หลังส่งลูกเข้านอนแล้วกลับ ก็มีเวลาส่วนตัว อย่างแรกที่ต้องทำก็ต้องสำรวจห้างสิ จะรออะไร เผื่อจะได้มีหนทางทำเงินด้วย เมื่อเข้าไปในห้าง(ขออนุญาตใช้คำว่าห้าง เพราะมันเป็นห้างไง) ห้างนี้มีด้วยกัน 4.ชั้นรวมชั้นใต้ดินที่ทั้งชั้นเป็นโซนซูเปอร์ทั้งหมด ชั้น 1 เป็นร้านเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า นาฬิกา ร้านทองเครื่องประดับต่าง ๆ ดีหน่อยที่ของแต่ละชิ้นพอกลมกลืนไปกับชาวบ้านชาวช่องเขาได้ ชั้น 2 เป็นคลินิกเสริมความงาม สปา แบรนด์เครื่องสำอางและสกินแคร์ทั้งสัญชาติไทยและต่างประเทศวางเรียงเป็นบูทของตัวเอง กินพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งของทั้งชั้น โอ้วว ห้างนี้มันตอบสนองต่อกิเลสของเธอหรืออย่างไรนะ ถึงได้มีแต่ของที่ชาติก่อนทำงานเก็บเงินซื้อกว่าจะได้แต่ละชิ้น ต่อไปชั้นสุดท้าย ชั้น 3 มีร้านอุปกรณ์การเรียนที่หลบมุมทำตัวเป็นลูกเมียน้อย ส่วนร้านอุปกรณ์ช่างและของตกแต่งบ้านที่กินทั้งชั้น ดูท่าทางแล้วคงมีทุกอย่างเป็นลูกเมียหลวง
เอาล่ะ เธอตัดสินใจได้แล้วกลุ่มเป้าหมายที่ทำเงินได้ง่ายที่สุดคือกลุ่ม สตรี คนชราและเด็ก โดยเฉพาะพวกตระกูลใหญ่ เธอจะขายเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน ผู้หญิงก็คือผู้หญิงถึงจะมีพลังวิญญาณทำให้ร่างกายดี แต่ก็ไม่มีใครปฎิเสธที่จะสวยขึ้นได้หรอกถ้ามีทาง เพราะฉะนั้นจะเริ่มต้นสร้างตัวจากการขายเครื่องสำอางและครีมบำรุงผิว ตอนนี้น่าจะดึกมากแล้ว เธอพึ่งฟื้นร่างกายยังไม่แข็งแรงดี วันนี้คือต้องนอนก่อน อย่างน้อยก็ได้เป้าหมายการค้ามาแล้ว ไว้รอโอกาสดีค่อยเริ่ม ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสามีและแม่สามี ต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนจะมาวุ่นวายในภายหลัง เธอตัดสินใจออกจากห้างแล้วเข้านอนทันที
เช้าที่สดใส วันนี้สดใสจริง ๆ เพราะตื่นสาย ทั้งบ้านยังไม่มีใครตื่นโชคดีไป เธอรีบลุกไปจัดการตัวเองให้สะอาดเรียบร้อยแล้วรีบเข้ามิติไปเลือกวัตถุดิบมาทำอาหารเช้าให้ลูกน้อยที่น่ารักทั้ง 2 คน
เธอเลือกทำข้าวต้มหมูทรงเครื่องกับเกี๊ยวซ่าสำเร็จรูป ตบท้ายด้วยน้ำส้มคั้นและนมอย่างละแก้ว ไม่นานเด็ก ๆ ก็ออกมาโผล่หัวแอบดูผู้เป็นแม่ เพราะกลิ่นอาหารนั้นหอมยิ่งนัก
“ตื่นแล้วหรือ ไปล้างหน้าแปรงฟันให้เรียบร้อยแล้วค่อยมากินข้าว” เธอหันมาเห็นพอเลยให้เด็ก ๆ ไปจัดการตัวเอง เธอเลี้ยงเด็กไม่เก่ง จะให้ประคบประหงมก็คงจะไม่ได้
ไม่นานซานไห่ก็วิ่งตึงตังมาที่โต๊ะกินข้าว ผิดกับอี๋นัวที่เดินเรียบร้อยเข้ามา เด็ก ๆ พอได้กินของอร่อยและเนื้อ ทั้งยังมีน้ำผลไม้กับนมให้กินก็ชอบใจ อี๋นัวกินไป 2 ชาม ทางด้านซานไห่นั้นกินไปถึง 3 ชาม ระหว่างกินอาหารเช้าเธอจึงได้สำรวจลูกเธอให้ชัด ๆ ซานไห่นั้นลักษณะก็สมชื่อ ทำตัวเยี่ยงภูเขา เป็นเด็กอารมณ์ดีค่อนไปทางดื้อและมึนแต่ก็ไม่ขัดคำเคยสั่งของซูฉีเลย ผิวขาวแต่ผอมไปหน่อยคงเพราะอาหารที่บ้านใหญ่ต้องแบ่งหลายคนแต่คนหามีเพียง 3 คน หน้าตาก็คือลู่จิวย่อส่วน ส่วนอี๋นัวนั้น เหมือนเด็กผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเพราะได้ซูฉีมาถึงเก้าส่วน นิสัยก็...ไม่อยากบูลลี่ลูกเท่าไหร่ ก็นิสัยกระเทยน้อยนั้นแหละ ในความทรงจำ อี๋นัวไม่ชอบออกแดด ชอบอยู่บ้านบางครั้งก็นั่งส่องกระจกเป็นชั่วยาม เรียนรู้การทำกับข้าว บอกแล้วว่าลูกสาวแม่ ทั้งคู่เป็นฝาแฝดและน่าจะไข่คนละใบ
“ซูฉี ปัง ปัง ซูฉี”กินเสร็จได้ไม่ทันไรลู่จิวก็เดินจูงชิงอีมาตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้าน พูดถึงชิงอี ก็สงสารอยู่หรอกนะ แต่สงสารก็ส่วนสงสาร ไม่มีใครมาฝืนตัวเองทั้งที่ไม่ชอบเพราะสงสารหรอก ถึงมีก็ไม่ใช่เธอแล้วคนนึง
“มีอะไรเจ้าคะ”เธอถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“คือข้ามีอะไรจะคุยด้วยน่ะ ขอเข้าไปหน่อยสิ”เธอเบี่ยงตัวหลบให้ทั้งคู่เข้ามาในบ้าน
“มีอะไรก็พูดมาเถอะเจ้าค่ะ หรือตัดสินใจได้แล้ว”เธอไม่คิดจะชวนกินข้าว มารยาทอะไรใครจะสน ตอนนี้อคติมันยังทุกอย่างแล้ว ไม่มีน้ำใจมาเผื่อแผ่ใครทั้งนั้น ตัวเองยังเอาไม่รอดเลยตอนนี้
“ข้าพาชิงอีมาขอโทษเจ้าน่ะ”เขาพูดอย่างละอาย เขารู้ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น แต่เขาไม่รู้จะหาทางอย่างไรแล้ว นางไม่ฟังอะไรเลย นี่สินะเขาถึงบอกว่าแม่เสือจะดุที่สุดยามใครมาแตะต้องลูก ยามนี้ไม่ใช่เพียงแตะต้องแล้ว ลูกนางตายไปแล้วเขาคงทำอะไรอีกไม่ได้
“ท่านแม่”เด็กน้อยพูดเสียงเบาแต่เธอก็ได้ยินเพราะจิตวิญญาณเป็นสัตว์ป่านะสิ ประสาทสัมผัสเลยดีกว่าคนทั่วไปมาก ได้ยินนางเรียกแบบนี้แล้วนางยิ่งรู้สึกแหย นางหาใช่มารดาเด็กน้อยไม่ ใช่ว่าชิงอีจะไม่รู้ว่านางไม่ใช่มารดาแต่ก็ยังเรียก ทั้งยังเรียกสามีนางว่าท่านพ่ออีก นี่มันพากันมากวนประสาทเธอแต่เช้าเลยรึไง หมดกัน เช้าที่สดใส
“ข้าไม่ใช่แม่เจ้า เจ้ารู้ดี”เธอตอบออกไปเสียงเรียบ
“ซูฉี”สามีได้ยินนางเอ่ยทำร้ายจิตใจเด็กน้อยจึงเอ่ยเสียงปราม
“มีอะไรเจ้าคะ เรียกทำไม”เธอแสร้งตอบไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว พอดีกับที่เธอหันไปมองลูก ๆ จึงเรียกทั้งคู่มาถามว่าอยากอยู่กับพ่อหรือแม่ คำตอบก็ชัดเจนว่าแม่ ถึงซูฉีไม่ได้สนใจมากแต่ก็รักทั้งยังเลี้ยงมาเองกับมือ สามีก็ทำหน้าที่หาแต่เงิน เด็กที่พอสนิทและเอ็นดูก็กลายเป็นชิงอีแทนที่จะเป็นลูกตัวเอง เป็นใครจะไม่เกลียดเด็กชิงอีนี่บ้าง
“...”ถึงจะพอรู้คำตอบ แต่พอได้ยินตำตอบของลูกชัดเจนแบบนี้ก็ทำเอาเขาไปไม่ถูกเหมือนกัน เขาแค่คิดว่าชิงอีน่าสงสารมารดานางเสียตอนคลอดจึงอยู่กับบิดา บิดาดันมาป่วยต้องรักษาตัวไม่มีใครสามารถดูแลนางได้ จึงเป็นเขาที่นำนางมาดูแล แต่ไม่คิดว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้
“ข้าขอให้ท่านตัดสินใจให้ดีเถิดแล้วค่อยมาหาข้าที่บ้าน ข้าเบื่อเต็มทนกับการที่ท่านทำเช่นนี้แล้ว พวกเราพร้อมจากท่านไปทุกเมื่อ เพียงท่านยอมหย่า หรือหากท่านไม่ยอมหย่าข้าก็ไม่สนใจหรอกเพียงแค่หนีเข้ายุทธภพก็จบเรื่อบแล้ว”
ใจจริงนางก็ไม่ได้อยากหย่าอะไร เมื่อคืนลองนอนคิดดูแล้ว ครอบครัวก็มีครบ เพียงแค่เธอต้องควบคุมสามีให้ได้ก็ถือว่าเป็นชีวิตที่ดี แล้วจะยังต้องการอะไรอีก ฉะนั้นที่พูดไปวันนี้คือบีบให้เขาตัดสินใจเท่านั้น เพราะเธอรู้ว่าเขารักลูกมาก ในความทรงจำของซูฉีจำเพียงเขารักเด็กชิงอีมากกว่าเธอและลูก แต่ในนิยายสุดท้ายลู่จิวก็ถอยกลับมาอยู่กับครอบครัว ถึงซูฉีจะมีจุดจบที่ค่อนข้างแย่ แต่ไม่ถึงตายเพียงแต่โดนทำลายจิตวิญญาณทำให้อายุขัยสั้นลงพร้อมทั้งร่างกายอ่อนแอตลอดเวลา ลู่จิวที่หลงรักหน้ามืดตามัวพอหันกลับไปดูครอบครัวก็เหมือนได้สติกลับมา ว่าทั้งหมดมันก็เป็นเพราะตัวเขาเองที่ครอบครัวมีสภาพนี้เพราะเขาเป็นตัวนำพาทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเธอจึงตัดสินใจจะเริ่มต้นใหม่กับลู่จิวเป็นดีที่สุด ชีวิตคนเรายังต้องการอะไรอีก ตอนนี้เธอมีสามีและลูกครบแล้ว แค่กำจัดปัญหาที่เข้ามาก็พอ แต่อย่าได้ใจไปเลยพ่อหนุ่มลู่จิว เมียคนนี้จะสั่งสอนอย่างดีเลยล่ะที่รัก