วัดเสาหลางตั้งสง่าอยู่ยอดเขาภูเขาคุนหลุน เป็นวัดที่ชาวต้าเว่ยให้ความเคารพและศรัทธาเป็นอย่างมาก ในยามที่ก้อนเมฆล่องลอยผ่านต่ำทำให้คล้ายอยู่บนสรวงสวรรค์ทำให้จิตใจสงบเหมือนได้เร้นกายออกจากความวุ่นวาย
ในศาลาเขตหวงห้าม
เฉิงอ๋องกำลังเผากระดาษเงินให้ดวงวิญญาณดวงหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและเงียบเหงาแววตาไร้ชีวิตชีวา
“ซูซู บิดามารดาของเจ้าล้วนสุขภาพแข็งแรงดีเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง แต่ขนมกุ๋ย ก็ยังไม่ใช่รสชาติที่เจ้าทำ วันนี้ข้าได้มอบเงินจำนวนหนึ่งสร้างศาลาปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้น หวังว่าเจ้าที่ภพหน้าจะมีได้มีความสุข สิ่งที่รับปากเจ้าไว้ข้าล้วนทำจนหมดสิ้น ข้ายังตั้งใจจะใช้ชีวิตอย่างที่เจ้าต้องการ เจ้าคงไม่กล่าวโทษข้ากระมัง ซูซูเจ้าได้ยินเสียงข้าบ้างหรือไม่”
เสียงที่แหบแห้งแผ่วเบา บอกถึงความเจ็บปวดที่กำลังเสียดแทงเข้ากระดูก ชายหนุ่มเอ่ยพลางเผากระดาษเงินที่ละแผ่น
ท่าทางเช่นนั้นของเขาทำให้องค์รักษ์ข้างกายรู้สึกเศร้าใจยิ่งนัก
โชคดีที่เฉิงอ๋องไม่ได้ปล่อยให้ตนเองเฉาตาย ออกมาพบป่ะผู้คนบ้าง เช่นนี้อาจจะทำให้จิตใจเบิกบานขึ้น
ชายหนุ่มยืนเหม่อมองไปยังป่าเขียวขจีเบื้องหน้าสักพักก็หันกายกลับมา
“กลับจวน”
เมื่อก้าวเข้ามายังห้องหนังสือ สองคิ้วเรียวดุจกระบี่ก็ขมวดขึ้น
“ฝีมือวาดภาพเท่านี้ เจ้ากล้าเอาแขวนในห้องหนังสือเราเชียวหรือ”
องค์รักษ์จงถังทราบว่าผู้เป็นนายชอบสะสมภาพวาดล้ำค่า หลายครั้งที่เขาเสาะหาแล้วนำมาแขวนในห้องหนังสือให้เฉิงอ๋อง ทว่าภาพที่แขวนที่ตรงหน้าตอนนี้เป็นภาพวาดที่มีให้เห็นอยู่ทั่วไป
“ผู้น้อย จะรีบนำออกไปเดี่ยวนี้ขอรับ”
ในขณะที่กำลังจะปลดออก เฉิงอ๋องก็ยกมือห้าม
“ในเมื่อซื้อมาแล้ว ก็แขวนเถอะ”
จงถังก็ปฏิบัติตาม สีหน้าไม่เปลี่ยน
เฉิงอ๋องก้าวเท้าเข้าไปดูภาพวาดนั้นใกล้ ๆ ดวงตาที่จ้องมองดูไร้ความรู้สึก แต่ก็เหมือนมีคำพูดนับพันนับหมื่นซ่อนอยู่
“เป็นของผู้ใด”
“แม่นางน้อยจางซูอินขอรับ นางเป็นบัณฑิตน้อยในสำนักศึกษา ความรู้ความสามารถอยู่ในระดับดี”
เฉิงอ๋องไม่เอ่ยถามต่อ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ ซูซู ของเขา
ชายหนุ่มยืนมองภาพวาด
ใบหน้าสวยสะคราญผุดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
แม้กระทั่งชื่อก็ยังเหมือน ภาพวาดนี้ลายเส้นก็คล้าย แต่ความละเอียดคมชัดยังต่างกันมาก เมื่อเทียบอายุ ตอนซูซู อายุเท่านี้ฝีมือวาดภาพคงประมาณนี้กระมัง
บุรุษดึงสติกลับมา แล้วเอ่ยขึ้น
“ฝนหมึก”
จากนั้นก็นั่งคัดอักษรอยู่เงียบ ๆ จนกระทั่งดึก
ซูอินตื่นขึ้นมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง จัดเตรียมอุปกรณ์ไปสำนักศึกษา
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ” หลังกล่าวลาหญิงสาวก็รีบก้าวเท้าออกไปด้วยจิตใจที่กำลังเต้นระรัว ใช้เวลาไม่นานนางก็หยุดมายืนอยู่ตรงหน้าประตู ใบหน้าเล็กยิ้มกว้างอย่างงดงามจ้องมองป้ายชื่อ สำนักศึกษา ขนาดใหญ่ อักษรที่เขียนนั่นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและศรัทธา
หัวใจของซูอินพองฟู การกลับมาเยือนสำนักศึกษาสถานเก่าชวนให้นางสะท้อนอบอุ่นวาบไปทั้งตัว นางรีบก้าวเข้าไปข้างใน
ห้องเรียนแต่ละห้องล้วนให้ความรู้สึกคุ้นเคย
“เข้ามา” เสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความเมตตาดังขึ้นจากข้างในห้องพัก
ซูอินค่อยเปิดประตูเข้ามาแล้วคุกเข่าคำนับบุรุษกลางคนผู้หนึ่งที่กำลังนั่งเขียนอักษรอยู่ข้างหน้า
“ศิษย์คารวะ ซื่อฝู เจ้าค่ะ”
เสียงที่เอ่ยสั่นเครือเล็กน้อย ซื่อฝูยังคงเมตตาต่อศิษย์เช่นเคย
“หายดีแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว อีกไม่กี่วันจะมีการสอบซิ่วไฉ เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ ซื่อฝู”
“เช่นนั้นดีแล้ว ใกล้เวลาเข้าเรียนแล้วเจ้ารีบกลับไปเตรียมตัว วันนี้จะมีซื่อฝูใหม่ อย่าเสียมารยาทเด็ดขาด”
“ศิษย์ทราบแล้ว”
ซูอินชำเลืองมองเหอซื่อฝูเล็กน้อย แล้วจึงยกมือคารวะอย่างนอบน้อมก็ถอยออกมา เมื่อเดินเลาะออกมาก็เจอกับเด็กสาวผู้หนึ่งสวมชุดอาภาณ์หรูหราใบหน้าเมื่อหันมาเห็นซูอินก็โปรยยิ้มสดใส
“ซูซู เจ้ากลับมาเรียนแล้ว”
“ถวายพระพรองค์หญิงต้าเหยา” องค์หญิงต้าเหยาเดินคล้องแขนของอีกฝ่ายพร้อมกล่าวกระเช้า
“เจ้าไยป่วยนานเช่นนี้” น้ำเสียงองค์หญิงแง่งอนเล็กน้อย
“หม่อมฉันกลัวว่าจะนำโรคภัยมาแพร่ อยากแน่ใจว่าหายสนิทจึงค่อยกลับมาเรียนเพคะ”
“เอาล่ะ ๆ วันนี้เจ้ารู้ไหมเราจะได้เรียนวาดภาพกับซื่อฝูคนใหม่”
น้ำเสียงและหน้าตาขององค์หญิงมีความแวววับทำให้ซูอินเริ่มสนใจขึ้นมา
“ทราบแล้วพ่ะคะ เหอซื่อฝูบอกหม่อมฉันแล้ว แต่ไม่ทราบว่านามว่าเป็นผู้ใดเจ้าค่ะ”
“เจ้าดูสิ” องค์หญิงต้าเหยาหรี่ส่งสายให้ซูอินมองผู้คนภายในห้องเรียนวาดภาพ
ซูอินเองก็พึ่งจะสังเกต วันนี้เหล่าสตรีล้วนแต่งกายประณีต ทรงผมเครื่องประดับล้วนวิจิตรตระการตา ให้บรรยากาศงานเลี้ยงบุบฝายิ่งนัก
หากเป็นในยามปกติสตรีเหล่านี้ต้องเข้ามาพูดจากระทบกันสักประโยคสองประโยค เช่นนั้นซื่อฝูคนใหม่ ย่อมเป็นบุรุษที่เป็นหนึ่งในใต้หล้าแน่นอน
ยังไม่ทันได้ถามให้กระจ่าง เสียงกระซิบกระซาบบอกกันแผ่วเบาก็ดังขึ้น
“มาแล้ว มาแล้ว” เหล่าแม่นางน้อยรีบไปนั่งประจำที่แล้วนั่งลงหลังเหยียดตรงตามแบบฉบับสตรีสูงศักดิ์ทั่วไป
เสียงฝีเท้าไม่หนักไม่เบา เดินเข้ามาประตูหลังห้อง ซูอินนั่งอยู่ตรงหน้าจึงไม่ยังไม่เห็นใบหน้าของซื่อฝูคนใหม่
ที่ด้านหน้าห้องเรียนก็ปรากฏ บุรุษรูปร่างสูงโปร่งสวมชุดสีฟ้าให้ความรู้สึกอบอุ่น ใบหน้าหมดจดหล่อเหลางดงาม ดวงตากระจางใสสูงส่ง
เด็กสาวต่างใบหน้าแดงระเรือปรากฏความเขินอายระคนยินดี
ต่างกล่าวพร้อมเพียงกัน
“ถวายพระพร เฉิงอ๋อง”
มีเพียงซูอินที่ใบหน้าพลันซีดขาว เสียงที่เอ่ยขึ้นก็สั่นเครือหากสังเกตจะพบว่าร่างกายนางส่ายโคลงเล็กน้อย นางไม่คิดว่าจะมาเจอเฉิงอ๋องที่สำนักศึกษา แม่ทัพปีศาจจะมาปรากฏกายเป็นซื่อฝูได้อย่างไร
สีหน้าและท่าทางของซูอินล้วนอยู่ในสายตาของเฉิงอ๋อง ทว่าก็มองผ่านนิ่งขึ้งเก็บซ่อนความรู้สึกคล้ายไม่ใส่ใจ แววตามังกรปรายตามองเหล่าบัณฑิตน้อยฉายแววเคร่งครัด ยกพัดจีบขึ้น เป็นสัญญาณบอกให้ทุกคนวางมือลงแล้วพูดขึ้น
“ต่อไปเรียกข้าว่า เฉิงซื่อฝู”
“ศิษย์ทราบแล้ว”
แม้เหล่าสตรีจะตื่นเต้นกับซื่อฝูคนใหม่ ทว่าทุกคนก็ถือว่าตนเองเป็นบัณฑิตจึงไม่มีความวุ่นวายใด ๆ ในห้องเรียน
“ต้าเหยา ฝีมือวาดภาพของเจ้าเป็นเช่นนี้หรือ” เฉิงอ๋องเดินเข้ามายืนข้างกายองค์หญิงต้าเหยาแล้วเอ่ยถามน้ำเสียงเรียบนิ่ง
ทว่าก็เรียกสายตาให้เหล่าคุณหนูชำเลืองมองมาด้วยความรู้สึกสะใจ
“ซื่อฝู ศิษย์พยายามแล้ว”
“ใช้ได้ แต่ต้องฝึกฝนอีกให้มาก” ต้าเหยาคาดว่าจะโดนตำหนิ จึงยกปากยิ้มอย่างดี
เฉิงอ๋องไม่หยุดสนทนากับองค์หญิงต้าเหยา เขายังเดินไปดูฝีมือและให้คำแนะนำกับบัณฑิตน้อยผู้อื่น เมื่อครั้งเดินมาถึงซูอินก็กล่าวเพียงสั้น ๆ
“ลายเส้นและการเลือกสีใช้ได้ ยังขาดความเฉียบคมและน้ำหนักของการลงสี”
ซูอินก็รับฟังก้มหน้าไม่สบตา คล้ายหญิงสาวที่กำลังเขินอาย มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตอนนี้นางต้องพยายามรักษาสีหน้ามากเพียงใด
ท่าทางขยันและตั้งใจฟังคำสั่งของศิษย์ในห้องเรียนทำให้เหอซื่อฝูที่ยืนมองอยู่ข้างนอกห้อง ส่ายศีรษะแล้วยิ้มอย่างพอใจ
หลังจากเลิกเรียน ซูอินลอบถอนหายใจ ร่างกายหมดเรี่ยวแรงแทบจะทรุดนั่งลงกับพื้น นางจึงรีบเร่งจะกลับบ้านทว่าก็ได้ยินเสียงเรียก
“ซูอิน ซูอิน รอก่อน”
การเอ่ยเรียกไม่สำรวมเช่นนี้ย่อมเป็นองค์หญิงต้าเหยา เสียงนั้นไม่เพียงแต่เรียกให้ซูอินหยุดยังทำให้เหล่าคุณหนูหันมามอง
“องค์หญิงต้าเหยา กริยาเช่นนี้อยู่ในวังไม่ทราบว่าไม่มีมามาอบรมสั่งสอนท่านหรืออย่างไร”
ซูอินเองก็หยุดฝีเท้าแล้วหันมองกลับไปมองอย่างจนใจ ถ้อยคำของ คุณหนูสามเสิ่นจือจากจวนเสนาบดีเสิ่นแม้จะตรงใจนาง ทว่าก็ไม่อาจจะกล่าวออกมาได้ อย่างไรองค์หญิงต้าเหยาก็เป็นเชื้อพระวงศ์แม้จะเกิดจากพระสนมที่มาจากชนชั้นสามัญก็ไม่อาจจะกล่าวดูหมิ่นได้
เมื่อชาติที่แล้ว นางและพระสนมมารดาขององค์หญิงต้าเหยามีไมตรีต่อกันไม่น้อยเพราะต่างมาจากสามัญชนด้วยกัน องค์หญิงต้าเหยาทั้งในสำนักศึกษาและในวังย่อมไร้มิตรสหาย เมื่อคิดเช่นนั้นแววตาของซูอินก็ยิ่งอ่อนโยน
องค์หญิงต้าเหยาเองก็ไม่ตอบโต้ นางรู้ว่าด้วยอำนาจของพระมารดาไม่สามารถต่อกรกับจวนเสนาบดีได้ จึงได้พยายามไม่ใส่ใจแล้วหันมาพูดคุยกับซูอินแทน
“ข้ามีเรื่องจะปรึกษา”