รถม้าจากตระกูลใหญ่ล้วนดึงดูดสายตาให้จับจ้องมา เผื่อบางครั้งจะได้ยลโฉมของผู้สูงศักดิ์ เมื่อล้อเริ่มนิ่งจอดสนิท บ่าวรับใช้ก็ลงมาผู้คนก็เริ่มชะโงกเอียงคอมาดู
นิ้วมือเรียวเล็กขาวเนียนหมดจดโผล่พ้นออกมาจากม่าน ยิ่งทำให้เกิดจินตนาการถึงความงามของคนข้างใน
ชิงชิงยื่นมือออกไปรับมืออันบอบบางนั้น ประคองเสิ่นอินลงจากรถม้า ไม่นานก็ปรากฏแม่นางน้อยผู้หนึ่งต่อสายตาผู้คน ดวงหน้างามพิลาสพิสุทธิ์ของนางทำให้พวกเขาล้วนตกตะลึง ความงดงามนั้นทำให้ราวถูกมนต์สะกดไม่อาจขยับเขยื้อน
เสิ่นอินไม่ทันได้สนใจสายตาคนรอบข้าง กมนต์สะกดไม่อาจขยับเขยื้อน อย่างยินดี รอยยิ้มนั้น เมื่อยืนได้มั่นคงแล้วก็ชำเลืองมองไปป้ายชื่อของสำนักศึกษา นางคลี่ยิ้มอย่างยินดี รอยยิ้มนั้นทำให้นางดูน่ารักพริ้มเพราน่ารักน่าเอ็นดูขึ้น
เสียงกระซิบกระซาบดังแว่ว
“นางเป็นคุณหนูจากจวนเสนาบดีเสิ่นหรือ”
“ข้าเคยได้ยินว่า คุณหนูเจ็ดของจวนเสนาบดีเสิ่นงดงามยิ่งกว่าเทพธิดาหรือว่าใช่นาง”
“เหตุใดพวกเราไม่เคยเห็นนางเล่า”
เสิ่นอินยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งลอบถอนหายใจ เส้นทางวันข้างหน้าไม่อาจจะคาดเดาวันนี้คงต้องเพียรพยายาม
ทว่าในสายตาของหลัวมามา เสิ่นอินกำลังยืนอวดโฉมตนเอง มารดาเป็นเช่นไรบุตรย่อมเป็นเช่นนั้น
“คุณหนูเจ็ดเราเข้าไปข้างในกันได้แล้วเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงของหลัวมามา ยังคงอ่อนหวานนอบน้อม
เสิ่นอินตวัดตามองหลัวมามาแล้วเอ่ยขึ้น
“ท่านรอข้าอยู่ตรงนี้ไม่ต้องตามเข้าไป”
หลัวมามาไล่สายตามองตามหลังเสิ่นอิน ใบหน้ายังคงนิ่งทว่าภายในใจกลับกรุ่นไปด้วยโทสะ ภายใต้สายตาผู้อื่นที่มองกำลังมองมานางไม่อาจจะแสดงกริยาไม่ดีได้ หากไม่ใช่ว่าเพราะฮูหยินสั่ง หลัวมามาใช่อยากจะมาช่วยหญิงสาวจัดการ ในเมื่อคุณหนูสั่งให้รอตรงนี้นางก็ต้องก้มหน้าต่ำรับคำสั่งอย่างรู้ความ
คนเฝ้าประตูเห็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่มาก็เข้าไปต้อนรับและเดินนำพาไปหาเหอซื่อฝูทันที
“คุณหนูได้โปรดตามข้าน้อยมา”
เสิ่นอินเดินตามหลังคนเฝ้าประตูเข้าไปข้างใน ในระหว่างทางก็ปรายตามองไปรอบ ๆ ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยบรรดาคุณหนูคุณชายจับกลุ่มพูดคุยกันแผ่วเบา นางไม่ได้มาที่นี่ไม่ถึงเดือนสำนักศึกษาช่างดูครื้นเครงยิ่งนัก
เมื่อเดินมาถึงห้องพักเหอซื่อฝู เสิ่นอินก็ทำความเคารพอีกฝ่ายด้วยความเคารพนอบน้อมไร้ท่าทีโอหังเฉกเช่นต่อหน้าหลัวมามา
เมื่อรับเอกสารเรียบร้อย เหอซื่อฝูก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความเมตตา
“อีก 2 วันให้หลัง คุณหนูเสิ่นก็มาเริ่มเรียนได้หลังจากนั้นอีก 14 วันเราจะสอบประเมินผลหากคุณหนูสอบผ่านจะได้รับละเว้นค่าเล่าเรียน ข้อมูลนี้คุณหนูทราบแล้วใช่หรือไม่”
คำกล่าวนี้ เมื่อครั้งเสิ่นอินมาสมัครเรียนในฐานะจางซูอินหญิงสาวชาวบ้านก็ได้ยินเช่นกัน ไม่ว่าลูกศิษย์จะอยู่ในฐานะใดซื่อฝูก็ยังคงอ่อนโยนให้ความอบอุ่นกับเสมอ ขอบตาของเสิ่นอินรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา นางจึงรีบก้มหน้าลงแล้วเอ่ยพูดขึ้น
“ศิษย์ทราบแล้วเจ้าค่ะ ศิษย์จะพยายามทำอย่างเต็มที่”
ซื่อฝูเพ่งพิศคุณหนูเจ็ดเสิ่นอินที่อยู่ตรงหน้า ผู้คนต่างเล่าลือว่านางไร้ความสามารถจึงไม่สามารถออกมาเล่าเรียนที่สำนักศึกษาได้ ทว่าวันนี้ได้ประสบเจอ คำกล่าวลือล้วนไม่มีมูลความเป็นจริง
อากัปกิริยาล้วนสุขุมงดงาม แววตาแฝงไปด้วยความเฉลียวฉลาด น้ำเสียงฉะฉานเป็นธรรมชาติ หากได้รับการขัดเขลาชี้แนะตั้งแต่เยาว์วัยเช่นนี้ เมื่อเติบโตย่อมเป็นผู้มีความสามารถคนหนึ่ง
ทว่าเรื่องราวเรือนหลังของตระกูลใหญ่ล้วนสลับซับซ้อน เรื่องนี้อย่างไรคงไม่จำเป็นต้องคิดต่อ หน้าที่ของเขาต่อจากนี้คืออบรมสั่งสอนเด็กสาวให้ดี
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเหอซื่อฝูจึงเอ่ย
“ได้เวลาเข้าสอนแล้ว ตอนนี้ข้าต้องขอตัวก่อน คุณหนูสามารถเดินดูบริเวณรอบ ๆ สำนักศึกษาได้”
“ศิษย์น้อมส่งซื่อฝู”
เสิ่นอินยังไม่รีบกลับ นางเดินพลางทอดสายตามองไปรอบ ๆ สำนักศึกษา พลันสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่จางซูอินกับองค์หญิงต้าเหยาที่กำลังคุยยิ้มแยมหัวเราะหยอกเย้ากัน ใบหน้าของทั้งสองระบายยิ้มอย่างสดใสดั่งตะวันฉายแสง
ความน้อยใจของเสิ่นอินเอ่ยล้นขึ้นมาจุกที่อก ดวงตาที่กำลังเปล่งประกายก็พลันดับแสงลง องค์หญิงต้าเหยาทั้งที่เป็นสหายกันมาหลายปีกลับไม่รู้สึกแคลงใจสักนิดเลยหรือว่า สตรีผู้ที่อยู่ตรงหาใช่จางซูอินคนเดิม
ความเจ็บแค้นประกายเล็ก ๆ ก่อกรุ่นขึ้นในจิตใจ สวรรค์ช่างไร้ความเป็นธรรมต่อนาง ส่งนางมาเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ที่มีเพียงแต่เปลือกนอกทว่าในความจริงกลับหาความสงบสุขไม่ได้
เมื่อความคิดเริ่มขุ่นมัวเสิ่นอินก็ไร้อารมณ์ที่จะเดินเล่นต่อ จึงหันกายเพื่อเดินกลับออกไป ท่าทีที่เปลี่ยนไปกะทันหันเช่นนี้ ทำให้ชิงชิงจ้องมองตามหลังคุณหนูของตนเองอย่างฉงน ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในสำนักศึกษา ใบหน้าของคุณหนูล้วนมีอารมณ์ที่หลากหลายทั้งเบิกบาน เศร้า ตื้นตัน น้อยใจ สถานที่แห่งนี้มีสิ่งใดกันแน่
ช่วงเวลาก่อนเข้าเรียน ย่อมเป็นเวลาเสวนาของเหล่าบัณฑิต องค์หญิงต้าเหยาเอ่ยพูดพร้อมกับแววตาวับวาบ
“ซูอินหลังเลิกเรียนข้าได้จองห้องที่หอซูซูไว้ แล้วเจ้าจะตกตะลึงกับภาพแบบชุดอาภรณ์ที่ข้าออกแบบไว้”
ซูอินมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเอ็นดู
“แม้หม่อมฉันจะยังไม่เห็นกับตา ก็มั่นใจว่าแบบภาพวาดพวกนั้นต้องงดงามมากแน่นอนเพคะ”
เสียงฝีเท้าแผ่วเบา ๆ ดังเลียบมากับทางเดิน บัณฑิตต่างพากันหยุดคุยพากันเข้านั่งประจำที่ เปลี่ยนกัปกริยาเป็นสุขุมเรียบร้อย
ไม่นานรูปร่างสูงโปร่งของเฉิงอ๋องก็มาปรากฏที่หน้าห้องเรียนใบหน้าหล่อเหลายังคงเรียบเฉยทั่วร่างแผ่ซ่านกลิ่นอายเย็นชา ชายหนุ่มจึงยกปากยิ้มสายตาทอประกายอบอุ่น ทำให้ห้องเรียนผ่อนคลายขึ้น
ทว่ารอยยิ้มและประกายวูบไหวในแววตาของเฉิงอ๋องนั้น ล้วนเพื่อปลอบใจตนเองที่กำลังตื่นระรัวอย่างหนัก เขาควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นไหวในขณะที่เอ่ยสั่งให้บัณฑิตทุกคนเตรียมตัวเขียนอักษร
เฉิงอ๋องเดินไปมาก่อนที่จะมาหยุดอยู่ตรงหน้าเป้าหมาย ก้มมองซูอินที่กำลังเขียนอักษรด้วยความระวังยิ่งนัก หลังจากค่อย ๆ เขียนอย่างประณีต หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมาก็สบตาเรียวยาวลุ่มลึกลึกซึ้งความหมาย ทว่าเพียงกระพริบตา ดวงตาของเฉิงอ๋องก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาเช่นเดิม
ชายหนุ่มปรายตามองอักษรพู่กันของซูอิน ็นเย็นชาเช่นเดิม มลึกลึกซึ้งความหมาย ัก น นชา ากแน่นอนเพค่ะ"บแววตาวับวาบ าบแล้วใช่หรือไม่"แล้วเอ่ยวิจารณ์ อย่างตรงไปตรงมา
“ลายเส้นพู่กันล้วนบอกตัวตนของผู้เขียน จิตใจของเจ้าล้วนสับสนวุ่นวาย ไร้ทิศทาง”
ซูอินลอบถอนหายใจ
“ขอบพระคุณเฉิงซื่อฝูที่ชี้แนะสั่งสอน”
เฉิงอ๋องก้าวเดินออกมาจากซูอินด้วยฝีเท้าที่หนักอึ้ง ลายพู่กันที่อยู่บนแผ่นกระดาษของจางซูอินนั่นย่อมไม่ใช่ลายพู่กันของซูซูแน่นอน อาจจะเป็นเพราะเขาคิดฟุ้งซ่านไปสิ่งมหัศจรรย์สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นอย่างไร ความจริงแล้วเขาไม่ควรจะเชื่อความคิดนี้ด้วยซ้ำ
ทว่าสิ่งที่เฉิงอ๋องหรือแม้กระทั่งเสิ่นอินลืมที่จะพินิจ นั่นคือ
ทั้งซูอินและเสิ่นอินล้วนมีความทรงจำของเจ้าร่างเดิม คำพูดการกระทำหรือแม้กระทั่งก็เขียนอักษรย่อมสามารถทำได้อย่างไร้ที่ติ
อันที่จริง เสิ่นอินหากไม่ใช่เพราะจิตใจที่อคตินางย่อมสังเกตตนเองได้ว่าพฤติกรรมหลายอย่างก็ล้วนกระทำมาจากความทรงจำของ เสิ่นอินคนเดิมเช่นกัน
สำนักศึกษาจะมีคาบเรียนเพียงช่วงเช้าเท่านั้น
ช่างบ่ายจะให้บัณฑิตเสวนาศึกษาอย่างอิสระและหากมีข้อสงสัยก็ให้เข้าพบซื่อฝูเพื่อขอคำชี้แนะได้
กระนั้นซูอินและองค์หญิงต้าเหยากลับมาปรากฏกายที่หอซูซู เสียงพูดคุยของทั้งสองล้วนไม่เกี่ยวข้องกับการเรียน
“เจ้าดูภาพนี่สิ ชุดนี้เหมาะสำหรับหญิงสาวที่สูงสง่าเสด็จแม่ย้ำว่านอกจากแบบแล้ว ต้องตัดเย็บอย่างปรานีตลายปักและสีผ้าก็ล้วนสำคัญ”
ซูอินเองก็จ้องมองภาพที่คลี่กลางออกบนโต๊ะอย่างหลงใหล ชุดนี้งดงามล้ำค่ายิ่งนัก
“ไม่เพียงแต่ชุดนี้ที่สร้างความตกตะลึงเพคะ ชุดแบบทรงกลีบบัวชุดนี้ก็เหมาะกำลังหญิงสาววัยปักปิ่นยิ่งนักแรกแย้มสดใสบริสุทธิ์ หม่อมฉันชอบแบบชุดนี้เหลือเกิน”
“ซูอินข้ามั่นใจมากว่าเสด็จพ่อต้องให้ยืมเงินแน่นอน”
“หม่อมฉันขออวยพรให้พระองค์ประสบความสำเร็จเพคะ พระองค์อย่ากดดันตนเอง หากฝ่าบาทไม่ทรงอนุญาตเช่นนั้นพวกเราก็หาวิธีเปิดร้านเล็ก ๆ ก่อนได้เพคะ”
“จริงของเจ้า”
องค์หญิงต้าเหยาพยักหน้าเห็นด้วยขอแค่มีผลงานไม่ต้องกลัวว่าจะขายไม่ได้ เสียงพูดคุยเจี๊ยวแจ้วของหญิงสาวทั้งสองดังไปถึงห้องข้าง ๆ
จงถังเหลือบสายตามองดูท่าที่แปลกไปของเฉิงอ๋อง ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ชายหนุ่มเปลี่ยนไปชอบบรรยากาศที่ครื้นเครง
“นี่คือผลงานของจางซูอินก่อนที่นางจะจมน้ำแล้วป่วยหรือ”
คำถามและน้ำเสียงของเฉิงอ๋อง คล้ายไม่ใส่ใจเท่าไรนัก
“ขอรับ”
ภาพพู่กันของจางซูอินในวันนี้ผุดขึ้นมา แม้ลายพู่กันในวันนี้ของจางซูอินจะถอดแบบลายมาจากลายมือเดิมของนาง ไม่อาจจะชี้ชัดได้ว่างานเขียนพู่กันทั้งสองใช่และไม่ใช่ของคนคนเดียวกันเขียน มันผสมผสานกันอย่างลงตัว ทว่าเหตุใดลายพู่กันหลังฟื้นจากจมน้ำของจางซูอินจึงแฝงกลิ่นอายของซูซูของเขา
แต่ว่านอกจากงานพู่กันแล้ว ภาพวาดของของจางซูอินนั่นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้ราวกับเขาพยายามสร้างหลักฐานให้มันเป็นจริง เขาก็ไม่หยุดการกระทำ ไม่อาจจะละทิ้งความหวังเพียงเล็กน้อยนี้ได้เลย