“พี่คีตะ... นั่นใครคะ” คะนิ้ง น้องสาวคนเล็กที่กำลังนั่งรอพี่ชายอย่างใจจดใจจ่อรีบพุ่งเข้าไปด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะพบว่าคีตะอุ้มร่างของผู้หญิงคนหนึ่งมาด้วย
“พี่ก็ไม่รู้ แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ทำให้เข้าไปช่วยคีรินได้เอาไว้ได้ทัน พี่ก็เลยพามาด้วย”
“แต่ทำไมเธอถึงมีรอยแผลเยอะขนาดนี้ล่ะคะ ไม่ใช่ว่าไปโดนใครทำร้ายมาเหรอคะเนี่ย”
“ก็น่าจะใช่นะ งั้นพี่ฝากเธอช่วยจัดการให้หน่อยนะ”
“ได้ค่ะ แต่จะพาเธอไปไว้ห้องไหนล่ะคะ” ตอนนี้ทุกห้องในบ้านก็มีคนอยู่ครบ ห้องรับแขกก็ไม่ได้ทำความสะอาดเอาไว้คงจะมีแต่ฝุ่นเต็มไปหมด
“ห้องพี่ก็ได้”
“หา! เอางั้นเหรอคะ?” คะนิ้งเผลอส่งเสียงร้องตกใจออกมาอย่างลืมตัว ปกติแล้วคีตะไม่ใช่คนที่จะยอมให้มานอนในห้องตัวเองง่ายๆ แบบนี้แน่นอน
“อืม”
คะนิ้งไม่เซ้าซี้รีบเดินตามคีตะไปด้านบน พลางตรวจดูอาการของหญิงสาวที่หมดสติไป
“พี่คีตะออกไปรอข้างนอกก่อนนะคะ เดี๋ยวคะนิ้งจะเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เธอก่อน”
“อืม”
“แล้วคืนนี้พี่คีตะจะนอนที่บ้านไหมคะ”
“อืม พี่จะนอนที่นี่ เดี๋ยวนอนที่โซฟาก็ได้”
“ค่ะ” คีตะออกไปอยู่ด้านนอก
ขณะที่คะนิ้งเช็ดเนื้อตัวที่เปื้อนมอมแมมออกจนเผยให้เห็นบาดแผลอีกหลายจุดที่มองไม่เห็นและอยู่ใต้ร่มผ้า
สายตาของคะนิ้งเต็มไปด้วยความสงสารและสงสัย ผู้หญิงบอบบางคนหนึ่งถูกทำร้ายได้มากถึงขนาดนี้ได้ยังไงกัน
คะนิ้งค่อยๆ เช็ดตัว ทำแผล และเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับหญิงสาวจนเสร็จ จึงออกมาหาพี่ชายที่รออยู่ด้านนอก
“เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ แต่คืนนี้อาจจะมีไข้ ยังไงพี่คีตะก็ไปเรียกคะนิ้งแล้วกันนะคะ”
“ขอบคุณนะ คะนิ้งไปพักเถอะ”
“ค่ะ” คะนิ้งรีบกลับไปพักผ่อนเพราะตอนนี้ก็เที่ยงคืนกว่าแล้ว พรุ่งนี้เธอต้องไปเข้าเวรที่โรงพยาบาลต่ออีก
คีตะกลับเข้ามาในห้องนอนของตัวเองที่มีหญิงสาวนอนอยู่บนเตียง แม้จะสงสัยในตัวตนของผู้หญิงตรงหน้าแค่ไหน แต่เขากลับรู้สึกถูกชะตากับผู้หญิงคนนี้อย่างบอกไม่ถูก
- วันต่อมา –
หญิงสาวที่สลบไปตั้งแต่เมื่อวานเพิ่งจะได้สติและรู้สึกตัวขึ้น ทันทีที่มองไปรอบๆ จึงพบว่าที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลก็สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
ท่าทางแปลกๆ ของเธอตกอยู่ในสายตาของคีตะที่ยืนมองมาจากอีกฝั่งของห้องทั้งหมด
“ฟื้นแล้วสินะ”
“คุณพาหนูมาที่ไหนคะ”
“บ้านของฉัน”
“หา! คุณคงไม่ได้คิดจะทำอะไรหนูหรอกใช่ไหม”
“ฉันไม่คิดอะไรแบบนั้นหรอกน่ะ ตัวสกปรกอย่างกับหมาจรจัด”
ขมิ้นถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้ฟังประโยคสุดท้ายที่เขาพูด นี่เขาเปรียบเปรยเธอเป็นหมาจรจัดเลยเหรอ ถึงตัวเธอจะสกปรกมอมแมมไปหมด แต่ก็ไม่ได้เหมือนหมาจรจัดเลยสักนิด
“รีบลุกออกไปซะ ฉันจะนอน”
“คะ... ค่ะ” ขมิ้นรีบเด้งตัวลุกออกจากเตียงและออกมานอกห้องทันที
แล้วจะไปอยู่ไหน?
เธอยืนนิ่งที่หน้าห้องก่อนจะหันมองไปรอบด้วยความงุนงง
“ฟื้นแล้วเหรอ เป็นยังไงบ้าง” จู่ๆ ก็มีผู้หญิงโผล่เข้ามาถามเธอ พร้อมกับยกมือขึ้นมาทาบบนหน้าผากของเธอ
“หนูไม่เป็นไรแล้วค่ะ”
“แล้วพี่คีตะล่ะ”
“คีตะ?”
“คนที่พาเธอมาไง” คะนิ้งรีบอธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ
“นอนอยู่ในห้องค่ะ”
“แล้วเธอจะไปไหนต่อเหรอ”
“ยังไม่รู้เหมือนกันคะ หนูมีเงินติดตัวมาแค่นี้ แล้วก็หนูไม่มีบ้านด้วยค่ะ”
“ถ้างั้นก็อยู่ที่นี่สิ ทำงานเป็นแม่บ้านที่นี่ก็ได้”
“ได้เหรอคะ” ขมิ้นรีบถามซ้ำด้วยความดีใจ ก่อนที่จะต้องเก็บความดีใจเอาไว้ เมื่อเสียงดุดังขึ้น
“ไม่ได้”
“ทำไมล่ะคะพี่คีตะ”
“เดี๋ยวพี่จัดการเอง คะนิ้งไปทำงานเถอะ”
“ค่ะ แต่ว่าห้ามไล่เธอไปไหนนะคะ” คะนิ้งไม่ลืมที่จะสั่งพี่ชายและรีบออกไปเพราะใกล้จะถึงเวลาเข้าเวรแล้ว
“ถ้าคุณไม่อนุญาต หนูไปก็ได้นะคะ”
“ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น แต่เธอต้องมาทำงานเป็นผู้ช่วยของฉัน”
“ใช่ ผู้ช่วย แบบคนอื่นๆ เมื่อวานไง”
“หา! มะ ไม่เอาดีกว่าค่ะ”
“แต่เงินเดือนดีนะ ฉันให้เดือนละสองแสน”
“สองแสน!” ดวงตาทั้งสองข้างของขมิ้นเบิกกว้างจนเกือบจะเท่าไข่ห่าน
“ตกลงไหม”
“ตกลงค่ะ” เงินเดือนเยอะมากขนาดนี้ เธอจะยอมเสียไปได้ยังไงกัน ชีวิตเธอไม่มีอะไรต้องเสียอยู่แล้ว
“ถ้างั้นก็ตามฉันมา” ขมิ้นรีบเดินตามเขาไปอย่างไม่ลังเล จากที่ดูสีหน้าและท่าทางของคีตะแล้ว เขาคงไม่มีทางมีพิศวาสเด็กหมาจรจัดอย่างเธอหรอก
“เดี๋ยวนะ ฉันลืมถามไป”
“อะไรเหรอคะ”
“เธอชื่ออะไร อายุเท่าไหร่”
“ชื่อ ขมิ้น ค่ะ เดือนหน้าอายุจะครบสิบแปดค่ะ” คีตะมีสีหน้าหนักใจเล็กน้อย หลังจากที่รู้อายุของหญิงสาวตรงหน้าก่อจะพยักหน้ารับ
“อืม”
“แล้วคุณจะพาหนูไปไหนเหรอคะ”
“ที่ที่เธอจะได้อยู่ไม่ใช่ที่นี่ แต่เป็นบ้านหลังโน้น” นิ้วของเขาชี้ไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำที่มีบ้านหลังหนึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน และมีสนามยิงปืนด้วย
“ค่ะ”
“แต่ช่วงนี้เธออยู่ที่นี่ไปก่อนก็ได้ ช่วยงานคะนิ้งไป” คีตะมองว่าขมิ้นยังเด็กเกินกว่าที่จะเริ่มเรียนรู้งานทุกอย่างในตอนนี้ อาจจะต้องรอให้อายุเกินสิบแปดปีก่อน เขาถึงจะสอนทุกอย่างให้เธอได้อย่างสบายใจขึ้น
ขณะเดียวกันขมิ้นก็ดีใจที่ตัวเองมีคนช่วยเหลืออีกทั้งยังให้ที่พักและเงินเดือนที่มากถึงขนาดนี้ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการเสี่ยงอันตรายด้วยเช่นกัน