เมื่อถึงเวลาต้องไปตักบาตร ผู้จัดการจากบริษัทออร์แกไนเซอร์ก็เข้ามาบอกอีกรอบว่าจะต้องทำยังไง อาภาภัทรยอมยื่นมือบางไปให้คนเป็นเจ้าบ่าวช่วย เมื่อเขาหันมาหาแล้วยิ้มตามคำบอกของตากล้อง
ก่อนจะพาตรงไปยังบาตรพระที่ตั้งไว้บนโต๊ะ คำแม่ก้องอยู่ในหูไม่รู้หาย ถ้าเป็นปกติก็คงจะรีบคว้าทัพพีมาครองไว้แล้ว ด้วยรู้ว่าเขาคงจะยินยอมให้ทำแบบนั้นอย่างเต็มอกเต็มใจ แต่ตอนนี้เขาหรือจะยอม
“อุ๊ย! เจ้าบ่าวน่ารักจังเลย ดูสิ! ยอมเจ้าสาวตั้งแต่วันแรกเชียวนะ”
เสียงใครบางคนดังมา เมื่อมือบางถูกเขาจับไปทาบทับมือของเขาที่จับด้ามทัพพีอยู่ก่อนแล้ว แม่ที่ยืนอยู่ไม่ห่างก็ยิ้มให้อย่างพึงพอใจเมื่อมองไปหา ผู้จัดการออร์แกไนเซอร์ก็มากระซิบตรงหน้าเบาๆ
“คุณดรณ์กับคุณเวต้องยิ้มให้กล้องบ่อยๆ นะครับ ภาพจะได้ออกมาสวยๆ จำไว้นะครับว่างานแต่งมีแค่ครั้งเดียว เหนื่อยยังไงก็ต้องยิ้มไว้ครับ วันข้างหน้าถ้าลูกๆ ดูรูปจะได้ชื่นใจไงครับ”
อาภาภัทรไม่เอ่ยอะไร แต่เลือกที่จะยิ้มบางๆ แม้ไม่แน่ใจว่าเจ้าบ่าวจะทำตามมากน้อยแค่ไหน ด้วยไม่คิดจะหันไปมอง เพราะมีความขุ่นเคืองอยู่ในใจมากมาย จากนั้นก็ตักข้าวใส่บาตรไปเรื่อยๆ จนครบ แล้วถูกสั่งให้เดินคู่กับเขาไปถวายอาหาร
พระสงฆ์รูปแรกนั้นคือพระวิโมจโย หรือที่เขากับลุงของเขามักจะเรียกจนติดปากว่า ‘หลวงพ่อ’ ซึ่งในอดีตนั้น ท่านคือเจ้าสัวอุดมเดช เดชาโชติช่วงพ่อของเขา เธอเองก็เพิ่งเคยเห็นหน้าเป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกนั้นเขาพาบินไปหาท่านที่วัดป่าในจังหวัดอุดรธานี
หลังจากหมั้นกันได้ไม่กี่วัน ก่อนไปเขาบอกเธอกับทุกคนในบ้าน ว่าพ่อวางมือจากธุรกิจแล้วหันหน้าเข้าหาร่มกาสาวพัสตร์นานแล้วแค่นั้น เสร็จก็ถูกเขาจูงมือกลับไปนั่งรอรับศีลรับพร
จากนั้นก็ถูกทีมงานพาไปนั่งลงกับพื้นจนพรหมหรูหราราคาแพง เบื้องหน้ามีพานแหวนกับพานสินสอดของหมั้นเรียงรายหลายรายการ อาภาภัทรยื่นมือบางข้างซ้ายให้เขา
เมื่อตรงตามฤกษ์ที่พระท่านให้มาแล้ว หลังจากแหวนเพชรน้ำงามห้ากะรัตครอบครองนิ้วนางข้างซ้ายไว้ ก็ก้มกราบแทบตักเขา ตามคำของทีมงานบอกไว้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“หอมแก้มเจ้าสาวหน่อยครับคุณดรณ์”
เป็นคำเรียกร้องจากตากล้อง ซึ่งคนเป็นเจ้าบ่าวก็จัดให้แบบไม่ขัด ด้วยการยื่นจมูกโด่งเป็นสันไปหาแก้มนุ่มแล้วจ่อไว้จนตากล้องกดชัตเตอร์อย่างหนำใจ พอๆ กับตอนไปถ่ายรูปร่วมกับญาติพี่น้องและแขกทุกคน
เอวคอดก็มักจะมีแขนของเขาคอยโอบไว้ ใบหน้าของเขานั้นก็ยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น นั่นทำให้อาภาภัทรรู้สึกอัศจรรย์ใจยิ่ง และพยายามทำอย่างนั้นเช่นกัน
“คุณดรณ์กับคุณเวทานมื้อเช้าเลยนะคะ เสร็จแล้วต้องรีบไปนั่งบนตั่งค่ะ ถ้าช้าจะไม่ทันฤกษ์นะคะ”
ทีมจัดงานบอกตอนยกสำรับอาหารมาให้ อาภาภัทรไม่รู้สึกหิวสักนิด จะด้วยเพราะเสียใจในความผันผวนของโชคชะตาหรือเพราะตื่นเต้นก็ไม่ทราบได้ แต่ก็พยายามยกกาแฟขึ้นจิบกับตักข้าวต้มเข้าปาก แม้จะได้ไม่กี่คำก็ตาม
“ถ้าอิ่มแล้วเชิญเลยครับ”
อาภาภัทรเดินตามมือเขาไปยังตั่งเพื่อเตรียมรดน้ำสังข์ ไม่กี่นาทีต่อมา หน้าผากเขาก็ถูกหลวงพ่อเจิมแป้งให้สามจุด พอถึงคราวที่จะเจิมเจ้าสาวนั้น ท่านก็จับมือเจ้าบ่าวเอาไปจุ่มถ้วยแป้ง แล้วจับไปเจิมลงหน้าผากขาวแทน ปากก็ท่องคาถาอะไรสักอย่างที่ไม่มีทางรู้ว่าเป็นบทสวดบทไหน รู้แต่ว่าท่านคงกำลังให้พร
ชั่วขณะนั้นเองน้ำตาก็ไหลพรากออกมา ด้วยคิดว่าตัวเองจะมีความสุขมากแค่ไหน ถ้าไม่มีเรื่องขัดเคืองกันมาก่อน อีกใจก็อยากให้เรื่องเมื่อวาน กับงานแต่งงนี้เป็นแค่ความฝัน
แถมยังเป็นฝันร้ายที่สุดในชีวิต แต่อีกใจก็อยากให้เป็นความจริง เพราะจะได้เอาเงินค่าสินสอดไปกอบกู้สถานการณ์ของครอบครัว ให้รอดพ้นวิกฤตที่ต้องเผชิญมานานสักที
“ไม่ทันไรร้องไห้ซะแล้วลูกสาวแม่ ช่างอยู่ไหนคะ มาช่วยทีค่ะ เดี๋ยวจะถ่ายรูปไม่สวยนะลูก”
อาภาภัทรยิ้มให้แม่ด้วยความรู้สึกผิด แม้บอกตัวเองไม่ให้ร้องแล้วแต่ก็ยังไม่วาย จากนั้นช่างที่คอยอยู่ไม่ห่างก็เข้ามาซับน้ำตาให้ พร้อมกับตรวจความเรียบร้อยบนใบหน้าอย่างห่วงใย ก่อนจะถอยออกไปให้หลวงพ่อรดน้ำสังข์ก่อนทุกคน ต่อไปเป็นยาย ส่วนแม่นั้นอยู่ด้านหลัง
“พ่อดีใจที่ลูกมีวันนี้สักที นี่คือผู้หญิงที่เกิดมาเป็นคู่ครองของลูก จงดูแลและรักษาเอาไว้ให้ดี แล้วชีวิตลูกจะมีแต่ความสุข มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป”
อีกครั้งที่อาภาภัทรห้ามน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ เมื่อได้ยินคำอวยพรจากหลวงพ่อให้ลูกชายเพียงคนเดียวของท่าน ซึ่งเป็นถ้อยคำเดียวกับวันที่ไปกราบท่านที่วัด ท่านขอวันเดือนปีเกิดแล้วผูกดวงให้ในตอนนั้น แล้วท่านก็เอ่ยประโยคนี้มา พร้อมกับให้ฤกษ์แต่งมาด้วย แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไงกัน ในเมื่อเขาเปลี่ยนไปแทบจะเป็นคนละคนขนาดนี้
อาภาภัทรเงยหน้าขึ้นมองหลวงพ่อเมื่อท่านเดินมาหยุดยืนตรงหน้า น้ำตานั้นก็ไหลรินไม่ขาดสาย ด้วยเสียใจเหลือเกินที่หลังแต่งงานแค่ปีเดียว ตัวเองกับลูกชายของท่าน ก็จะหย่าขาดจากกันตามสัญญาแล้ว ท่านยืนมองแล้วยิ้มมาให้ เป็นยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดีปรีดาและหมดห่วงโดยแท้
“พ่อฝากลูกชายคนเดียวไว้กับหนูด้วยนะ หนักนิดเบาหน่อยก็ให้อภัยกัน อยู่ด้วยกันบนพื้นฐานของความรักความเข้าใจ ไม่มีใครไม่เคยทำอะไรผิดพลาดมาก่อน สำคัญว่าเราเลือกที่จะลืมหรือเลือกที่จะจำเท่านั้น ให้ระลึกอยู่เสมอว่า จำมีแต่เจ็บ ลืมมีแต่จบ”
อาภาภัทรก้มกราบรับพรจากท่านทั้งน้ำตา ราวกับท่านจะรู้ว่าตอนนี้มีปัญหาใหญ่หลวงกำลังเกิดขึ้นก็ไม่ปาน ครั้นเมื่อยอมเสียเหลี่ยมหันไปมองคนนั่งข้างๆ ก็เห็นว่าไม่มีปฏิกิริยาใดๆ น้ำตาสักหยดก็ไม่มี