ร่างสูงเพรียวเดินนวยนาดออกมาจากห้องใหญ่เมื่อหล่อนรู้สึกว่าเถียงเขาไปยังไงซะ หล่อนก็ไม่เคยชนะเขาอยู่ดี
คนที่เดินออกมาจากห้องเอกสารหยุดเท้าชะงัก เมื่อเห็นคนที่พึ่งเดินออกมาจากห้องเจ้าสัวหลังเขาไปไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ
“โอเครดีใช่ไหม?”ใบหน้าคมเอียงคอเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถามผู้หญิงตรงหน้า
“เป็นนางบำเรอให้สามีตัวเอง นายคิดว่าโอเครไหมล่ะ?”เสียงใสย้อนกลับทันควัน ก่อนจะย่นจมูกตามมาสมทบคำพูด
มือขวาเจ้าพ่อเพียงยักไหล่เบาๆ ก่อนจะเดินไปหยิบซองสีน้ำตาลมายื่นให้คนตรงหน้า ที่เขาไม่คิดว่าเธอจะกลับมาอีกแล้ว
“อ่านให้เข้าใจ ทั้งหมดทั้งมวลเธอเป็นคนเลือกมันเอง”
“หึ!”
ฉันหัวเราะในลำเบาๆก่อนจะยื่นมือไปหยิบซองนั้นมา เธอคงไม่ขอเปิดอ่านมันตอนนี้หรอก เพราะว่ายังไงเธอก็พอรู้ว่าข้อความที่อยู่ด้านในนั้นสื่อไปทางไหน ฉะนั้นขอไปเตรียมใจสักพักค่อยเปิดอ่านดีกว่า
“เอาจริงๆ ฉันอยากถามคุณหลายเรื่องเลยล่ะ แต่วันนี้ฉันมีเพียงหนึ่งประโยคที่อยากพูดกับคุณ”
“….”สายตาคมจ้องมองผู้หญิงตรงหน้าอย่างรอคอยว่าหล่อนนั้นจะพูดอะไร
ฉันระบายยิ้มกว้างออกมาก่อนจะมองไปรอบห้องๆที่ยังมีความรู้สึกว่ามันเป็นที่ของเขาจริงๆ ทุกสิ่งอย่างต่างประดับจับแต่งเป็นสีขาวดำทั้งหมด ทำให้ฉันนึกถึงเกือบสองปีก่อนที่เคยอยู่ในห้องโทนแบบนี้กับเขาที่ลาสเวกัส
“ขอบคุณที่ดูแลเขาอย่างดีค่ะ”
อันมองผู้หญิงตรงหน้าที่โค้งหัวให้เขาค้างไว้เกือบสองนาที ความรู้สึกปิดกั้นหล่อนมันพังทลายลงเมื่อเห็นแววตาคู่นั้นที่ฉายออกมาให้เขาเห็นตรงกับคำพูดของหล่อน
“เป็นหน้าที่ของฉัน”อัลล์โค้งหัวให้เธอตามมารยาท ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
เขาอยากให้ทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วสิ เหมือนตอนที่เขารู้สึกได้ว่าเจ้านายตัวเองไม่ใช่เพียงมนุษย์เดินดินได้ แต่เป็นคนที่มีความรู้สึกจริงๆ
คลืดดดดด คลืดดดดดด
“ว่าไง”
‘ทำอะไรอยู่จ้ะ คุณแม่ลูกสอง’
“เฮ้ บอกว่าห้ามทักแบบนี้ไง”
‘โอเครๆ พรุ่งนี้มาลองชุดด้วยนะ ฉันจะทำให้แกเป็นเจ้าหญิงบนดินให้ได้คอยดู’
รอยยิ้มสวยปรากฏขึ้นเมื่อได้ฟังประโยคที่ดังออกมาจากโทรศัพท์ วาน่าหมุนตัวไปจัดเสื้อผ้าใส่ตู้ด้วยมืออีกข้าง สมองก็คิดไปต่างๆนานา เฝ้าถามตัวเองว่าเธอพร้อมจะรับงานที่ใหญ่ขนาดนี้ไหวหรือป่าว
“ใจหนึ่งฉันก็กลัวนะ แกทำหน้าที่ไปเรื่อยๆไม่ได้หรอ”
‘ตลกล่ะ ถึงแม้ฉันจะสวยและโสดแต่ฉันก็มีขีดจำกัดนะย้ะ!’ปลายสายขึ้นเสียงสูงทันทีเมื่อเพื่อนสาวน้ำเสียงเริ่มไม่ปกติแล้ว
“ฉัน…กลัว”
มือเรียวกำชายเสื้อไว้แน่นก่อนจะก้มหน้ากลั้นเสียงสะอื้น ความรู้สึกเหมือนเมื่อก่อนมันวนมาฉายกับชีวิตเธออีกครั้ง วันที่มาอยู่ในสถานที่ต่างบ้านต่างเมือง ความรู้สึกโดดเดี่ยวที่กำลังรู้สึกได้ในตอนนี้เธอไม่โอเครเอาซะเลย
“แกว่างไหม ออกมาเจอกันหน่อยสิ”วาน่าสะบัดความคิดครั้งเก่าก่อนทิ้งก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วเอ่ยถามเพื่อนสาวที่อยู่ในประเทศเดียวกัน ตอนนี้เธอต้องการแค่ใครสักคน ใครสักคนที่ไม่ทำให้เธอคิดฟุ้งซ่านในตอนนี้
ปลายสายเงียบไปชั่งครู่ก่อนจะตอบกลับคนที่รอฟังคำตอบด้วยน้ำเสียงอึกอัก
‘เอ่อ..วาน่าคือฉัน’
“ไม่เป็นไรๆ ฉันแค่เหงา แกทำงานเหนื่อยแกต้องไปหากำลังใจแกสิ”ฉันรีบตอบกลับไปทันควัน เมื่อสังเกตุน้ำเสียงเพื่อนที่มีความเกรงใจปนรู้สึกผิดอยู่
‘กำลังใจบ้าอะไร วันนี้ฉันขอโทษนะวาน่า ฉันติดธุระจริงๆ แกไม่โกรธนะ”
ริมฝีปากบางขบเม้มกันเบาๆอย่างใช้ความคิด ก่อนจะตอบเพื่อนสาวแล้ววางสายไป
“แน่นอน ไว้เจอกัน”
‘บาย’
ในที่สุดเธอก็ย้ายสังขารมานั่งที่ล็อบบี้ที่หน้าโรงแรมอย่างเหม่อลอย กาแฟที่วางอยู่บนโต๊ะไม่ต่ำกว่าสิบแก้ว เธอไม่ได้กินมันหรอกเพียงแต่มันเย็นก่อนจนกินไม่ได้ต้องเปลี่ยนแก้วใหม่อยู่อย่างนั้น
“เห้ออ!”
ฉันถอนหายใจออกมารอบที่ร้อยของวันหลังจากได้อ่านสัญญาในกระดาษเปล่าที่เขาเป็นคนตั้งขึ้นนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ถึงทำอะไรแบบนั้นลงไป สายตาสีนิลมองไปยังพ่อแม่ลูกที่พาเด็กน้อยหน้าตาน่ารักมาทานขนมเค้กในเวลาเกือบสองทุ่มด้วยความอิจฉา ใจหนึ่งก็นึกสงสารลูกเสียเหลือเกิน ทำไมเธอถึงเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่องขนาดนี้ หน้าพ่อลูกฉันยังไม่เคยเห็นเลย
“ฮึก!”ฉันก้มหน้าก่อนจะยกมือมากุมหน้าไว้ ฉันไม่ชอบความรู้สึกที่เหมือนฉันกำลังพ่ายแพ้แบบนี้เลย ฉันไม่ชอบความอ่อนแอของตัวเองเลยจริงๆ
“มานั่งอ่อยเหยื่อหรอ หรือมารอใคร”น้ำเสียงทุ้มที่เอ่ยขึ้นเหนือศรีษะ ทำให้ฉันเงยหน้ามองเจ้าของประโยคนั้นก่อนจะรีบปัดน้ำตาเม็ดโตทิ้งทันที เขามาทำอะไรที่นี้
รัสเตรมองแก้วกาแฟที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยความไม่เข้าใจ ทั้งที่ปริมาณมันก็ยังเหลือเท่าเดิมทุกแก้ว ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงสั่งมาวางไว้เยอะขนาดนี้ หรือเธอกำลังรอใครอยู่งั้นหรอ
ฉันรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง พร้อมกับมองสำรวจคนตรงหน้าไปในตัว
“ค่ะ มารอคนใจร้ายคนหนึ่ง”ฉันพูดจบก็ก้มหน้าหัวเราะน้อยๆ แต่มันเป็นการหัวเราะที่อยากจะร้องๆไห้ออกมาแทนจริงๆ
รัสเตรนิ่งไปกับประโยคแสนธรรมดาที่เขาต้องเคยได้ยินมาก่อนแล้ว แต่ทำไมเวลาผู้หญิงตรงหน้าเขาพูดขึ้น หัวใจเขาถึงกระตุกแปล๊บ หน้าตาที่ไม่ได้ตลกไปพร้อมกับรอยยิ้มเศร้าหมองนั้นเลยสักนิด ในเมื่อเธอเศร้าเธอจะยิ้มออกมาทำไมกัน
“ฉันไม่ได้อยากรู้มาบอกทำไม”
ฉันมองคนที่พูดออกมาหน้าตาเฉยก่อนจะก้มหน้ามองพื้นพร้อมกับยิ้มออกมาน้อยๆ ใช่ เขาจะรู้อะไรล่ะก็คนที่เธอรอ เขามาแล้วแต่ดันจำเธอไม่ได้นี้สิ
มันคงเป็นอะไรที่โหดร้ายมากกว่าโดนเทอีกไม่ใช่หรอ ฉันรู้สึกว่าเขาเดินผ่านฉันไปแล้ว นั้นมันจึงทำให้ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะมองมือตัวเองที่จับกันไว้แน่น ไม่รู้ว่าชีวิตเธอจะพบเจออะไรนับจากนี้ไป เธอมั่นใจแล้วใช่ไหม ที่ทำแบบนี้
“ตามมาสิ”
ฉันหันไปมองตามเสียงที่คุ้นเคยพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น เมื่อกี้เขาชวนฉันใช่ไหม หรือฉันฟังผิดไป รัสเตรมองคนที่ยืนมองเขาอยู่อย่างนั้นไม่ยอมก้าวขาตามเขามาสักนิด นั้นทำให้เขาต้องเดินกลับไปตรงหน้าเธอคนนั้นอีกครั้ง
“เลิกทำหน้าเหมือนโดนผัวทิ้งสักที เธอเป็นนางบำเรอของฉัน ก็ต้องมองแค่ฉันไม่ใช่หรอ”
เป็นประโยคที่ฉันไม่รู้จะดีใจหรือจะร้องไห้ออกมากันแน่ ทุกคำที่เขาพูดออกมาล้วนมีแต่ความจริงที่น่าเจ็บปวดจริงๆ