“ทำตัวเป็นปลิงคนเดียวยังไม่พอ คิดจะส่งลูกสาวมาสูบสมบัติอะไรพ่อฉันอีกล่ะ แม่เธอน่ะ”
ประโยครุนแรงถูกส่งมายังหญิงสาวนับครั้งไม่ถ้วน จนตอนนี้ต่อให้มันจะยิ่งกว่านี้ นารถลักษณ์ก็ว่าตัวเองรู้สึกเฉยๆ กับมันซะแล้ว
“ตรี มันจะก้าวร้าวไปหน่อยรึเปล่า ยังไงน้านุชก็เป็นเมียพ่อ”
และก็เป็นพี่โตอีกตามเคยที่คอยห้ามปรามความบ้า และความร้ายกาจของ ‘คุณตรี’ น้องคนรอง แม่เธอเคยเล่าให้ฟังอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วว่าก่อนที่คุณตรีจะเกิด คุณลุงปริตรและคุณนาย แม่ของคุณๆ ทั้งสี่ พวกท่านได้มีลูกอีกคน แต่เกิดเหตุไม่คาดฝันเมื่อท่านได้แท้งลูกคนนั้นไป พอคุณตรีเกิด พวกท่านเลยตั้งชื่อที่แปลว่าสาม
“ที่อุตส่าห์ถ่อมาถึงบ้านลักษณ์ก็เพื่อจะมาด่า ด่า ด่าแล้วก็พ่นพิษใส่เท่านั้นใช่หรือเปล่าคะ เพราะถ้าใช่ และคิดว่าด่าจบแล้วก็เชิญคุณตรีกลับไปซะเถอะค่ะ ลักษณ์ไม่อยากมีเรื่อง ไม่อยากทำให้คุณลุงต้องปวดหัว”
เป็นบุตร ธีรกานต์ ลูกชายคนที่สามที่มีชื่อเล่นว่า สี่ มองนารถลักษณ์และพี่รองของตนทุ่มเถียงกันไปมา ยิ่งดูก็ยิ่งมัน ไอ้เขาน่ะถึงไม่ค่อยชอบขี้หน้าแม่เลี้ยงและลูกสาวของแม่เลี้ยงสักเท่าไร แต่ก็ไม่ได้ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์ขนาดพี่ตรีหรอก คนนั้นน่ะเขาลูกรักของแม่ เลยทนไม่ได้ที่จะมีใครมาแทนที่แม่ของพวกเรา
และด้วยอุปนิสัยนี้ของเจ้าตัวเอง ทั้งที่หน้าตาแสนจะดีเกินหน้าดารานายแบบเกือบทั้งวงการ แต่เพราะปากที่มีสุนัขอยู่ทั้งฟาร์ม จึงทำให้ยังไม่มีสาวคนไหนทนพี่ชายเขาได้สักคน
“วันนี้ยายลักษณ์เขาไม่ยอมลงให้พี่ตรีง่ายๆ แฮะ สงสัยแม่เขาคงจะสอนมาดีนะพี่โต”
“พอเลยเจ้าสี่ ถ้าไม่รู้จะพูดอะไรแกก็เงียบไปเลย” ปริญญ์ปรามน้องชาย
ปานภูมิ น้องคนสุดท้องของครอบครัว ที่ปีนี้อายุยี่สิบห้าเข้าเบญจเพสพอดิบพอดี นั่งมองพี่ชายทั้งสามและน้องสาวต่างพ่อต่างแม่พูดคุยกันเสียงดังอยู่นานโดยที่ไม่ได้เอ่ยอะไร
“ใช่แม่สอนมาดี สอนว่างานการไม่ต้องทำ แค่แต่งตัวสวยๆ ไปเดินเฉิดฉายในที่ที่มีคนรวยๆ อยู่ก็พอ เผื่อไปฟลุ๊คเข้าตาโดนใจไอ้หน้าโง่คนไหนเข้าก็สบายไปทั้งชาติ” ตรีศูลยังไม่ยอมลดราวาศอกง่ายๆ
“คนรวยๆ ที่คุณตรีหมายถึงนี่รวมพ่อของตัวเองอยู่ด้วยหรือเปล่าคะ”
ตรีศูลกัดฟันกรอด “เนรคุณ ! พ่อฉันเลี้ยงดูงูเห่าอย่างเธอและแม่มากี่ปี กล้าดียังไงถึงเอาพ่อฉันไปเปรียบกับไอ้หน้าโง่พวกนั้น”
นารถลักษณ์ถอนหายใจอย่างหนักอก เธออยากมีพี่น้อง ยิ่งถ้าเป็นพี่ชายคงจะดีมาก และการที่แม่ได้แต่งงานใหม่และครอบครัวใหม่ก็มีพี่ชายให้เธอถึงสี่คนทำให้เธอแสนจะดีใจในทีแรก แต่พอรู้ว่าถูกรังเกียจ ความดีใจทั้งหมดที่เคยมีก็อันตรธานหายไปจนสิ้น
“ค่ะ ลักษณ์ยอมรับว่าตัวเองผิด ผิดที่เอาคำพูดของคุณตรีมาพูดต่อ ถ้าเป็นคุณตรีพูดเอง ต่อให้จะกระทบกระเทียบเปรียบว่าคุณลุงโง่ ก็คงไม่ผิดใช่หรือเปล่าล่ะคะ”
“เธอนี่มัน...”
“พอๆ ทั้งตรี ทั้งลักษณ์นั่นแหละ ยิ่งเถียงกันไปเถียงกันมา ก็เหมือนกับสาวไส้ให้กากิน พี่น้องกันทั้งนั้น”
“เหอะ ใครจะนับญาติก็นับไป ขอร้องอย่าเอาผมเข้าไปแปดเปื้อนด้วย”
“ลักษณ์ยอมตายซะดีกว่าจะต้องเกิดมามีพี่อย่างคุณตรีค่ะ พี่โต” สรรพนามนำหน้าที่ใช้เรียกทั้งสองคนที่ต่างกันของหญิงสาว เพราะมีปริญญ์คนเดียวที่ไม่ยอมให้เธอเรียกเขาว่าคุณเหมือนที่เรียกคนอื่นๆ
ปริญญ์กุมขมับ นึกอยากจะบ้าให้รู้แล้วรู้รอด
“เจ้าเล็ก ช่วยหน่อย”
เมื่อมองไม่เห็นทางว่าทั้งคู่จะฟังเขา เพราะในสายตาของน้องๆ เขาคือพี่ชายที่แสนจะใจดี ทั้งรักและตามใจน้องๆ ต่างจากเวลาทำงานที่ค่อนข้างจะจริงจัง เจ้าพวกนี้จึงไม่ค่อยจะเชื่อฟังเขาเท่าที่ควร ไอ้ครั้นจะพึ่งเจ้าสี่ก็เห็นจะไร้ผล มีแต่จะยิ่งทำให้เรื่องย่ำแย่หนักยิ่งกว่าเดิม เพราะเจ้านั่นเห็นทุกอย่างเป็นเรื่องสนุกไปซะหมด คราวนี้จึงจำต้องขอความช่วยเหลือจากน้องคนเล็กอีกเช่นเคย
“พี่ตรี ถามจริงพี่กลัวอะไร ทำไมต้องทำเหมือนจะเป็นจะตายที่พ่อจะให้ยายลักษณ์เข้าไปทำงานที่บริษัท”
ตรีศูลตอบอย่างไม่ต้องลังเล
“ไม่ได้กลัว แค่ไม่อยากวางใจ ไม่อยากคบ ‘เด็กสร้างบ้าน’ กลัวจะไปทำความเสียหายให้ที่บริษัท อีกอย่าง ฉันไม่ไว้ใจแม่ลูกคู่นี้ด้วย ไม่แน่อาจจะวางแผนร้ายอะไรกันอยู่”
“พี่ตีตนไปก่อนไข้หรือเปล่า” ปานภูมิหยั่งเชิง
“ใครจะไปรู้ ถ้าแม่นี่เกิดคิดจะทำอะไรขึ้นมาจริงๆ ใครจะรับผิดชอบกับความเสียหายที่จะเกิดขึ้น”
“อะ โอเค งั้นผมพอจะเห็นทางออกดีๆ ให้ทุกฝ่ายแล้ว” เขาดีดนิ้วดังเปาะหนึ่งที เหมือนทำหรือคิดอะไรที่ได้ดังใจสักอย่าง “อยู่ที่ทุกคนจะโอเคหรือเปล่า”
“แกคิดอะไรออกเจ้าเล็ก รีบว่ามาอย่าอ้อมค้อม” ปริญญ์เร่ง
“ลักษณ์” น้องชายหันไปเรียกหญิงสาวเพียงคนเดียวในที่นี้
“คุณเล็กจะให้ลักษณ์ทำอะไรคะ ?”
“อืม เธอเรียนจบบริหารการตลาดมานี่นะ” เหมือนเขาจะพึมพำกับตัวเองมากกว่าที่คิดจะถามจริงๆ “เธออยากทำงานที่บริษัทของคุณพ่อจริงๆ ใช่หรือเปล่า”
“ไม่ค่ะคุณเล็ก ลักษณ์ไม่ได้อยากทำเลย ยิ่งไม่อยากจะมีปัญหาอย่างตอนนี้สักนิด แต่ขัดคุณแม่กับคุณลุงไม่ได้จริงๆ” หญิงสาวบอกเสียงดังฟังชัด
“ข้ออ้างชัดๆ” ตรีศูลยังไม่ยอมง่ายๆ อะไรที่เขาเห็นว่าผิด ว่าไม่ดีไปแล้ว ย่อมเป็นอย่างนั้นเสมอ ไม่มีอะไรจะมาลบล้างไปได้
“ต่อให้ลักษณ์พูดหรือทำอะไรออกไปก็คงผิดอยู่ดี ต้องให้ลักษณ์กับแม่ทำยังไงหรือคะ คุณตรีถึงจะพอใจ ต้องให้เราออกไปเร่ร่อนข้างถนนเลยมั้ย คุณถึงจะมีความสุขได้”
“นั่นมันเป็นสิ่งที่เธอกับแม่ควรจะทำตั้งแต่แรกไม่ใช่หรือไง” คิดรึว่าแค่ไอ้หน้าใสๆ ตาแดงๆ และการทำตัวให้ดูน่าสงสารแบบที่เจ้าหล่อนกำลังทำอยู่ขณะนี้จะทำให้เขาเห็นใจ หรือเปลี่ยนความคิดได้ ฝันไปเถอะ !
หญิงสาวสูดลมหายใจแรงๆ เหมือนสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ มันหนักราวก้อนหินก้อนใหญ่ที่วางทับอยู่บนอก...
“ไม่หรอกค่ะ ลักษณ์กับแม่ไม่มีวันทำอย่างนั้นแน่ๆ ใครจะโง่ขนาดนั้นล่ะจริงมั้ยคะ ตอนนี้เรามีทุกอย่างแค่กระดิกนิ้วหรือเอ่ยปาก อยากจะได้อะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละค่ะ”
ตรีศูลกัดฟันแน่นจนกรามแทบแตก สายตาที่มองไปยังหญิงสาวยิ่งแสดงความเกลียดชังฝังใจเข้าไปอีก เพราะคำพูดของเจ้าหล่อนเมื่อครู่มันเหมือนเป็นการตอกย้ำว่าสิ่งที่เขาเข้าใจมาตลอด ไม่ผิดเลยสักนิด
“เอาอย่างนี้ดีกว่า ถ้าลักษณ์อยากจะสบาย และก็ไม่ต้องมีปัญหากับพี่ตรี มาควงกับพี่สักเดือนสองเดือนมั้ยล่ะ อย่างลักษณ์รับรองพี่จะประเคนให้หมดหน้าตักเลย” เป็นบุตรเห็นสถานะตึงเครียดเลยอยากจะหาเรื่องให้ทุกคนขำขันก็เท่านั้น แต่ถ้านารถลักษณ์ตกลงเขาก็ถือว่าเป็นลาภลอยไป เพราะคนอย่างนายเป็นบุตร ไม่ปฏิเสธผู้หญิงที่ทั้งสวยทั้งน่ารัก และแสนจะมีเสน่ห์อย่างนารถลักษณ์อยู่แล้ว
“กะล่อนให้มันดูเวลาหน่อยเจ้าสี่”
“แล้วเราจะเอายังไงล่ะ ฮึ” ปานภูมิหันไปเอาคำตอบจากหญิงสาว
“ถ้าอย่างนั้นลักษณ์ตัดสินใจทำงานค่ะคุณเล็ก ในเมื่อมีคนเขายินดีต้อนรับกันซะขนาดนี้ จะขัดศรัทธาได้ยังไง”
แม้จะรู้ว่านารถลักษณ์ประชด แต่เขาก็เห็นว่าทางนี้น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว
“ส่วนพี่ตรี ถ้าหากพี่กลัวว่ายายลักษณ์จะทำความเสียหาย และคิดไม่ซื่อกับบริษัท ทางเดียวที่จะทำให้พี่สบายใจที่สุดก็คงหนีไม่พ้นการที่ให้ยายลักษณ์อยู่ในสายตาพี่ตลอดเวลา โดยที่ให้ยายลักษณ์ไปเป็นผู้ช่วยพี่ตรีซะ”