ท่ามกลางทางเดินที่ทอดยาวในป่าใหญ่
ยามนี้กำลังย่างเข้าสู่ช่วงของการเปลี่ยนถ่ายช่วงระหว่างเวลาในยามกลางวันกับยามกลางคืนด้วยพระอาทิตย์กำลังเคลื่อนตัวลงต่ำจนจะลาลับขอบฟ้าอยู่รำไร
ในเวลายามนี้มีหนึ่งบุรุษและหนึ่งสตรีกำลังเดินทอดน่องอยู่ด้วยกันมาตามทางเดินในป่าแห่งนี้ที่ปกคลุมไปด้วยความเขียวชอุ่มชุ่มชื่นของแมกไม้นานาพันธุ์ในเวลายามเย็นหลังพระอาทิตย์อัสดง
ม่านนียังคงมองแผ่นหลังกว้างใหญ่ของบุรุษตรงหน้าอย่างเคลือบแคลงคาใจ
เขายังมิได้ตอบนางใช่หรือไม่ ว่าเขารู้จักนางได้อย่างไร นางยังไม่ทันได้แนะนำตัวกับเขาเลย นางจำได้ว่านางแนะนำตัวกับพวกนางกำนัลด้วยกันเท่านั้น
และพวกนั้นก็เรียกนางว่า เสี่ยวม่าน มิใช่ม่านนี
“นี่ท่าน” ม่านนีถามออกไปอีกครั้ง “ท่านเป็นใครกันแน่ แล้วรู้จักนามของข้าได้อย่างไร”
บุรุษเบื้องหน้าของม่านนียังคงเงียบงันไร้ซึ่งวาจาใดๆ ม่านนีจึงรู้สึกขัดใจได้อีกครา
“จะบอกกันดีๆ หรือไม่” นางเอ่ยเสียงดุดันแต่ทว่าก็ยังคงหวานใสอยู่ดี
“ข้าบอกแก่เจ้าไปแล้ว” เขาเอ่ยเสียงเรียบโดยไม่มองหน้าของม่านนี ฝ่าเท้าของเขายังคงก้าวย่างอย่างมั่นคง
“ว่า...” นางเอ่ยห้วนสั้น
“เฟยหมิง” เขาตอบแค่นั้น
“...”
ม่านนีถึงกับหยุดเท้าเดินแล้วหันหน้าจ้องมองบุรุษนามว่าเฟยหมิงพลางยกแขนขึ้นกอดอกแล้วเอ่ย “ไม่พอ”
“อะไรไม่พอ” เขาขมวดคิ้วถามเสียงขุ่นจ้องมองนางนิ่งหยุดเท้าเดินเช่นเดียวกัน
นางถลึงตาพลางตอบกลับ “แค่ชื่อไม่พอ”
“เจ้าต้องการรู้อะไร”
“ท่านรู้นามจริงของข้าได้อย่างไร” ม่านนีถามออกไปอย่างขัดเคืองขึ้นมา
เฟยหมิงพลันชะงักงัน
เพื่อไม่ให้เป็นการผิดสังเกตเขาจึงเอ่ย “เจ้าจะไม่กลับเข้าวัง” เขากล่าวคำเปลี่ยนเรื่องเสียอย่างนั้นพลางเลิกคิ้วขึ้นสูง ใบหน้าคมคายคล้ายกับซ่อนรอยยิ้มเจือจาง
“ข้าจะรีบกลับเข้าวัง ลาก่อน” ม่านนีรีบกล่าวตอบกลับไปอย่างนั้นพลันก้าวเท้าเดินออกห่าง
“ช้าก่อน” เฟยหมิงรีบเอ่ยเมื่อเห็นม่านนีเดินห่างออกไป
“อันใด”
“เจ้าอยากรู้อะไร”
“ท่านเป็นใครกันแน่ ไยรู้จักนามของข้า แล้วทำไมท่านคล้ายกับช่ำชองหรือเกินกับในป่าแห่งนี้”
“เจ้าจะรู้ไปทำไม”
“แค่ตอบมา”
“แล้วเจ้าเล่า”
“ข้า” ม่านนีเริ่มงงพลางยกนิ้วเรียวขึ้นชี้วงหน้าของตนเอง
“ข้าทำไม” นางถามออกไป
“เจ้ามาทำอะไรในป่านี่” เขาถามอย่างนั้น
“...”
ม่านนีถึงกับชะงักไป
เฟยหมิงเริ่มยกยิ้มตรงมุมปาก พาใบหน้าคมคายถึงกับหล่อเหลามากมายเพิ่มขึ้นมา
“เจ้ามีอะไรที่ทางการควรจะรู้หรือไม่” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยหยั่งเชิงพลางหรี่ตามองใบหน้างามอย่างลองภูมิ
“หือ” ม่านนีส่งเสียงในลำคอก่อนเอ่ย “ไม่มีนะ”
“เช่นนั้น” เฟยหมิงเอ่ยเสียงกดต่ำพลางสืบเท้าเข้าใกล้ม่านนีเมื่อเขาเริ่มต้อนนางได้จนมุม
“เจ้ามีอะไรจะบอกกล่าวแก่ข้าหรือไม่”
หญิงสาวถึงกับกลอกตาไปมา ใบหน้าดุดันพลันใสซื่อ เริ่มแพ้ทางอย่างไม่รู้ตัว
“แล้วเจ้ามีอะไรจะถามกับราชองครักษ์อย่างข้าอีกหรือไม่” เขาถามเมื่อเดินเข้ามาประชิดตัวนาง
ม่านนีถึงกับเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงในระยะประชิด
ยามนี้เขาช่างดูตัวโตสูงใหญ่ยิ่งนัก เขายืนห่างนางเล็กน้อยจนได้กลิ่นกายแปลกใหม่ไม่คุ้นชิน
“เอ่อ...” นางส่งเสียงได้แค่นั้น
“ว่าอย่างไร” เขาก้มหน้าลงมองนางพลางยกยิ้มบางเบาซ่อนความเจ้าเล่ห์
“ท่านมาทำอะไรที่นี่” นางถามเสียงอ่อน
“แล้วเจ้าเล่า”
“ข้าแค่เดินผ่านมา” นางตอบอย่างเร็ว
“อ้อ...” เขาลากเสียงยาว
“...”
ม่านนีถึงกับขนลุกขนชันแปลกๆ
ทั้งคู่พลันเงียบกริบแต่ยังคงยืนในระยะประชิดใกล้ชิดกันอยู่อย่างนั้น
เฟยหมิงก้มมองใบหน้าสวยหวานของสตรีนางนี้ที่เขาเคยแอบมองอยู่ไกลๆ อย่างห่วงๆ มาตลอดระยะเวลาหลายปี
ท่ามกลางความเงียบงันม่านนีรู้สึกได้ถึงสายลมบางเบาพัดลอยมาปะทะเรือนกายแต่มันเพียงปะทะได้แค่เฉพาะแผ่นหลังของนางหาได้ปะทะด้านหน้าของนางได้ไม่ เนื่องจากว่ากำลังมีบุรุษรูปร่างสูงใหญ่มายืนบังเอาไว้จนมิด
ไยยืนใกล้ยิ่งนัก! นางถามอยู่ในใจนึกระแวงขึ้นมา
ชั่วครู่เสียงทุ่มต่ำพลันเอ่ย
“เจ้าฝีมือยังห่างชั้น ม่านนี” เขาเอ่ยอย่างนั้นด้วยน้ำเสียงทุ่มนุ่มมากกว่าเดิมถึงแม้ว่าดวงตาเรียวคมของเขายังคงดุดันเป็นเชิงตักเตือนคล้ายห้ามปรามคล้ายเก็บข่มบางอย่างผสมปนเป
หญิงสาวถึงกับจ้องมองใบหน้าของเขานิ่งงัน นางเริ่มขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นแต่ยังคงไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใด
“ในวังหลวงไม่เหมาะให้เจ้าเข้าไปเดินเล่น” เขายังคงเอ่ยคำเนิบนาบเรียบเรื่อยพลางก้มหน้ามองนางด้วยสายตาคมดุซ่อนแววนุ่มลึกบางอย่างเอาไว้เป็นอย่างดี
“ท่านเป็นใครกันแน่ ไยต้องเตือนข้า” ม่านนียิ่งสงสัย ดวงตาเรียวสวยมองบุรุษตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจเปิดเผย
เขาไม่ธรรมดา นางรู้สึกได้ และอาจจะรู้อะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับนางอย่างที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
“เจ้าอย่ารู้เลย” เขาตอบเสียงกดต่ำอย่างเก็บข่มอารมณ์หลากหลายพลางถอยหลังออกห่างแล้วเบี่ยงตัวเดินนำหน้าไป
“ข้าไม่อยากรู้แล้วก็ได้” หญิงสาวกล่าวตัดรอนด้วยน้ำเสียงกดต่ำไม่แตกต่าง
ทั้งน้ำเสียงทั้งประโยคต่อคำทำเฟยหมิงถึงกับชะงักไป
ม่านนียืนจ้องมองแผ่นหลังกว้างใหญ่ของเขานิ่งงัน
“ถึงแม้ว่าท่านอาจจะรู้เรื่องของข้า” ม่านนีเอ่ยออกมาตามการคาดเดาของตัวเอง ถึงแม้ว่านางจะดูโง่งมเพราะขาดประสบการณ์จากโลกภายนอก แต่นางมิใช่คนโง่
“ท่านเป็นใคร ข้าหาได้ใส่ใจ แต่อย่ามายุ่งกับเรื่องของข้า” นางกล่าวออกไปอย่างที่ใจคิดตรงไปตรงมาตรงประเด็นเพื่อดักคอเขาเอาไว้
ความคุกรุ่นในอารมณ์ของม่านนีเผยออกมาอย่างฉายชัดเกินเก็บข่มใดๆ นางไม่จำเป็นต้องใส่ใจใคร นางตัวคนเดียว อยู่คนเดียวมาแต่ไหนแต่ไร ใครก็ไม่สำคัญกับนางทั้งนั้น
นี่คือนิสัยของนาง เฟยหมิงรู้อยู่แก่ใจ หากแต่เขาจะบอกนางได้อย่างไร ว่าเขาเป็นใคร
เฟยหมิงยังคงยืนหันหลังให้ม่านนีด้วยอาการเงียบงัน
ม่านนีจ้องมองแผ่นหลังของเฟยหมิงด้วยอาการเงียบงันไม่ต่างกัน
อีกครั้งที่ทั้งสองปล่อยให้สายลมพัดผ่านเรือนกาย แต่ทว่าครานี้สายลมกลับเพิ่มความหนาวเย็น
เฟยหมิงยืนตัวตรงไม่ไหวติงใดๆ อยู่เบื้องหน้าของม่านนี ความรู้สึกของเขาในยามนี้คล้ายกับกำลังถูกเข็มแหลมคมต้องไฟจนร้อนจี้ด้วยปลายของมันจนเสียดแทงเข้าเนื้อ
ในขณะที่ม่านนีก็ยังคงจ้องมองแผ่นหลังของเฟยหมิง อย่างนึกขัดเคือง
เขาอาจจะเป็นอันตรายต่อนาง
นางรับรู้ได้
เพียงอึดใจหญิงสาวจึงตัดสินใจก้าวเท้าเพื่อหมายจะเดินทางต่อ
นางจะต้องอยู่ให้ห่างเขาเสียแล้ว เขาไม่น่าไว้ใจ
นางจะต้องห่างเขาเอาไว้ ต้องห่างให้ไกล
ม่านนีคิดอย่างนั้นพลางเดินผ่านชายหนุ่มไปอย่างดุดัน และต้องการหนีห่างอย่างนึกรังเกียจอีกด้วย
นางแสดงออกชัดเจนทั้งท่าทางทั้งใบหน้าว่าไม่ชอบก็คือไม่ชอบ อย่ามายุ่ง
แต่ทันใดนั้น เรียวแขนของนางพลันถูกฉุดดึง
ม่านนีถึงกับเสียหลักเอนกายหมุนเคว้งตามแรงฉุดดึงนั้นจนร่างของนางชนเข้ากับแผงอกหนาแน่น
แผงอกของบุรุษ
แผงอกของเฟยหมิง
แต่ยังไม่ทันที่ม่านนีจะระลึกสิ่งอื่นใดได้มากมายกว่านั้น ริมฝีปากของนางพลันรู้สึกอุ่นซ่าน ความรู้สึกแปลกประหลาดพลันเข้าแทรกซึม
และม่านนีก็ได้เห็น
ใบหน้าคมคายของบุรุษหน้าตายนามว่าเฟยหมิง
นางเห็นใบหน้าของเขาในระยะที่ใกล้กันมาก
ลมหายใจกรุ่นร้อนเป่ารดใบหน้านวลเนียนชั่วอึดใจ ตามด้วยดวงตาเรียวคมกำลังทอประกายดุดันเข้ามาใกล้
และแนบชิดเข้ามา
ชิดจนขนตาของนางชนกับขนตาของเขา
ปลายจมูกก็เช่นเดียวกัน
ปลายจมูกของนางกำลังชนกับใบหน้าของเขาและปลายจมูกของเขาก็กำลังชนอยู่กับพวงแก้มของนาง
ความนุ่มนิ่มแปลกใหม่
ความรู้สึกอุ่นชื้นที่ริมฝีปากนั่นอีก
ริมฝีปากของเขากับริมฝีปากของนาง
อะไรกัน!