หึ! เขาไม่มีวันยอมเป็นมดแดงตลอดชีวิตเด็ดขาด เขานี่ต้องเป็นนายพรานล่าสมันน้อยจับกินเนื้ออย่างแสนอร่อยสิ
หึ! แล้วนั่นดูสิ เป็นพ่อแม่ประสาอะไรปล่อยให้ลูกสาวแสนสวยเข้าใกล้ผู้ชาย กีรติกับนิดาบ้าไปแล้ว สงสัยเขาคงต้องเตือนสติเสียหน่อย
วิชญ์ไม่รู้ตัวว่ากำลังแสดงอาการออกมามากมายแค่ไหน เพราะเมื่อก่อนกีรติและนิดาไม่เคยสนับสนุนให้จิรดามีแฟน เขาเดินอาดๆ เข้าไปหากีรติและนิดา เพื่อเอ่ยเตือนสติ ว่าอย่าปล่อยให้จิรดาอยู่กับผู้ชายอย่างใกล้ชิดเช่นนี้มันไม่งาม โดยลืมนึกไปว่า พ่อแม่เค้ายังไม่ว่า แล้วนายเป็นใครกัน ยุ่งอะไรด้วย!!!
“ไอ้กีนายดูสิ หลานๆ ของไอ้ภัทรกับไอ้กรกำลังจีบจิ๊อยู่นะ”
“จีบจริงก็ดีสิ” กีรติตอบยิ้มๆ
วิชญ์ได้ฟังคำตอบถึงกับสะดุ้ง
“เฮ้ย! แกไม่หวงลูกเลยเหรอไง”
“ห่วงแต่ไม่หวง ถ้ามีผู้ชายดีๆ มาทอดสะพานให้ยัยจิ๊ เราก็พร้อมสนับสนุนให้ลูกศึกษาดูใจ” นิดาเป็นคนตอบเมื่อเดินมาสมทบและได้ยินสองหนุ่มพูดคุยกันพอดี
“ได้ยังไง จิ๊ยังเรียนไม่จบ แล้วนิก็รู้ว่าไอ้ภัทรกับไอ้กรมันเจ้าชู้ หลานของมันก็คงเจ้าชู้เหมือนพวกมันนั่นแหละ” วิชญ์แทบยืนไม่ติด อยากจะเข้าไปเตะไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนักที่บังอาจมายุ่งกับสมันน้อยน่ารักของเขา
ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ!
“ภัทรกับกรเจ้าชู้ ใช่ว่าหลานๆ จะเจ้าชู้นี่วิชญ์ อีกอย่างถึงจะเจ้าชู้แต่ถ้ารักจริงก็ไม่เห็นแปลก ดูภัทรกับกรสิเมื่อก่อนเจ้าชู้แต่พอเจอแม่ของลูก คิดว่าผู้หญิงคนนี้รักจริงก็เลิกเจ้าชู้ได้ แสดงว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง ผู้ชายแบบนี้น่าจะรับเอาไว้พิจารณา” สองสามีภรรยาเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
“เลิกเจ้าชู้ตอนนี้ แต่ต่อไปไม่แน่ ทำไมนิไม่ให้จิ๊เลือกผู้ชายที่ไม่เจ้าชู้ล่ะ” วิชญ์เอ่ยถามเพื่อนแต่สายตาแผ่รังสีอำมหิตไปยังจิรดาและหนุ่มทั้งสองที่คอยก้อล้อกอติกอยู่ใกล้ๆ สาวน้อย เพื่อย่างบาร์บีคิว ซึ่งเป็นอาหารยอดฮิตที่ทำกินกันบ่อย
“คนเราต้องดูกันไปก่อน เจ้าชู้ก็ไม่เห็นแปลก ผู้ชายก็เจ้าชู้เยอะแยะไป อนาคตไม่แน่นอน อย่าไปกำหนดกะเกณฑ์อะไรเลย มันยังมาไม่ถึง วิชญ์น่ะคิดมาก” นิดาตอบอย่างสบายๆ ไม่ได้วิตกกังวลตามคำพูดของเพื่อนรัก
“ได้ไงล่ะนิ ต้องรักจริงไปตลอดชีวิตสิ” วิชญ์ค้านคำพูดของเพื่อน
“แล้ววิชญ์จะให้นิกับกีไปหาที่ไหน ช่วยแนะนำหน่อยสิ หรือวิชญ์มีหลานๆ โพรไฟล์ดีกว่าหลานนายภัทรกับนายกร” นิดาหยอด
วิชญ์อึ้งไป ตอบในใจดังๆ ว่า
ไม่มีหลานโว้ย ก็ฉันนี่ไง แต่สิ่งที่พูดออกไป
“หลานฉันที่ไหน ไม่มีหรอก แค่อยากให้เลือกๆ หน่อย ไม่ใช่ผู้ชายหน้าไหน ประเคนลูกสาวไปให้ทุกราย”
“ประเคนที่ไหน แค่ศึกษาดูใจเท่านั้น” นิดาแก้ความคิดของเพื่อน
“เออน่าวิชญ์ ฉันรู้ว่านายเป็นห่วงลูกฉัน ก็อย่างว่าละนะ ยัยจิ๊ก็เหมือนลูกหลานนาย ขอบใจนะที่ช่วยเป็นหูเป็นตาให้ ยัยจิ๊ไปอยู่กับแกที่โน่นก็ฝากด้วยแล้วกัน”
ฉันไม่อยากได้จิรดาเป็นลูกเป็นหลานโว้ย อยากได้เป็นเมีย เอาให้ถึงที่ภูเก็ตก่อน แกได้ลูกเขยสมใจอยากแน่ หึหึ!แล้วฉันจะจัดการพ่วงหลานมาให้เลี้ยงอีกหลายๆ คน คอยดู
วิชญ์หัวเราะในใจอย่างชั่วร้าย ใบหน้าที่รื่นเริงบึ้งตึงอีกรอบ เมื่อเห็นจิรดาทำท่าจะล้ม แล้วสองหนุ่มช่วยกันประคองถึงเนื้อถึงตัว วิชญ์ยืนไม่ติดเดินอาดๆ เข้าไปแทรกกลางระหว่างชายหญิงทั้งสาม
ใบหน้าบึ้งตึงของวิชญ์ทำให้ธนาและไตรคุณถอยออกมาด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าเพื่อนของอาหนุ่มไปกินรังแตนมาจากไหน หน้าตายังกะโกรธใครมาร้อยชาติ
“ภัทรกับกรเรียกนายสองคนแน่ะ ไปสิ” พูดสั้นๆ ใบหน้าบึ้งตึงใส่สองหนุ่ม
ทำให้ธนาและไตรคุณล่าถอยจากไป จิรดารู้สึกประหม่าเมื่ออยู่กับวิชญ์สองคน ยิ่งเห็นใบหน้าหล่อเหลาตอนนี้เหมือนคนไม่สบอารมณ์อะไรสักอย่างยิ่งใจเสีย
คนอะไรยิ้มก็ไม่ยิ้ม หน้าตูมอยู่ได้ หึ! ถ่ายไม่ออกมาสามวันหรือยังไงกัน
“เป็นผู้หญิงต้องรู้จักรักนวลสงวนตัวเข้าใจไหม” เขาพูดลอยๆ อบรมสั่งสอนเด็กสาวเสียงขรึมเข้ม ใบหน้ายังบึ้งตึง จนจิรดาก้มหน้างุด ไม่อยากคุยด้วย
“เรียนยังไม่ทันจบ จะรีบมีแฟนไปทำไม” เขาพูดขึ้นอีก ช่วยเธอย่างบาร์บี้คิวอย่างสบายใจเมื่อหมดคู่แข่ง
“ถ้าเขาดี จิ๊ก็ควรพิจารณาไม่ใช่เหรอคะ” ไม่รู้ทำไมจิรดาถึงพูดแบบนั้นออกไป แล้วคนที่ใบหน้าบึ้งตึงอยู่แล้ว ก็ยิ่งบึ้งตึงเข้าไปอีก วิชญ์กัดฟันกรอดๆ ไม่ชอบประโยคที่เธอตอบเขาเลย ถ้าไม่มีใครจะจับจูบสั่งสอนเสียให้เข็ด
“เป็นเด็กเป็นเล็ก ที่คิดแบบนี้ได้เพราะพ่อแม่ให้ท้ายใช่ไหม เห็นวันก่อนยังปฏิเสธเสียงแข็งอยู่เลย” โมโหโว้ย! วันก่อนปฏิเสธให้เราดีใจทำไมว่าไม่สนใจผู้ชายหน้าไหน ฮึ่ย! เครียดจัด
“จิ๊ก็ปฏิเสธไปแบบนั้นละค่ะ ถ้าโพรไฟล์ดีอย่างพี่ธนากับพี่ไตรคุณ จิ๊ก็ควรจะรับพิจารณาไม่ใช่เหรอคะ” เธอตอบประชดเขาบ้าง
อยากมาทำหน้าบึ้งใส่เธอทำไม หนีกลับปักษ์ใต้ไป ปล่อยให้เธอคิดถึงตั้งหลายวัน พอเจอหน้าก็หาเรื่อง ทำหน้าบึ้งเหมือนยักษ์ ชิ!
“ตามสบาย” วิชญ์กระแทกบาร์บีคิวลงบนจานก่อนเดินหน้าตูมจากไป จิรดาอ้าปากค้าง
อีตาแก่บ้า! ทำตัวเหมือนเป็นแฟนเค้าเลย ชิ! ทำมาพูดเหมือนหึงหวง เอาเข้าจริงไม่เห็นแสดงออกมาเลยว่าไม่อยากให้เค้ายุ่งกับผู้ชายคนอื่น แล้วมาทำให้หวั่นไหวทำไม หึหึ!
“ไอ้วิชญ์ นายเป็นอะไรวะ หน้าตูมเหมือนไม่ได้ถ่ายมาเป็นอาทิตย์” เพลิงตะวันเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นเพื่อนไม่ยิ้มเลยสักนิด ปกติวิชญ์เป็นคนนิ่งๆ อยู่แล้ว และพูดน้อยเหมือนๆ กับเขา ไม่เหมือนภัทรศักดิ์และกรวิก แต่วันนี้มาแปลก เพราะปกติต้องยิ้มบ้าง ไม่ใช่หน้าตูมเหมือนโมโหใครมาสักร้อยชาติแบบนี้
“ไม่มีอะไร”
“สงสัยไอ้วิชญ์อิจฉาที่คนอื่นมีคู่กันหมด แล้วตัวเองไม่มี ขนาดหนูจิ๊ ยังมีหนุ่มๆ มาทอดสะพานให้ถึงบ้าน”
“แกสองคนพามาไม่ใช่เหรอ มาเองได้ด้วยเหรอ ถ้าไม่มีเ*******ูพามา” วิชญ์สวนกลับ
ภัทรศักดิ์และกรวิกชะงักค้างกลางอากาศ ทุกคนอ้าปากค้างไปตามๆ กัน เสียงหัวเราะหยุดกึก เพราะไม่คิดว่าเพื่อนที่นิ่งๆ เงียบๆ อย่างวิชญ์จะปากร้ายได้ถึงขนาดนี้
“ก็หนูจิ๊น่ารักนี่หว่า ฉันก็อยากได้เป็นหลานสะใภ้” ภัทรศักดิ์ได้สติก่อนใครรีบยักไหล่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
นิดากลั้นหัวเราะจนเจ็บกราม กีรติเอามือกุมท้องเอาไว้ กลัวเผลอปล่อยก๊ากออกมาเต็มๆ ส่วนกรวิกและเพลิงตะวันมองตากันยิ้ม จนปวดกรามไปตามๆ กัน
“พ่อแม่เขายังไม่ว่า แกเดือดร้อนอะไรวะ จิ๊โตแล้วอายุยี่สิบกว่าแล้ว บรรลุนิติภาวะแถมเรียนจะจบแล้วด้วย” กรวิกถามแล้วชะโงกหน้าไปมองสบตาเพื่อน
วิชญ์หน้าแดง ผลักหน้าเพื่อนออกห่าง ทำเป็นเคร่งขรึมเช่นเดิม เพิ่งรู้ตัวว่าหลุดมาดก็ตอนนี้เอง
“ฉันก็เปล่าว่าอะไรสักหน่อย ลูกไอ้กีกับนินี่หว่า ฉันเป็นแค่เพื่อน” ตอบกลับไปเสียงตึงตัง
ถ้าวิชญ์ใช้คำว่า ‘ไอ้’ เรียกเพื่อนแสดงว่ากำลังไม่พอใจ หนุ่มๆ ที่มีแผนการทั้งหลายมองหน้ากันอย่างรู้ใจ โดยที่วิชญ์เอาแต่หันไปมองสาวน้อยจิรดาที่มีหนุ่มๆ ไปช่วยย่างบาร์บีคิวอีกรอบ
“ต้องให้ลูกเรียนรู้ชีวิตสิวิชญ์ ต่อไปจะเผชิญกับความโหดร้ายในชีวิตได้ยังไง” นิดาพูดเนิบนาบแต่ดูจริงจังมากกว่าก่อนหน้า
“บางเรื่องเราก็สอนเค้าได้ ไม่ต้องให้เค้าไปศึกษาความโหดร้ายเองหรอก” ถึงแม้วิชญ์จะสอนให้ลูกรู้จักการใช้ชีวิต เขาคอยประคับประคองวิชุตาอยู่เสมอๆ ไม่เคยปล่อยให้ไปเผชิญชะตากรรมด้วยตัวเอง