Chapter 1
คนไร้มารยาท
เวทีโชว์ขนาดใหญ่ถูกเนรมิตให้สวยงามไปด้วยดอกไม้และแสงสีเสียง โซฟาสีเลือดนกหกที่นั่งถูกวางอยู่หน้าเวที ถัดไปเป็นเก้าอีกที่คลุมโดยผ้าสีขาวผูกโบสีทอง พนักงานสาวเดินตรวจสอบความเรียบร้อยจนทั่วงานก่อนที่แฟชั่นโชว์จะเริ่ม
แพรไหมที่อยู่หลังเวทีในชุดราตรีเกาะอกสีขาวที่มีระบายประดับด้วยกากเพชรตรงตัวเสื้อเพื่อโชว์หน้าอกขาวเนียน ส่วนล่างปล่อยชายให้ยาวลงมาเพียงหน้าขาในด้านหน้าเพื่อโชว์เรียวขาที่ยาวและสวยงาม ส่วนข้างหลังยาวถึงพื้นใส่ดูสง่างาม แพรไหมกำลังตรวจสอบความเรียบร้อยของตัวเองอยู่หน้ากระจก โดยมีนางแบบคนอื่น ๆ อยู่ด้วยกันอีก7คน
“ชื่อแพรใช่ไหม” แพรไหมหันกลับไปมองนางแบบลูกครึ่งตาสีฟ้าคนหนึ่งที่เข้ามาพูดคุยด้วยสำเนียงไทยแปร่ง ๆ
ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงเลือกมาคุยกับแพรไหม ก็เพราะคนอื่นเขาจับคู่สนทนากันไปหมดแล้วน่ะสิ คงมีแค่แพรไหมที่แยกตัวออกมายืนคนเดียวทำให้ถูกเป็นตัวเลือกสุดท้ายที่นางแบบลูกครึ่งตาสีฟ้าคนนี้เหลืออยู่
“ใช่ แล้วเธอชื่อไร” แพรไหมตอบรับแล้วถามกลับไปตามมารยาท
“ไอชื่อมิเชล ยินดีที่ได้รู้จัก”
แพรไหมมองมือที่ยื่นมาสักครู่แล้ว ส่งมือกลับไปจับเพื่อทักทาย
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”
“ยูรู้ไหมเปล่าว่าใครเดินชุดฟินาเล่”
“ไม่รู้สิ แต่เดี๋ยวถึงเวลาก็คงรู้เองแหละ” แพรไหมตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ
นางแบบที่ได้เดินชุดฟินาเล่ปิดงาน ที่ราคาชุดปาไปถึงหลักล้านก็ต้องมีห้องแต่งหน้าส่วนตัวอยู่แล้ว คงไม่มาปะปนกับนางแบบปลายแถวแบบเธอหรอก
“ยูดูเป็นคนไม่ค่อยสาระ...อื้ม...สาระอะไรนะไอ้ลืม เพื่อนไอมันสอนมาได้จำไม่ได้แล้ว” นางแบบลูกครึ่งทำท่าคิดถึงคำภาษาไทยที่เพื่อนตัวเองเคยสอนมา
แพรไหมถอนหายใจออกมา ไม่รู้ว่าควรจะมีน้ำใจช่วยตอบกลับประโยคที่ขาดหายไปหรือเปล่า หรือว่าแพรไหมควรจะปล่อยเบลอแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ดี แต่พอเห็นหน้าเพื่อนร่วมงานที่พยายามคิดไม่ตกก็รู้สึกสงสาร
“เธอจะพูดคำว่าสาระแนใช่ไหม”
“Yes คำนี้แหละที่เพื่อนไอสอนมา” นางแบบลูกครึ่งตาสีฟ้าทำท่าดีใจ ที่ในที่สุดก็รู้ประโยคที่ตัวเองลืมไปก่อนหน้านั้น
“เพื่อนคนนี้เธอเลิกคบไปเถอะนะ” แพรไหมแนะนำเพื่อนร่วมงานของตัวเองที่ทำหน้าสงสัยกลับมา
“ทำไมไอถึงต้องเลิกคบล่ะ”
“ช่างมันเถอะ ใกล้ถึงเวลาแล้วเธอไปเตรียมตัวได้แล้ว”
บางทีเวรกรรมก็อาจมาในรู้แบบเพื่อน แพรไหมคิดแบบนั้น...ฉะนั้นเราก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง ถ้าไม่อยากโดนลูกหลงไปด้วย
เมื่อสถานการณ์กลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้ง แพรไหมก็ยืนตั้งสมาธิเรียกกำลังใจให้ตัวเอง เพื่อรอเวลาขึ้นเดินแบบโชว์บนเวที
นางแบบหน้าสวยรูปร่างสูงโปร่งกำลังเดินเฉิดฉายอยู่บนเวทีโดยมีสปอตไลต์สาดส่องมาที่ตัวเอง ผมดำสลวยที่ถูกมัดเป็นหางม้าสะบัดไปมาตามเรียวขายาวที่ก้าวไปตามจังหวะเสียงดนตรี สายตาก็จับจ้องไปยังเบื้องหน้า แพรไหมเดินไปหยุดข้างหน้าเวทีสักครู่ เพื่อให้นักข่าวได้รัวชัตเตอร์ แล้วหันหลังเดินกลับไปทางหลังเวทีตามเดิม แต่ดันสวนกับร่างสูงของใครบางคนที่กำลังเดินขึ้นมา
น่านฟ้าอยู่ในชุดสูทสีขาวที่ตรงปกเสื้อถูกปักลวดลายวิจิตรสีทองอร่าม เส้นผมสีเข้มถูกเชตไปไว้ด้านหลัง ทำให้มองเห็นโครงหน้าหล่อชัดเจนยิ่งขึ้น ดาราหนุ่มชื่อดังเจ้าของฉายาเจ้าชายเวย์สันที่กำลังทำหน้าที่เป็นนางแบบสุดฮอตดูดีมากในค่ำคืนนี้
แม้ทั้งคู่จะเดินสวน จนร่างกายแทบจะแตะตัวกัน แต่น่านฟ้ากลับไม่มีท่าทีอะไรต่อแพรไหมเลย น่านฟ้าทำเหมือนแพรไหมไม่มีตัวตน....ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตั้งใจในการทำหน้าที่ หรือความอคติส่วนตัว ที่ทำให้คนสองคนที่กำลังจะแต่งงานอยู่แล้ว แต่กลับไม่เคยมีปฏิกิริยาตอบรับกันเลย
“คิดว่าใครจะสนกัน” แพรไหมที่เดินลงมาหลังเวทีแล้วก็ได้แต่พึมพำกับตัวเอง
เป็นคู่หมั้นกันมาสองปี ไม่เคยเจอกันเลยสักครั้ง แต่พอได้เจอกันที่บ้านคราวนั้น ก็ดูเหมือนว่าเส้นขนานที่ไม่สมควรมาบรรจบกันมันเริ่มจะโค้งเข้าหากันทีละนิดแล้วสิ...
เสียงปรบมือดังกึกก้องเมื่อแฟชั่นโชว์จบลง นางแบบทุกคนก็ขึ้นไปยืนบนเวทีอีกครั้ง เมื่อดีไซเนอร์ผู้เป็นคนออกแบบเสื้อผ้าทุกชุดบนตัวนางแบบทั้ง 9 คนเดินขึ้นมาบนเวที นายแบบที่เดินชุดฟินาเล่ก็เดินถือดอกกุหลาบช่อโตไปมอบให้
“ขอบคุณนะคะน่าน”
ดูเหมือนว่านายแบบหนุ่มหล่อในชุดฟินาเล่จะรู้จักดีไซเนอร์คนสวยเป็นการส่วนตัว เพราะเมื่อเจ้าหล่อนพูดขอบคุณจบ ก็ยื่นหน้าไปหอมแก้มนายแบบหนุ่มหล่อที่ไม่ได้มีท่าทีตกใจอะไร ซึ่งแบบนี้มันยิ่งเรียกเสียงฮือฮาและเสียงซัตเตอร์จากนักข่าวได้เป็นอย่างดี
“เหอะ ใครกันที่มันทำตัวไม่เหมาะสมกับการเป็นเจ้าบ่าว กำลังจะแต่งงานอยู่แล้วแท้ ๆ ยังไปยืนให้ผู้หญิงหอมแก้มอีก” แพรไหมที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ด้านหลังได้แต่บ่นเบา ๆ กับตัวเอง
“เมื่อกี้ยูพูดว่าอะไรนะ ไอฟังไม่ถนัด” นางแบบสาวลูกครึ่งถามกลับไปที่แพรไหม
“เปล่า ฉันไม่ได้พูดกับเธอ”
เมื่อได้ยินคำปฏิเสธจากนางแบบหน้าสวยที่พึ่งรู้จัก มิเชลก็ทำหน้างงหนักกว่าเดิม ก็ในเมื่อยืนอยู่ข้างกัน ถ้าไม่ได้พูดกับเธอแล้วพูดกับใครล่ะ?
แพรไหมยืนเก็บของอยู่หลังเวทีจนเหลือคนสุดท้าย นางแบบคนสวยกำลังมองหาแว่นสายตาของตัวเอง ที่ไม่รู้ว่าไปเผลอวางทิ้งไว้ตรงไหน แพรไหมเป็นคนสายตาสั้นมาก ถึงขนาดกับต้องพกแว่นตาติดตัว แต่เมื่อออกไปข้างนอก จะเปลี่ยนมาใส่คอนแทคต์เลนส์ แทนเพื่อส่งเสริมบุคลิกภาพ แต่วันนี้เจ้าตัวใส่คอนแทคต์เลนส์มาทั้งวันจนเกิดการระคายเคือง แล้วทำให้ต้องเปลี่ยนมาใส่แว่นแทน
แต่ปัญหามันอยู่ที่แว่นตาเธอมันหายไปไหน ถ้าไม่มีแว่นตา แล้วจะขับรถกับคอนโดยังไงเนี่ยยย....ซุ่มซ่ามจริง ๆ เลยนะแพรไหม
“หานี่อยู่หรือเปล่า”
แพรไหมมองไปที่ร่างสูงคนหนึ่งที่ยื่นถืออะไรสักอย่างอยู่ในมือตรงหน้าประตูทางออก ถ้าจำไม่ผิด นั่นมันกล่องแว่นตาของแพรไหมเอง ในที่สุดพระเจ้าก็ยังไม่ทอดทิ้งลูก
“ของฉันเองครับ ขอบคุณนะคะ”
แพรไหมเดินเข้าไปหาผู้มีพระคุณ แต่เมื่อภาพตรงหน้าเริ่มชัดจากระยะที่ใกล้ขึ้น ทำให้แพรไหมต้องหยุดอยู่กับที่
คุณน่านฟ้าอีกแล้วเหรอ...พระเจ้าขา..โปรดทอดทิ้งลูกไปทีเถอะ ลูกไม่ต้องการแว่นตาแล้ว ลูกมีเงินโบกแท็กซี่กลับเอง
“ไม่เอาหรือไงผมเจอมันวางทิ้งอยู่บนเคาน์เตอร์อ่างล้างมือในห้องน้ำ ไม่คิดว่าจะเป็นของคุณเหมือนกัน”
แพรไหมนึกย้อนกลับไปตอนที่ถอดแว่นตาใส่คอนแทคต์เลนส์ในห้องน้ำ ใช่...ต้องใช่แน่ ๆ ทำไมถึงสะเพร่าแบบนี้นะ
“ถ้าคุณไม่เอา ผมจะทิ้งลงถังขยะแล้วนะ” น่านฟ้ายื่นกล่องแว่นตาไปตรงถังขยะสีดำ
“ดะ...เดี๋ยว เอาค่ะเอา...ฉันขอแว่นตาคืนด้วยนะคะ”
แพรไหมได้แต่โมโหอยู่ในใจ ที่ทำอะไรคนไร้มารยาทตรงหน้าไม่ได้เลย มีอย่างที่ไหน เก็บของคนอื่นได้แล้วจะเอาไปทิ้งต่อหน้าเจ้าของ นิสัยไม่เห็นดีเหมือนหน้าตาเลย
“เดินมาเอาสิ”
แพรไหมเดินไปหาน่านฟ้าอย่างว่าง่าย เพราะขี้เกียจมีปากเสียงกับคนแบบนี้ ถึงเถียงไปยังไงก็แพ้อยู่ดี
“ขอแว่นตาของฉันคืนด้วยค่ะ” แพรไหมยื่นมือไปตรงหน้าน่านฟ้าเพื่อต้องการขอแว่นตาคืน
“อยากได้เหรอ มีอะไรมาแลกเปลี่ยนหรือเปล่าล่ะ”
น่านฟ้าโยนกล่องแว่นตาในมือเล่น แล้วเหยียดยิ้มมุมปากมองแพรไหมที่สูงถึง 175 เซนติเมตร แต่เมื่อเทียบกับน่านฟ้า แพรไหมก็ดูตัวเล็กไปในทันที เพราะน่านฟ้าสูงถึง 185 เซนติเมตร เอาเป็นว่าหลาย ๆ คนต้องเงยหน้าคุยกับน่านฟ้าเลยทีเดียว
“แต่นั่นมันของฉันไงคะ คุณไม่มีสิทธิ์มาเรียกร้องอะไร”
แพรไหมเริ่มชักจะโมโหน่านฟ้าเข้าไปทุกที ทำไมไม่รีบคืนของแล้วแยกย้ายกลับบ้านกันให้จบ ๆ ไป รู้สึกเหนียวตัวเป็นบ้า...แพรไหมอยากกลับไปแช่น้ำในอ่างจะแย่แล้ว
“ถ้าไม่มีอะไรมาแลกเปลี่ยน งั้นก็ไม่ต้องเอา”
“คุณน่านฟ้า” แพรไหมร้องขึ้นมาอย่างตกใจ เมื่อน่านฟ้าโยนแว่นตาของตัวเองลงถังขยะจริง ๆ ยังไม่ทันที่จะเงยหน้าขึ้นมาด่า น่านฟ้าก็เดินหนีไปแล้ว
“จำเอาไว้เลยนะคุณ หลังจากนี้ฉันกับคุณเราเป็นศัตรูกัน”
ทั้งโกรธทั้งโมโห ตอนนี้แพรไหมอยากจะบีบคอใครสักคนให้แหลกคามือ และคนคนนั้นก็คือน่านฟ้า เวย์สัน ผู้ชายที่ทั้งนิสัยเสียและไร้มารยาทที่สุดเท่าที่แพรไหมเคยเจอมา
แพรไหมกลับมาถึงคอนโดของตัวเองด้วยความอ่อนเพลีย เหนื่อยกายไม่ว่าแต่เหนื่อยใจนี่สิ คนอื่น ๆ เวรกรรมมาในรูปแบบไหนไม่รู้ แต่สำหรับแพรไหม คงมาในรูปแบบของ น่านฟ้า เวย์สัน...
อยากทิ้งตัวนอนจัง...แต่ถ้าไม่ได้อาบน้ำก่อน ก็นอนไม่หลับอยู่ดี เฮ้อ
แพรไหมโยนกระเป๋าสะพายไว้บนเตียง แล้วถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้นในขณะที่เดินเข้าห้องน้ำไปด้วย
ร่างกายขาวเนียนราวกับน้ำนม กำลังถูกมือบางลูบไล้ไปมาทั่วทุกซอกทุกมุม แพรไหมเป็นคนรักความสะอาดกับร่างกายตัวเองมากที่สุด ทั้งอาบ ทั้งถู ทั้งสรรหาครีมสารพัดที่ดีที่สุดกับตัวเองมาบำรุงร่างกาย ตอนเด็ก ๆ แพรไหมไม่เข้าใจนักว่า ทำไมคุณแม่ถึงต้องทานู้นนี่ให้เธอทุกครั้งที่อาบน้ำเสร็จ เธอไม่ชอบผิวขาว ๆ ของตัวเอง ไม่ชอบร่างกายที่อ้อนแอ้นเอวบางร่างน้อยของตัวเอง เพราะมันดูอ่อนแอ แต่ตอนนี้แพรไหมต้องขอบคุณคุณแม่ เพราะทุกวันนี้แพรไหมใช้รูปร่างและใบหน้าพวกนี้ในการทำมาหากิน ทุกสิ่งอย่าง แพรไหมได้มาจากคุณแม่จนเกือบหมด มีเพียงส่วนสูงกับผมสีดำสนิทเท่านั้น ที่ได้รับมาจากคุณพ่อ
และอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่คุณแม่คอยดูแลแพรไหมมาโดยตลอด เพราะแพรไหมเป็นผู้หญิง และคุณแม่ถือมากเรื่องการชิงสุกก่อนห่ามมาก คุณแม่มองว่าคืนเข้าหอ ควรเป็นคืนที่เราควรจะมอบกายมอบใจให้คนที่จะมาเป็นคู่ชีวิตเท่านั้น ทำให้แพรไหมยอมครองโสดและไม่เคยมีอะไรกับใครมาก่อน ส่วนหนึ่งก็เพราะกลัวการไม่แน่นอนในชีวิต แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไปเทคโนโลยีมีการพัฒนามากขึ้น ทุกคนยอมรับการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน เราสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ด้วยการสวมใส่ถุงยางอนามัย การกินยาคุม หรือแม้กระทั่งฝังเข็มในร่างกาย แต่นั่นมันก็ไม่ได้ป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทางเดียวที่แพรไหมทำได้คือต้องไม่คบและไม่มีเซ็กซ์กับใครเด็ดขาด หากยังไม่แน่ใจว่าจะแต่งงานกับคนคนนั้นจริงๆ
แต่ตอนนี้แพรไหมมีคู่หมั้นที่ต้องแต่งงานกันในอีกสองเดือนข้างหน้าแล้ว แต่ก็นะ...แพรไหมกับคุณน่านฟ้า เราไม่ได้ชอบหรือรักกันสักหน่อย ออกจะเกลียดขี้หน้ากันด้วยซ้ำ งั้นก็ตัดปัญหาเรื่องการมีเซ็กซ์ไปได้เลย....