เริ่มต้นแผน 1.2

1918 Words
อีกเพียงหนึ่งวันจางม่านอวี้ก็จะถวายตัวเป็นพระสนมของฮ่องเต้ ตำแหน่งนี้หญิงสาวทั่วเมืองหลวงหมายปอง แต่คงไม่ใช่จางม่านอวี้ที่ยิ่งใกล้ถึงวันงานสำคัญ นางยิ่งเศร้า ทุกข์ใจ ใบหน้าไร้รอยยิ้ม มีเพียงความหม่นเศร้าที่ไม่เคยห่างหายจากใบหน้านาง ความที่พรุ่งนี้จะถึงวันสำคัญอีกวันหนึ่งของชีวิต แม้ว่าไม่อยากให้วันพรุ่งนี้เกิดขึ้นแต่ก็คงแก้ไขและไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่แปลกที่นางจะเกิดความเศร้าไปทั่วทั้งจิตใจ และเป็นอีกเช่นเคยที่แม้ว่านางจะเกิดความรู้สึกใด นางจะสะท้อนออกมาทางเสียงพิณ ในขณะที่เสียงพิณแห่งความเศร้าบรรเลงออกจากตำหนักชิวเป่า ฮ่องเต้จูหมิงที่ค่ำคืนนี้ตั้งใจไปหาพระสนมมู่เซียนที่อยู่วังชั้นใน บังเอิญว่าตำหนักนี้อยู่ตรงทางปากประตูที่เชื่อมต่อระหว่างวังชั้นกลางและชั้นใน ฮ่องเต้สะดุดหูกับเสียงพิณเพราะนานมากแล้วที่เขาไม่ได้ยินเสียงพิณอันไพเราะเช่นนี้ฮ่องเต้หยุดยืนเอามือไขว้หลัง หลับตาขณะฟังเสียงเพลงบรรเลง “ตำหนักนี้ใครอยู่” ฮ่องเต้ถามหลิวกงกง “ว่าที่พระสนมใหม่พ่ะย่ะค่ะ นางจะถูกแต่งตั้งพรุ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ทำหน้าตกใจเล็กน้อยกับคำตอบที่ได้ยิน เขารู้จากจิวฮองเฮาว่า พรุ่งนี้จะแต่งตั้งพระสนมคนใหม่ นางเป็นลูกจางเฟย เจ้าเมืองหลานหยูที่ส่งบุตรสาวมาเป็นบรรณาการ ซึ่งจูหมิงไม่ได้สนใจอะไรมากนักกับเรื่องนี้ เพราะคงไม่มีพระสนมคนใดมีความสนใจได้เท่ามู่เซียน ทว่าเสียงพิณของว่าที่พระสนมคนนี้เสมือนมีแรงดึงดูดมหาศาลดึงอารมณ์ความคิดถึงที่มีต่อมู่เซียนไปชั่วขณะหนึ่ง “งั้นหรอกหรือ” ฮ่องเต้พูดเหมือนไม่สนใจ ทว่าสายตาตวัดมองไปยังตำหนักนั้น “ไปกันเถอะ” ฮ่องเต้จูหมิงก้าวเดินข้ามผ่านประตูเข้าไปวังชั้นใน ในขณะที่ก้าวเดินไปยังตำหนักของพระสนมมู่เซียน เสียงพิณยังก้องกังวาน แว่วเข้ามาในหูเขาตลอดทาง จนกระทั่งเสียงลับหาย อีกด้านหนึ่ง หน้าตำหนักชิวเป่าจะมีลำธารสายเล็กๆ พาดผ่าน จึงมีสะพานเชื่อมต่อเพื่อให้บุคคลในวังก้าวผ่านได้อย่างสะดวก เลยสะพานนั้นไปไม่กี่ก้าวจะมีศาลาไว้สำหรับนั่งพักผ่อน และตอนนี้ก็มีบุรุษคนหนึ่งกำลังนั่งจิบสุรา สดับตรับฟังเสียงพิณที่ดังออกมาจากตำหนักชิวเป่า และนี่ไม่ใช่วันแรกที่มานั่งฟังเสียงพิณ เขามาวันนี้เป็นวันที่สอง “น่าแปลกจริง” องค์รัชทายาทจูหยวนเชียวพูดขึ้น ยกจอกเหล้าขึ้นจิบ ต้ากงกงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ได้ยิน จึงเกิดคำถาม “น่าแปลกอะไรพ่ะย่ะค่ะ” “เจ้าว่าไม่แปลกหรือที่ คนกำลังจะได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสนมสมควรจะดีใจมิใช่หรือ เสียงพิณก็ไม่น่าจะเศร้าเช่นนี้ แต่เสียงเพลงขณะนี้ทำให้ข้าคิดว่า คนที่บรรเลงเพลงกำลังเสียใจอย่างหนัก” องค์รัชทายาทพูดตามความรู้สึกที่สัมผัสได้จากเสียงเพลง “คนที่บรรเลงอาจไม่ใช่ว่าที่พระสนมก็ได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมรู้มาว่า ว่าที่พระสนมมีสาวใช้ส่วนตัวมาคอยรับใช้ด้วย อาจเป็นนางก็ได้พ่ะย่ะค่ะ” เรื่องนี้ต้ากงกงไปสืบมาให้องค์รัชทายาท “อืม มันก็น่าเป็นไปได้ เพราะคนที่ขึ้นมาเป็นพระสนมของเสด็จพ่อ มีแต่ความดีใจมากกว่าเสียใจ” “องค์รัชทายาทจะเสด็จไปตำหนักพระชายาเมื่อไหร่พ่ะย่ะค่ะ” องค์รัชทายาทชะงักมือที่กำลังหยิบจอกสุรา พรางถอนหายใจเบาๆเขาลืมสนิทเลยว่า คืนนี้ต้องไปหาพระชายาเป่ยหลิง “เอาไว้เพลงนี้จบก็แล้วกัน” “พ่ะย่ะค่ะ” องค์รัชทายาทหลงลืมพระชายาเป่ยหลิงไปเสียสนิท เขานั่งฟังเสียงพิณอันไพเราะที่แม้ว่าจะมีแต่ความเศร้า ทว่ากลับมีพลังดึงดูดใจให้เขามานั่งฟัง ราวกับว่าเสียงพิณนี้เป็นเสียงเรียกให้เขามาดั่งดื่มสุราตรงนี้ แทนที่จะไปนั่งดื่มในตำหนักพระชายา และเมื่อเสียงเพลงจบลง เขาลุกเดินออกจากศาลา เพื่อไปยังตำหนักของเป่ยหลิง ขณะเดียวกันบุรุษร่างสูงใหญ่เดินถือห่อผ้าห่อหนึ่งเข้ามาในวังหลวง จุดหมายปลายทางของเขาคือตำหนักชิวเป่า ซึ่งเขาถือว่าเป็นคนนอก หากจะเข้าพบว่าที่พระสนมจำต้องได้รับอนุญาตเสียก่อน เขาบอกความต้องการกับทหารหน้าประตูทางเข้าวังส่วนกลาง เพื่อให้ทหารนำความต้องการของตนไปแจ้งกับว่าที่พระสนมจางม่านอวี้ “เจ้าว่าอะไรนะหลินหลิน ต้าเหม่ยมาหาข้างั้นหรือ” จางม่านอวี้ถามสาวใช้คนสนิทด้วยความตกใจและดีใจปนตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน เพราะไม่คิดว่าตนจะได้เจอเขาเร็วเพียงนี้ “จริงเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านรองแม่ทัพรออยู่นอกประตูวังชั้นกลาง รอคำตอบจากคุณหนูว่า จะให้ท่านรองแม่ทัพเข้าพบหรือไม่” “ข้าอนุญาต เจ้าไปบอกต้าเหว่ยเดี๋ยวนี้เลย” “เจ้าค่ะคุณหนู” หลินหลินรีบทำตามคำสั่งนายสาว นางเดินไปบอกทหารที่รออยู่หน้าตำหนักว่า อนุญาตให้เฉินต้าเหว่ยเข้าพบได้ ไม่นานนักเฉินต้าเหว่ยได้เดินเข้ามาหาจางม่านอวี้ในตำหนัก หลินหลินเดินออกจากห้องเพื่อให้สองหนุ่มสาวได้พูดคุยกันโดยสะดวก “วันนี้ข้าทำหมั่นโถวมาให้เจ้า เพราะวันนี้อาจเป็นวันสุดท้ายที่ข้าจะได้ทำหมั่นโถวให้เจ้ากิน” เฉินต้าเหว่ยเปิดถุงผ้าที่มีอวยชั้นเดียววางอยู่ ก่อนจะเปิดฝาอวยออก ทั่วทั้งห้องมีแต่ความเศร้า เฉินต้าเหว่ยมองหน้าจางม่านอวี้ หญิงสาวที่เขารักสุดหัวใจ ยอมทำทุกอย่างได้เพื่อนาง วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่เขากับจางม่านอวี้จะได้พบกันในฐานะเพื่อน เพราะนับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป นางจะเป็นอีกคนหนึ่งที่ชาตินี้ทั้งชาติเขาแตะต้องไม่ได้ และคงสนิทคุ้นเคยเช่นแต่ก่อนไม่ได้ด้วย วันนี้เขาจึงตั้งใจทำหมั่นโถวอย่างสุดฝีมือ ทำไปร้องไห้ไป ในหมั่นโถวสี่ลูกนี้จึงมีน้ำตาเขาปนไปด้วย น้ำตาลูกผู้ชายที่กำลังสูญเสียคนที่รัก... “ทำไมเจ้าพูดอย่างนั้น เพียงแค่หมั่นโถว เจ้าจะนำมาให้ข้ากินเมื่อไหร่ก็ได้” “เพราะนับจากวันพรุ่งนี้ เจ้าจะเป็นพระสนมของฮ่องเต้ ข้าคงมาหาเจ้าบ่อยๆ เหมือนที่เคยทำไม่ได้ แต่ถ้าข้ามีโอกาสทำให้เจ้ากินอีก ข้าก็จะทำ” น้ำเสียงเฉินต้าเหว่ยเศร้าไม่แพ้น้ำเสียงของนาง จางม่านอวี้มองหมั่นโถวในอวยด้วยความรู้สึกหม่นเศร้า มือเรียวสวยอันสั่นเถาเอื้อมไปหยิบหมั่นโถวลูกหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็นำมากัด เขี้ยวกลืนหมั่นโถวที่วันนี้นางไม่รู้สึกถึงรสชาติใดๆ มันแข็งจนไม่อยากเขี้ยว หากเป็นเมื่อก่อน หมั่นโถวแค่สี่ลูกคงไม่พอ “ยังอร่อยเหมือนเดิม” จางม่านอวี้พูดเบาๆ ช้อนตามองแม่ทัพหนุ่ม “เจ้าไม่ออกศึกหรือ ถึงมาหาข้าได้” “ที่ข้ามาวันนี้เพราะมีหลายอย่างจะบอกเจ้า” เฉินต้าเหว่ยนำร่อง “ข้ารู้แล้วว่า ทำไมเจ้าถึงต้องมาเป็นพระสนม แล้วด้วยเหตุผลนี้ ข้าคิดว่า เจ้าน่าจะมีคนที่เจ้าไว้ใจที่สุดคอยช่วยเหลือเจ้า ซึ่งคนคนนั้นก็คือข้า” “เจ้าหมายความว่ายังไง ข้าไม่เข้าใจ” “ตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นรองแม่ทัพแล้ว ข้าลาออกมาเป็นขุนนางตำแหน่งผู้ช่วยเสนาบดีจิวฮุย ที่ข้าทำอย่างนี้ก็เพื่อเจ้า ข้าเป็นห่วงเจ้า คนในวังร้อยเล่ห์เพทุบาย ยิ่งงานของเจ้ามีความเสี่ยงสูง ข้าไม่ยอมให้เจ้าเสี่ยงคนเดียวแน่ ถ้าข้าอยู่ใกล้เจ้า ข้าจะได้ช่วยเจ้าได้ทัน” เป็นความตั้งใจของเฉินต้าเหว่ยที่คิดจริงทำจริง การที่เขาเข้ามานั่งในตำแหน่งดังกล่าว มีคนคอยช่วยเหลือสองคนคือ เฉียนเจ้าที่ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมวังที่ดูแลฝ่ายนอกและจางเฟย บิดาของจางม่านอวี้ที่ยินดีช่วยเหลืออดีตรองแม่ทัพหนุ่มอย่างไม่ลังเล เฉินต้าเหว่ยจึงเข้ามาทำงานในวังได้ตามต้องการ จางม่านอวี้อึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง นางไม่คิดว่าเฉินต้าเหว่ยจะตัดสินใจเช่นนี้ ตำแหน่งขุนนางดังกล่าวอยู่ต่ำกว่าตำแหน่งรองแม่ทัพหลายขั้น เขาบอกนางเองว่า หากเสร็จศึกยาวครั้งนี้ เขาจะได้เป็นรองแม่ทัพใหญ่ และจะได้รับตำแหน่งในอนาคต นั่นเท่ากับว่า เขายอมสละอำนาจและบารมีที่กำลังได้รับเพื่อนางอย่างนั้นหรือ จางม่านอวี้ดีใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน ดีใจที่ได้เฉินต้าเหว่ยคอยช่วยเหลือ เสียใจที่ตนเป็นสาเหตุให้เขาไม่ได้อยู่จุดสูงสุดของหน้าที่การงาน จางม่านอวี้ถึงกับพูดไม่ออก น่าจะพูดได้ว่า ไม่รู้จะเอ่ยคำใดมากกว่า นางรู้สึกเสียใจที่เขาบอกรักตนช้าเกิน เสียใจที่ตัวเองโง่งมไม่เคยรับรู้ความรู้สึกที่เฉินต้าเหว่ยมีให้ และรับรู้ความรู้สึกของตัวเองช้าไปแต่ก็จะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้วเช่นกัน “ข้าขอบใจในน้ำใจของเจ้ามาก” จางม่านอวี้ซึ้งใจกับน้ำใจของเฉินต้าเหว่ยที่สุด “ข้าอาจเป็นคู่ชีวิตเจ้าไม่ได้ แต่ข้าเป็นองครักษ์คู่กายเจ้าได้ เจ้าเหนื่อยกับงานนี้มากแค่ไหน ข้าจะเหนื่อยยิ่งกว่า ข้าจะไม่ให้ใครทำอันตรายเจ้าได้ ข้าสัญญาด้วยชีวิตของข้า” เฉินต้าเหว่ยให้คำมั่นสัญญา จางม่านอวี้รู้สึกว่าปลอดภัย และไม่รู้สึกโดดเดี่ยวในวังหลวงที่มีแต่เสือสิงห์เขี้ยวเล็บร้ายกาจ “วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ข้ากับเจ้าจะอยู่ในสถานะเพื่อน นับจากพรุ่งนี้ไปเจ้าคือพระสนมที่ข้าไม่อาจเอื้อม ข้าอยากฟังเสียงพิณของเจ้าได้ไหม ข้าจะเก็บความรู้สึกวันนี้ไว้ในความทรงจำ เป็นพลังให้ข้าต่อสู้กับความเจ็บปวด” ยิ่งฟังจางม่านอวี้รู้ว่าเขาเจ็บปวด ซึ่งนางเองก็มีความรู้สึกไม่ต่างกับเขาสักเท่าไหร่ ทว่าในความเจ็บปวดก็มีความสุขอย่างอธิบายได้ยาก จางม่านอวี้ส่งยิ้มให้บุรุษตรงหน้า ก่อนจะเดินไปหยิบพิณมาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นนางได้บรรเลงเพลงที่เฉินต้าเหว่ยชอบ เป็นเสียงเพลงที่ไร้ซึ่งความเศร้า มันคุกรุ่นไปด้วยความสุข ขณะที่เสียงพิณกำลังบรรเลง ฮ่องเต้ที่กำลังเสด็จกลับตำหนักใหญ่ชะงักเท้า เขายืนฟังเสียงเพลงที่ไพเราะยิ่งกว่าครั้งใด เขายิ้มกับเสียงดนตรีแว่วหวาน เนื้อเพลงกล่าวถึงสองหนุ่มสาวที่หัวใจกำลังเบ่งบานด้วยความรัก มีความสุขท่ามกลางแสงของพระจันทร์ และคำบอกรักที่ต่างฝ่ายต่างมอบให้กัน อีกด้านหนึ่งองค์รัชทายาทที่กำลังเสด็จกลับตำหนักก็ได้ยินเสียงพิณเช่นกัน เขายืนฟังนิ่งงัน ยิ้มไปกับดนตรีที่ได้ฟังครั้งใด เหมือนถูกสะกดจิต และนั่นทำให้เขาอยากเห็นหน้าคนบรรเลงเพลง ที่มีฝีไม้ลายมือเก่งกว่าคณะดนตรีในวังเสียอีก เสียงพิณของจางม่านอวี้กำลังสะกดบุรุษทั้งสามที่ต่างสถานะให้หลงใหล แต่ชายใดเล่าที่จะได้หัวใจนางไปครองอย่างแท้จริง        
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD