ก่อนหน้า
“ว่าแล้วเชียว” พอใจพูดขึ้น เมื่อภัสสราบอกว่าเมฆามีผู้หญิงอื่น
“แล้วทำไมไม่บอก”
“กลัวเป็นหมาไง ถ้าแกไม่เชื่อฉัน เออมันโทรฯ มาตามแกกับฉันด้วยเมื่อคืนก่อนที่แกไปค้างบ้านป้าแจ๊บน่ะ” พอใจบอก
“แกรู้ได้ไงว่าฉันนอนบ้านป้าแจ๊บ”
“ป้าแจ๊บโทรฯ มาบอก เพราะฉันโทรฯ หาแกไง ป้าแจ๊บคงเห็นจากโทรศัพท์แกนั่นแหละ ถึงได้รีบโทรฯ บอกฉันว่าแกนอนอยู่ที่
บ้าน” พอใจพูดอธิบายแต่อดแปลกใจไม่ได้ที่อิงครัตน์ไม่ได้บอกเรื่องนี้
“ทำไมป้าไม่เห็นบอก”
“อาจจะลืม ป้าแจ๊บแก่แล้วนะเว๊ย” พอใจพูดขึ้น
“แก่อะไร น่ารักจะตายไม่เห็นจะมีตรงไหนแก่” ภัสสราพูดยิ้มๆ
“แน่ะ มีชมด้วยเว๊ยเฮ๊ย แต่ไม่แก่จริงๆ แหละ แถมน่ารักอีกต่างหาก” พอใจยิ้มๆ เมื่อนึกถึงความน่ารักของอิงครัตน์
“แกรู้จักป้าแจ๊บได้ไง” ภัสสราถาม
“นึกแล้วโคตรอาย” พอใจหัวเราะเล็กๆ
“ยังไง” ภัสสราทำหน้าสงสัย
“รีบไง ไปกินข้าวกระเป๋าสตางค์ก็ลืม โทรศัพท์ก็อยู่ในรถ บรรลัยไหมล่ะ กินข้าวเสร็จจะจ่ายเงินเพิ่งนึกขึ้นได้ สภาพการแต่งตัวก็ดูไม่ได้อีกวันนั้นน่ะ คุยกับพนักงานร้านอยู่พักหนึ่ง แต่เขาคงคิดว่าฉันเป็นพวกหลอกกินฟรีนั่นแหละ โชคดีป้าแจ๊บเดินมาบอกว่าจะช่วยจ่ายให้ นั่นแหละจุดเริ่มต้นของการได้รู้จักป้าแจ๊บ เวลาเจอกันฉันยังคงออกอาการเขินอายทุกทีเลยแหละแกเอ๊ย” พอใจทำหน้าจ๋อย แต่
ภัสสราหัวเราะลั่น
“ป้าไม่เห็นเล่าให้ฟังบ้างเลย” ภัสสราพูดขึ้น
“แหมตกลงเราจะมาคุยกันเรื่องสกาย หรือเรื่องป้าแจ๊บกันแน่จ๊ะ”
“ทั้งสองคนนั่นแหละ” ภัสสราบอก
“ยังไง ไอ้โต๊ด” พอใจถาม
“ผู้หญิงอีกคนเป็นหลานสาวป้าแจ๊บน่ะสิ” ภัสสรายิ้มจางๆ
“โลกกลมดีแท้ ถ้าแกถามฉันนะ ฉันว่าเลิกเถอะอยู่ไปมันก็ไม่เห็นจะดูดำดูดีแกเลย เจ็บป่วยก็ไม่เคยจะรู้ เดือดร้อนกว่าจะโผล่มา ป้า
แจ๊บจัด การไปเรียบร้อยแล้ว” พอใจพูดจบแล้วถอนใจนึกเคืองคนรักของเพื่อน
“ที่เป็นอยู่ก็เหมือนไม่ได้เป็นแฟนกันอยู่แล้ว หรือเปล่า”
“ถามฉันแล้วฉันจะไปถามใครย๊ะ แต่ไปกินข้าวกันมา ไม่ใช่เหรอ” พอใจพูดด้วยความหมั่นไส้
“ยังไม่ทันได้กิน กลับมาก่อน เจอป้าแจ๊บลากขึ้นรถกลับมาด้วย”
“ช่างบังเอิญเสียจริง ป่านนี้สกายคงไปเป่าหูหลานป้าแจ๊บแล้วล่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน ฉันไม่ได้สนใจสกายเลย ตอนกลับมากับป้า”
“เอ๊า แล้วแกมัวสนใจอะไรอยู่จ๊ะ แม่คุ๊ณ แฟนมีผู้หญิงอื่นแล้วจะมาบอกว่าไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร ว่างั้น” พอใจถามด้วยความแปลกใจ
“เออสิ มัวแต่งอนป้าอยู่ ป้าพูดเหมือนไม่อยากยุ่งเกี่ยวอะไรด้วย”
“แฟนไม่สนใจ แต่กลัวป้าแจ๊บโกรธ คือ อะไรของแก ไอ้โต๊ด”
“ถ้ารู้จะมาเล่าให้แกฟังไหมล่ะ” ภัสสราบ่นพึมพำ
“ถ้าป้าแจ๊บเป็นผู้ชายฉันว่าแกคงตกหลุมรักหนุ่มใหญ่เข้าให้ล่ะ จากที่เล่าๆ มา” พอใจหัวเราะ แต่ภัสสราหน้าจ๋อยทันทีเมื่อได้ยิน
“ตกหลุมรัก จะบ้าหรือไง”
“พอดีป้าแจ๊บเป็นผู้หญิงเลยรอดตัวไป” พอใจหัวเราะคิกคัก
“ป้าเขามีแฟนปะว๊ะ” ภัสสราถาม
“จากที่แกรู้จัก แกคิดว่ามีหรือไม่มีล่ะ ถ้าเป็นผู้ชายล่ะก็ฉันตามจีบตั้งแต่จ่ายค่าอาหารให้วันนั้นแล้ว” พอใจยิ้ม
“ก็จริงเนอะ”
“ฉันไม่เคยเห็นแกสนใจใครมากเท่าป้าแจ๊บมาก่อนเลยนะ”
“ก็แกใจดี ฉันเลยถามดู” ภัสสราพูดอ้อมแอ้ม
“เรื่องใจดีล่ะก็ที่สุดเลยล่ะ” สิ่งที่ได้ยินพอใจบอกทำให้ภัสสรากลับ มาคิดว่าความช่างเอาใจใส่ที่อิงครัตน์มีเป็นนิสัยอย่างนั้นหรือ
แม้แต่กับเปรมซึ่งทำงานอยู่ด้วยก็เอ่ยชื่นชมในตัวอิงครัตน์มากเช่นเดียวกับพอใจ
“หมั่นไส้” ภัสสราหัวเราะเล็กๆ พอใจยิ้มๆ ที่เห็นเพื่อนยิ้มได้และดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรกับเรื่องของเมฆามากนัก
“แกจะทำอย่างไรเรื่องสกาย”
“ก็อยู่เฉยๆ เดี๋ยวเขาคงมาบอกเลิกฉันเองนั่นแหละ” ภัสสราบอก
“โอ๊ย อีนางเฉื่อยเอ๊ยแทนที่จะไปแหกอกมันแล้วค่อยบอกเลิกยังจะมานั่งใจเย็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว นี่ฉันนึกว่าแกจะชวนฉันไปลุยกับแม่คนนั้นนะ” พอใจรู้สึกโมโหภัสสรามากกว่าเมฆาเสียอีก
“เขาเลือกข้างโน้นเห็นๆ อยู่แล้วหรือเปล่า ตอนฉันทุกข์ฉันโทรฯ หาเขาบอกแค่ยุ่ง ฉันก็ไม่กล้าเล่าอะไรเลย ถ้ามันจะจบสกายต้อง
เป็นคนมาบอกกับฉันเอง ฉันไม่ต้องวิ่งแล่นไปอย่างนั้นไม่ใช่หรือ” ภัสสราบอก
“จ้ะ แม่นางเอกละคร รอพระเอกมาแจ้งข่าวอย่างนั้นหรือ แต่ไอ้ที่เห็นแกน่ะนางรองนะเว๊ย ถามหน่อยเกิดแกไปชอบใครขึ้นมาแล้ว
ไอ้คุณสกายมันยังคิดว่าแกเป็นแฟนมันอยู่ เพราะไม่มีการพูดจาบอกเลิกอะไรกัน แกคิดไหมล่ะว่า คนใหม่ของแกเขาจะรับได้กับความนิ่งเฉยของแกที่ไม่คิดจะไปสู้รบปรบมือเอาอิสรภาพคืนแบบนี้ นางเฉื่อยเอ๊ย” พอใจถอนใจ
“เขาต้องเข้าใจสิและต้องชอบอย่างที่ฉันเป็นตัวฉันด้วย” ภัสสรายิ้มๆ เมื่อเห็นพอใจขมวดคิ้วจ้องมองเหมือนจับพิรุธอยู่
“ท่าทางมั่นใจ หรือคุยกับใครอยู่ สารภาพมาซะดีๆ แก ร้ายนักนะ” พอใจพูดคาดคั้นและจับแขนภัสสราเอาไว้ไม่ให้ลุกหนี
“จะบ้าหรือไง คุยกับใครที่ไหนกันล่ะ ฉันทำงานต่อดีกว่าจะได้รีบเอางานไปส่งให้ป้า” ภัสสรายิ้ม เมื่อพูดถึงก็แอบนึกถึงภาพของ
อิงครัตน์ในยามหลับที่มีรอยยิ้มน้อยๆ ให้เห็น
“มียิ้มน้อยยิ้มใหญ่ อะไรยังไงของแก” พอใจพูดขึ้น ภัสสราหัวเราะเล็กๆ และลุกไปทำงานต่ออย่างที่บอก
พอใจมองดูเพื่อนรักที่ทำงานไปยิ้มไปทำให้รู้สึกสบายใจมากขึ้นจากที่ก่อนหน้าแอบเป็นห่วง แต่ดูท่าทางของภัสสราแล้วไม่มีอะไร
น่าเป็นห่วงเอาเสียเลยจะว่าพยายามกลบเกลือนความรู้สึกก็ไม่น่าจะใช่ เพราะแววตาสดใสอย่างเห็นได้ชัด คิดไปคิดมาหรือแอบมีใคร
คุยอยู่จริงๆ
จารวีแวะมาเอากุญแจคอนโดมีเนียมริมทะเลที่พัทยา ซึ่งเป็นของอิงครัตน์ ตากับยายของเธอยกให้เพราะรู้ดีว่าลูกสาวชอบทะเล ยามใดที่จะไปเที่ยวก็มักมาออดอ้อนขอกุญแจที่พักจากคนเป็นป้าอยู่เสมอ
“กราบขอบพระคุณค่ะ” จารวีบอก
“เที่ยวเก่งจริงนะ เรา เออกุญแจจูนเก็บไว้เลยก็ได้ เดี๋ยวป้าแจ้งทางโน้นให้เตรียมทำความสะอาดให้”
“ค่ะ ป้า อีกหน่อยป้าก็คงยกให้จูนเนอะ เพราะมีหลานรักคนเดียว” จารวีหัวเราะคิกคัก
“ตอนไม่มีใครไปก็ปล่อยเช่า เราไปบ่อยๆ ก็ดีจะได้ช่วยดูว่าทรุดโทรมไปมากขนาดไหน” อิงครัตน์บอก
“ได้ค่ะ แต่ไปครั้งก่อนก็ยังสะอาดเอี่ยมอ่องเลยนะคะ”
“ยังไงก็ฝากดูด้วยนะจ๊ะ แม่คนขยันเที่ยว”
“แหมเดือนละครั้งเอง” จารวีพูดเสียงอ่อยๆ ก่อนเดินเข้าไปสวมกอดและหอมแก้มอิงครัตน์ที่เดินออกมาส่งที่ประตูบ้านด้านใน ซึ่ง
มองเห็นรถยนต์ของเมฆาจอดอยู่ที่ด้านนอก
“พ่อนั่นไม่คิดจะเข้ามาทักทายหรือไง” อิงครัตน์ถามหลานสาว
“เข้ามาแป๊บเดียว จูนเลยให้รอที่รถ สกายฝากมากราบด้วยค่ะ ไปนะคะ ป้า” จารวีพนมมือไหว้แล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถทันที
“ฝากไหว้ผู้ใหญ่กันก็ได้ด้วย เด็กสมัยนี้” อิงครัตน์ถอนใจ
ภัสสราหยิบโทรศัพท์ออกมาดู หลังจากได้ยินเสียงสัญญาณเตือนแล้วรอยยิ้มที่มุมปากก็ปรากฏขึ้น เมื่อมีข้อความแจ้งว่ารูปภาพที่ลงขายเอา ไว้มีคนมาโหลดไปหนึ่งครั้ง ภัสสราหัวเราะเล็กๆ กับยอดเงินเพียงไม่กี่บาทหากคิดเป็นเงินบาทของไทย แต่รู้สึกภูมิใจกับเงินเล็กน้อยที่ได้รับ
“เป็นช่างถ่ายภาพกับเขาได้แล้วเนอะ หนูเนี่ย” ภัสสราแคบภาพรวมทั้งข้อความจากหน้าจอโทรศัพท์ส่งให้กับอิงครัตน์พร้อมพิมพ์
ข้อความเยินยอตัวเองส่งไป แต่ภาพสติกเกอร์ที่ส่งกลับมาทำให้ภัสสรายิ้มกว้างทันที เพราะเป็นสัญลักษณ์ไอคอนสีเหลืองที่เหลือกตามองขึ้นไปด้านบน
“แอบภูมิใจอยู่รู้น่า” ภัสสรารำพึงออกมาเบาๆ หัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว แต่อดขำตัวเองไม่ได้กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่รู้ทำไมถึงต้องรีบแจ้นไปบอกให้อิงครัตน์ทราบ
อิงครัตน์ยิ้มก่อนจะวางโทรศัพท์ลงเลื่อนไปเปิดดูภาพคนที่ทำหน้าทะเล้นและถูกแอบถ่ายเอาไว้ ความน่ารักสดใสที่ได้เห็นทำให้
อิงครัตน์ยิ้มได้เสมอเมื่อเปิดภาพถ่ายดูและยังมีอีกหลายภาพที่เปรมถ่ายไว้แล้วส่งมาให้ ภาพถ่ายชุดที่ภัสสราเป็นนางแบบได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อย ซึ่งดูจากยอดรายได้ที่ค่อยๆ ไหลเข้ามา เปรมเองก็เช่นกัน โดยเฉพาะภาพชุดผู้หญิงสองคนที่จับมือกัน
“หรือเอามาถ่ายใหม่ให้ทำหน้าทะเล้นๆ ก็น่าจะดีนะ ไอ้เด็กขี้เห่อได้โหลดภาพแรกทำมาเป็นอวด” อิงครัตน์ยิ้มๆ มองดูภาพของ
ภัสสราที่มีเก็บอยู่ในโทรศัพท์ของตัวเอง
จารวีสังเกตเห็นท่าทางของคนรักเหมือนมีเรื่องกังวลใจ เพราะตลอดทางที่ขับรถมานั่งเงียบเสียเป็นส่วนใหญ่จะพูดก็ต่อเมื่อ จารวีถามหรือชวนพูดคุยเท่านั้น ซึ่งต่างจากปกติที่เมฆาจะหาเรื่องชวนพูดคุย
“งานมีปัญหาหรือเปล่าสกาย” จารวีถาม
“เปล่านะ”
“แล้วมีเรื่องอะไรที่ทำให้ไม่สบายใจ”
“เรื่องแฟนเก่าน่ะ สกายเลิกกับเขาไปตั้งนานแล้ว แต่เขาไม่ยอมเลิกยังเอาไปพูดว่าเป็นแฟนกับสกายอยู่เพิ่งมารู้เลยไม่ค่อยสบายใจ เพราะกลัวจูนจะเข้าใจผิด” เมฆาพูดอ้อมแอ้มไม่เต็มเสียงนัก
“หน้าไม่อายนะ ผู้หญิงแบบนั้น”
“อย่าไปว่าเขาเลย สกายผิดเองแหละ” เมฆาพูดคล้ายออกรับแทน
“แต่สกายจะเสียหาย เพราะทำให้สกายกลายเป็นคนเจ้าชู้คบทั้งจูน คบทั้งแม่คนนั้นด้วย” จารวีพูดด้วยความเป็นห่วงและกังวลใจ
“ไม่หรอก ใครจะว่าอะไรก็ช่างเขาเถอะ ถ้าจูนเข้าใจสกายก็สบายใจแล้วล่ะ ไอ้ที่กังวลเพราะกลัวจะทำให้จูนเสียใจ” เมฆาถอนใจเล็กน้อยรู้สึกโล่งอกที่จารวีไม่ได้แสดงท่าทีสงสัยอะไร ซึ่งนั่นแสดงว่าอิงครัตน์ไม่ได้บอกเรื่องที่พบเจอเขากับภัสสราถึงสองครั้งสองครา
“อยากเห็นหน้าแม่ผู้หญิงหน้าไม่อายเหมือนกันนะ”
“จูนสวยกว่าตั้งเยอะ” เมฆาหันมายิ้มๆ เมื่อจารวีจูบที่แก้มของเขา
“ไม่งั้นจะมัดใจพ่อรูปหล่อไว้ได้หรือ ใช่ไหม” จารวีพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความภาคภูมิใจ
“ใช่ค่ะ คนสวย” เมฆาพูดยอคนรักที่ยิ้มสวยๆ ให้ทันที บางครั้งเมฆาก็นำผู้หญิงสองคนมาเปรียบเทียบกัน ภัสสราแม้จะดูนิ่งๆ แต่ก็มี
เสน่ห์และไม่เคยปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเขาเลยตั้งแต่คบกันมา แต่กับจารวีที่ดูเป็นสาวทันสมัย และทางครอบครัวยังยอมให้ร่วมชีวิตแบบ
อยู่ก่อนแต่งเสียด้วยซึ่งทุกวันนี้ที่ยังมีทั้งสองสาวอยู่ในชีวิตพร้อมๆ กันได้คงเป็นเพราะว่า ภัสสราไม่เคยเรียกร้องอะไรเลยแม้กระทั่งเรื่องของเวลา ซึ่งมักจะเป็นฝ่ายรอให้ตัวเขาไปหาเสียมากกว่าทำให้สามารถทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ให้กับจารวี จนแทบไม่รู้เลยว่า เมฆาคบหาผู้หญิงอยู่อีกคน
“หรือถึงเวลาที่ต้องเลือกจริงๆ สักที” เมฆาคิดมาหลายครั้งแล้ว