คะนิ้งรีบกลับมาที่บ้านหลังจากที่ได้ยินเรื่องของคีตะกับขมิ้นจากอรดา แต่ตอนนี้วสันต์ยังไม่รู้เรื่องเพราะต้องการให้คีตะบอกด้วยตัวเอง
ส่วนคีรินที่คาดเดาเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจสักเท่าไร
“แม่กับพี่คะนิ้งรู้เรื่องแล้วเหรอคะ” เธอเอ่ยถามแม่กับคะนิ้งอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“อืม แต่พี่ก็คิดเอาไว้อยู่แล้วล่ะ”
“แล้วทำไมพี่คะนิ้งถึงคิดไว้ล่ะคะ”
“เอาหน่า พี่เข้าใจทุกอย่างแล้วกัน”
“ค่ะ”
อาหารมื้อเย็นวันนี้ไม่ต้องคอยเก้ออีกต่อไป ทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาทานมื้อเย็นด้วยกัน โดยมีวสันต์เพียงคนเดียวที่ยังไม่ได้รู้เรื่องของคีตะกับขมิ้น
“สรุปแกมีเรื่องอะไร มัวแต่ชักช้าอยู่นั่นแหละ”
“ผม...”
“อะไร ก็พูดมาสิ”
“ผมจะแต่งงานกับขมิ้น”
“หา!!!” ทุกคนบนโต๊ะต่างก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ ยกเว้นเสียแต่คีตะกับวสันต์นั่งจ้องหน้ากันอยู่
ขมิ้นเองก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะพูดถึงเรื่องแต่งงานเลย เธอยังไม่ได้ตอบตกลงเลยสักคำ
“จะสารภาพว่าที่ผ่านมาไม่ทำตามคำสั่งของฉันใช่ไหม”
“ก็ประมาณนั้นครับ”
“คำสั่งของฉันมันไม่มีความหมายสำหรับแกเลยสินะ”
“ผมทำตามพ่อทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องนี้ ผมเป็นคนดูแล ทำไมผมต้องทำตามที่พ่อสั่งด้วย”
“เฮ่อ~ ไอ้ลูกเวรเอ้ย” วสันต์สบถด่าลูกชาย ก่อนจะหันมามองขมิ้นที่กลัวจนต้องก้มหน้าหนี
“ฉันเห็นแก่ขมิ้นแล้วกัน ฉันจะไม่ห้าม แต่ถ้าแกทำให้ขมิ้นเสียใจ ทำนิสัยเจ้าชู้ ฉันจะไม่ให้แกมายุ่งกับขมิ้นอีกเลย”
“แต่เรื่องแต่งงานขมิ้นยังไม่แต่งนะคะ”
“ตามนั้น ขมิ้นว่ายังไง พ่อก็ว่าอย่างงั้นแหละ” วสันต์เคารพการตัดสินใจของขมิ้น และยกการตัดสินใจเรื่องนี้ให้กับขมิ้นทั้งหมด
สถานการณ์ที่คาดว่าจะตึงเครียดก็คลายลงอย่างรวดเร็ว เพราะวสันต์ก็รู้จักนิสัยของลูกชายเป็นอย่างดี ที่เหลือก็ยกให้ขมิ้นเป็นคนคิดและตัดสินใจเอาเอง เขาไม่มีสิทธิ์พูด
“ถ้างั้นผมขอตัวพาขมิ้นกลับก่อนนะครับ” หลังจากที่ได้ทานข้าวและพูดคุยทุกเรื่องกันจนเรียบร้อย ก็เกือบจะสามทุ่มแล้ว แต่เพราะขมิ้นคะยั้นคะยอที่จะกลับคอนโดให้ได้วันนี้ จึงต้องพาเธอกลับ
“อ้าว ไม่นานที่บ้านต่ออีกสักคืนเหรอ”
“คงไม่ได้หรอกค่ะ หนูต้องกลับไปทำงานด้วย”
“ตามใจนะ อย่าลืมแวะมาหาพ่อกับแม่ด้วยล่ะ”
“ค่ะ เดี๋ยวหนูจะแวะมาหาบ่อยๆ เลยค่ะ” เธอเอ่ยอยากเอาใจพ่อแม่
คีตะโทรเรียกคนขับรถให้มารับเขากับขมิ้นแทนที่จะขับไปเอง เพราะช่วงนี้เหมือนว่ามีคนจ้องจะเล่นงานเขาอยู่ ต้องให้ลูกน้องคอยคุ้มกันไปตลอดทาง
กว่าจะกลับมาถึงคอนโดหนังตาทั้งสองข้างของเธอก็แทบจะปิดแล้ว ทั้งง่วงทั้งเหนื่อยแต่ตลอดวันก็ไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากนอน นอนเยอะเสียยิ่งกว่าคีตะที่ถูกแทงมาอีก
“เมื่อเช้าพี่โทรลางานกับหัวหน้าให้หนูเหรอ”
“ใช่”
“แล้วเขาจำเสียงพี่ได้ไหม”
“ไม่หรอก แต่น่าจะโกรธน่าดูที่เธอลางานกะทันหัน”
“แต่ก็น่าโกรธจริงๆ นั่นแหละ หนูเป็นฝ่ายผิดนะ” ขมิ้นไม่ปฏิเสธว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของเธอ หากจะโดนต่อว่าก็ไม่แปลก
“ถ้าโดนไล่ออกก็เปลี่ยนตำแหน่งมาทำงานเป็นภรรยาของรองประธานบริษัทเลยดีไหม”
“พอเลยค่ะ หนูเพิ่งเรียนจบได้ไม่กี่เดือนเองนะ”
“ก็บอกกับหัวหน้าเองเลยไม่ใช่เหรอ ว่ามี ‘ผัว’ แล้ว”
“อันนั้นหนูแค่หมั่นไส้เลยพูดไปแบบนั้น”
“แต่เธอก็มีผัวแล้วจริงๆ เพราะฉะนั้นห้ามให้ผู้ชายคนไหนมายุ่มย่ามจนเกินควร เข้าใจไหม” คีตะเน้นย้ำ พลางดึงคนตัวเล็กเข้ามากอดจนจมอก
“เข้าใจแล้วค่ะ” เธอรีบตอบและหนีกลับไปนอนที่ห้องนอนของตัวเอง แทนที่จะนอนกับคีตะเหมือนทุกครั้ง
คีตะไม่ยอมแพ้รีบย้ายตัวเองไปนั่งรอขมิ้นในห้องของหญิงสาว เนื่องจากแผลห้ามโดนน้ำจึงอาบน้ำเองไม่ได้
“พี่คีตะเข้ามาทำไมคะ”
“เช็ดตัวให้ฉันหน่อยสิ ฉันเป็นแผลอยู่ อาบน้ำไม่ได้”
“แต่แขนก็ไม่ได้เจ็บสักหน่อย เช็ดตัวเองก็ได้ค่ะ”
“แต่ถ้าทำเอง ฉันก็เจ็บเวลาขยับ”
“ก็ได้ค่ะ” ขมิ้นหยิบผ้าชุบน้ำอุ่นช่วยเช็ดตัวให้กับเขา ในขณะที่เขาเอาแต่ก่อกวนเธออยู่ตลอดเวลา หอมแก้มบ้าง จับแก้มเธอบ้าง แล้วยังฉวยโอกาสจูบเธออีก
“ถ้าไม่หยุด หนูจะไม่ให้นอนด้วยแล้วนะ”
“คิดว่าห้ามฉันได้เหรอ”
“ได้ไม่ได้ จะลองดูไหมล่ะ” คีตะหยุดนิ่งให้ขมิ้นเช็ดตัวเขาได้ง่ายขึ้นจนเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เขาจึงกลับมาก่อกวนคนตัวเล็กต่อ
ความง่วงเข้าโจมตีขมิ้นทำให้เธอผล็อยหลับไปในชั่วพริบตา ขณะที่คีตะยังคงเป็นฝ่ายนอนหลับทีหลังอีกตามเคย เขาต้องหยุดพักรักคะนิ้งตัวอีกสักพักจึงจะกลับไปทำงานได้ตามปกติ
แม้ว่าศัตรูจะหายเงียบไปนานเกือบสี่ปี แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้พวกนั้นอาจจะกลับมาอีกครั้งและหมายที่จะเอาชีวิตของเขา เพราะเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกนั้นต้องประสบกับปัญหาความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่คีรินเคยเข้าไปแทรกแซง