บนทางเดินทอดยาวในป่าใหญ่
ม่านนีเดินอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวห่างออกมาเล็กน้อยจากทางด้านหลังของบุรุษที่นางจำได้แล้วว่าเขาเป็นถึงราชองครักษ์แห่งวังหลวง
หญิงสาวเห็นเป็นเพียงแผ่นหลังกว้างใหญ่ของเขา หาได้เห็นใบหน้าเย็นชากับแววตาคมกริบของเขาไม่ แต่ถึงกระนั้นนางก็พอจะเดาออกได้ไม่ยากว่าใบหน้าเย็นชากับแววตาคล้ายพญาเหยี่ยวของเขานั้นเป็นเช่นไร
นางควรจะตีสนิทกับเขาเอาไว้ เพื่อที่ว่าเขาอาจจะมีประโยชน์กับนาง
เมื่อม่านนีคิดได้อย่างนั้นนางจึงเร่งฝีเท้าเพื่อก้าวเดินให้เร็วขึ้นเพื่อจะได้เดินไปใกล้ๆ กับบุรุษหน้าตายตรงหน้า
แต่ทว่าเมื่อนางก้าวเท้าเดินบุรุษท่านนี้ก็หันหน้ามาหานาง
ม่านนีถึงกับสะดุดแต่นางหยุดเท้าเอาไว้ไม่ทันจึงชนเข้ากับแผงอกของเขาเต็มแรง
“อ่ะ!” นางอุทานออกมาได้แค่นั้นเมื่อเจอแผงอกบึกบึนทั้งแข็งทั้งแน่น “อา...เจ็บนะ หยุดทำไมเล่า” นางดุออกไปอย่างลืมตัวพลางยกมือขึ้นกุมจมูกของตนเอาไว้
“เจ้าจะทำอะไร” เขาถามเสียงเรียบด้วยสายตาดุดันไม่เปลี่ยนแปลง
ม่านนีจึงเงยหน้าขึ้นมองพลางเอ่ย “ข้าอยากแนะนำตัวกับท่าน เราควรทำความรู้จักกันเอาไว้”
นางกล่าวพลางลูบจมูกน้อยๆ ไปด้วย ยามนี้จมูกเรียวเล็กของนางแดงไปหมด นางรู้สึกได้ เพราะว่ามันเจ็บแล้วก็แสบจากการกระแทกกับแผงอกแน่นๆ ของเขา
“เรามีความผิดร่วมกันสมควรช่วยเหลือกันและกัน ท่านคิดว่าอย่างนั้นหรือไม่” นางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอู้อี้
“ความผิดอันใด” เขาขมวดคิ้วคมเข้มเข้าหากันพลางก้มหน้าถามนางแต่สายตากำลังมองจมูกแดงๆ ของนาง
“ความผิดที่แอบหนีออกนอกวังอย่างไรเล่า” นางตอบออกไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เจ็บจมูกอยู่นะ
“เจ็บมากหรือไม่”
“หือ...”
ม่านนีถึงกับสะดุดหูกับประโยคคำถามนั้นจากบุรุษตรงหน้าจึงได้แต่จ้องมองเขานิ่งงัน
นางมองสบเข้าไปในดวงตาคมเข้มทอประกายลึกล้ำยากเกินคาดเดาอารมณ์ของเขา
เขาเองก็กำลังจ้องมองเข้ามาในแววตาของนางเช่นเดียวกัน
แต่คล้ายกับว่าเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้เขาจึงรีบหันหลังกลับไปแล้วเดินเท้าต่อเสียอย่างนั้น
ม่านนีสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
หูของเขาคล้ายกับว่าจะแดงๆ
เขาเป็นอะไรไป?
“นี่! ท่าน” หญิงสาวรีบเดินตามพลางยกมือขึ้นสะกิดลาดไหล่เนื้อแน่นของเขา “เมื่อครู่ท่านหันหน้ามามีเรื่องอันใดหรือไม่”
“ไม่มีอะไร” เขาตอบหน้านิ่ง ขณะเดินย่ำเท้าไปเรื่อยๆ คล้ายโกรธเคืองกัน
“ไม่มีอะไรแล้วหันหน้ามาหาข้าทำไม หรือว่า” หญิงสาวเว้นคำเล็กน้อยแล้วค่อยๆ เอ่ยออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ “ท่านหนีมาเที่ยวในป่านี่จริงๆ อย่างน้อยก็สองวันกระมัง”
ม่านนียังคงกล่าวพลางเดินตามติด “ท่านหิวก็เลยหาปลากินตามวิสัย ใช่หรือไม่”
บุรุษท่านนั้นถึงกับหันหน้ามามองม่านนี
เขามองนางนิ่งๆ ด้วยใบหน้าเฉยชาสายตาดุดัน
“ข้าพูดถูกใช่หรือไม่เจ้าคะ” นางยกยิ้มชอบใจเมื่อเอ่ยอย่างนั้น ดวงหน้างดงามของนางพลันสว่างไสวพร่างพราวยามนางยิ้มออกมา
“เจ้า!” เขาดุอีกแล้ว
ดุจริงเชียว ไม่เห็นจะกลัว
ม่านนีคิดในใจแต่มิได้แสดงกิริยาใดๆ ออกมา
นางยังคงทำท่าทางสตรีใสซื่อไร้พิษภัยได้อย่างต่อเนื่อง นางคลี่ยิ้มหวานล้ำส่งให้เขาอย่างเอาใจ
เขาเป็นถึงราชองครักษ์ของวังหลวง ฝีมือน่าจะเก่งกาจไม่เบา ผูกไมตรีเอาไว้เผื่อไหว้วานอะไรได้บ้าง
นั่นคือความคิดของม่านนี
ชายหนุ่มมองท่าทางอย่างนั้นของม่านนีอยู่นิ่งๆ
เขาหยุดเดินแล้วยืนมองนางอยู่อย่างนั้น
สายตาคมกล้าของเขาคล้ายกับกำลังทอประกายบางอย่างทั้งยังเหมือนว่าจะร้อนแรงอีกด้วย
“ท่านเป็นอะไรหรือ” ม่านนีถามออกมาเมื่อมองเห็นใบหูของเขายังคงแดงๆ
“เจ้าไม่ควรทำอย่างนี้” เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำก่อนจะสะบัดชายเสื้อเสียงดังแล้วก้าวเท้าเดินต่ออย่างดุดัน
“อีกแล้ว ข้าทำอันใด” นางยังคงงุนงง
ชายหนุ่มพาเรือนร่างสูงใหญ่เดินนำหน้าหญิงสาวไป โดยไม่หันมามองนางอีกเลย
ม่านนีมองท่าทางน่าเกรงขามของเขาอย่างเงียบงัน
เขาช่างดูทรงพลังน่าหวาดหวั่นไม่เบา ทำให้นางนึกถึงอาจารย์ของนางขึ้นมา
อาจารย์ของนางที่เป็นนักฆ่ามักจะชอบดุด่าว่ากล่าวนาง ทั้งยังชอบแยกเขี้ยวใส่นาง เมื่อยามที่สั่งสอนนางเขาก็ฟาดพลังใส่นางอย่างดุเดือด เขายิ้มให้นางแค่ครั้งเดียวเมื่อยามจากลา
กับบุรุษตรงหน้าก็ท่าทางคล้ายๆ กัน
เพียงแต่ว่า เขาทั้งหนุ่มแน่นและรูปงามมากกว่าอาจารย์ของนางก็เท่านั้น
กับบุรุษผู้นี้ มีนางกำนัลน้อยใหญ่ต่างพากันเมียงมองมากมาย เขามักจะคงไว้ซึ่งมาดเรียบนิ่งท่าทางน่ายำเกรง ใบหน้าเย็นชา แววตาดุดันแบบนี้ไม่เปลี่ยนแปลง ท่าทีของเขามีแต่ความเฉยชาไร้ใครอยู่ในสายตาไม่ว่าในยามใด เขาหยิ่งยโสใช้ได้
หลายวันที่อยู่ในวังนางไม่เคยได้ยินเขาเอ่ยคำกับผู้ใด
ขบวนนางกำนัลชั้นต่ำของนางได้เจอเขาอยู่หลายครั้ง เขายังคงไม่เคยเอ่ยคำอันใดตอบกลับมาเมื่อเวลาที่มีนางกำนัลใจกล้ากล่าวทักทายเขาไป
และบางครั้งนางก็ได้เห็นกับตาว่าถึงกับมีองค์หญิงแอบมองเขาด้วยเช่นกัน
เหล่าน้องสาวต่างมารดาของนางพวกนั้นมองเขาด้วยสายตาทอประกายวาบหวามแต่ต้องเก็บข่มมันเอาไว้ด้วยเพราะเป็นสตรีสูงศักดิ์ต้องระมัดระวังกิริยา
แต่กระนั้นม่านนีก็พอจะดูออก เหล่าสตรีทั้งหลายคงอยากจะเข้ามาขย้ำบุรุษผู้นี้ให้จมเขี้ยวด้วยความพิศวาสเกินยับยั้ง
อืม...อันที่จริงก็น่าแปลกที่นางบังเอิญได้เจอกับเขาในป่าใหญ่
เขามาทำอะไรในป่านี่ ดูท่าทางเขาจะคุ้นชินกับทิศทางในป่าแห่งนี้เป็นอย่างดีเสียด้วย
น่าแปลกยิ่ง!
ม่านนีคิดอย่างนั้นอยู่ในใจ พลางเดินตามร่างสูงใหญ่ของบุรุษตรงหน้าไปอย่างใจเย็น
“นี่ท่าน” นางเรียกเขาเสียงเบา
เขาถึงกับหยุดเดินก่อนปรายสายตามองมาทางนางนิ่งงันหาได้ขานรับหรือส่งเสียงอันใดไม่
แต่อย่างน้อยเขาก็ถึงกับหยุดเดินเพื่อรอฟังว่านางจะกล่าวสิ่งใด
“ท่านมาทำอะไรในป่านี่”
และคำถามของม่านนีก็ทำเอาบุรุษตรงหน้าถึงกับชะงักไป
ชะงักทำไม?
ม่านนีถามในใจ
“ท่าทางของท่านดูจะรู้จักป่าแห่งนี้เป็นอย่างดี ท่านเคยมาบ่อยหรือ แล้วทำไม...” ม่านนีหยุดคำเพียงเท่านั้น หากว่าเขาเคยมาป่าแห่งนี้บ่อยจริงดังนางสงสัย แล้วทำไมนางไม่เคยเจอเขา
น่าแปลกยิ่งนัก
เขาเป็นใครกันแน่
ม่านนีถามตนเองอยู่ในใจพลางจ้องหน้าเขานิ่งๆ เพื่อหยั่งเชิง สายตาหวานใสของนางพลันเปลี่ยนไปเป็นสายตาคมเฉี่ยวคล้ายเหยี่ยวจ้องตะครุบเหยื่อ
เขาเองก็ไม่แตกต่าง
สายตาของเขาที่เดิมทีคล้ายกับพญาเหยี่ยวอยู่แล้ว ในยามนี้ก็พลันเปลี่ยนไป คล้ายกับเป็นสายตาคมดุของราชสีห์กระนั้น
อา...นางเริ่มไม่ไว้ใจเขาเสียแล้ว
ม่านนีเริ่มคิดได้อย่างนั้นพลางเปลี่ยนท่าทีทั้งหมด
“ท่านเป็นใครกันแน่” ม่านนีถามออกไปพลางจ้องมองเข้าไปในดวงตาคมดุของเขาอย่างเข้มข้น
บุรุษตรงหน้ายืนเงียบงันไร้ซึ่งเส้นเสียงใดๆ
ทั้งสองยืนจ้องหน้ากันนิ่งๆ เนิ่นนานไร้วาจาอีกอึดใจ
“ข้าถามว่าท่านเป็นใคร” หญิงสาวเริ่มเสียงเข้มเมื่อถามซ้ำประโยคเดิม ดวงตาของนางจับจ้องจิกกัดอย่างกดดันเข้าใส่เขาอย่างไม่มีหวั่นเกรง
“หากท่านไม่บอก ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยสิ่งใดกับท่าน ลาก่อน” ม่านนีส่งเสียงเข้มข้นพลางหันหน้าเปลี่ยนทิศเพื่อจะเดินผละไป
กับบุคคลที่ไม่น่าไว้วางใจนางไม่ควรต่อคำ
“เรียกข้าว่าเฟยหมิง” เสียงทุ้มต่ำพลันเอ่ย
ม่านนีหันหน้ากลับมามองแต่ยังคงฉายแววคมเฉี่ยวในดวงตา หาได้มีประกายล้อเล่นอันใดไม่
ความอ่อนหวานใดๆ ก็ไม่มี
กิริยานอบน้อมก่อนหน้านี้หาได้เกิดขึ้นอีกแต่อย่างใดไม่
“ท่านมีนามว่าเฟยหมิงหรือ” ม่านนีถามออกไป
“อืม” เขาตอบรับในลำคอเบาๆ ดวงตาคมกล้าแต่ทว่าคล้ายซับซ้อนจ้องมองม่านนีไม่วางตา
“แต่ท่านไม่น่าไว้ใจ เราควรแยกทางกัน” จบคำก็รีบเดินแยกตัวออกไป
“เจ้าไม่ควรทำอย่างนี้ ม่านนี”
“หือ!?”