ตอนที่ 6

2440 Words
ธูปหอมพากอหวายไปพบแพทย์ และเป็นคนตอบคำถามแพทย์ด้วยตัวเอง โดยคนป่วยแทบไม่ต้องพูดอะไรเลย “พี่สาวคนไข้น่ารักมากนะคะ” แพทย์บอกกับคนป่วยที่มีรอยยิ้มทันที “น้าค่ะ” ธูปหอมบอก แพทย์ยิ้มๆ ให้และแจ้งว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา แต่คงเป็นเพราะทำงานหนักเกินไปทำให้ร่างกาย เริ่มแสดงอาการอ่อนแอ หากได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่และรับประทานยาตามแพทย์สั่งอีกสองสามวันคงดีขึ้น “เรียกพี่ธูปได้สิ หมอยังชม” กอหวายพูดขึ้น ขณะรอรับยา คนที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมายิ้มให้ “เป็นผู้ใหญ่ไม่เห็นเสียหายตรงไหนเลย เวลาได้ยินเด็กเรียกป้าธูปฟังแล้วไม่เห็นรู้สึกว่าแก่อะไรคงขึ้นอยู่กับความคิดกับใจเรา นั่นแหละ ถ้าคิดว่าคนเรียกน้า เรียกป้าแล้วแก่ มันก็คงแก่” ธูปหอมบอกก่อนเดินไปรับยาเมื่อได้ยินเรียกชื่อกอหวาย “ทำดีแบบนี้กับทุกคนหรือเปล่านะ” กอหวายคิดอยู่ในใจ ขณะมอง ดูธูปหอมที่กำลังพูดคุยกับเจ้าหน้าที่อยู่ที่ช่องรับยา “ไปกลับบ้าน” ธูปหอมยื่นมือให้กอหวายที่ทำเฉยๆ แล้วลุกขึ้นเดินนำหน้าไปก่อน ธูปหอมมองตามพร้อมด้วยรอยยิ้ม หลังจากรับประทานยาแล้ว กอหวายเตรียมตัวเข้านอน จึงบอกขอบคุณคนพาไปพบแพทย์ “ขอบคุณค่ะ ขับรถดีๆ นะคะ” “อยู่เป็นเพื่อนจนเราหลับก็ได้ ตอนกลับจะล็อคประตูให้เรียบร้อย” ธูปหอมบอก แต่กอหวายส่ายหน้า “อย่าเลยค่ะ เมื่อคืนก็รบกวน นี่ดึกแล้วด้วย น้าธูปจะได้กลับไปนอนพักผ่อนสบายๆ เดี๋ยวคุณธามว่าเอา” เมื่อเอ่ยถึงธาม กอ หวายพูดไม่ค่อยเต็มเสียงนัก เพราะกลัวไปก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของธูปหอม “ไข้ขึ้นตอนกลางคืนจะแย่เอาเพราะอยู่คนเดียว ถ้ามีคนอยู่ด้วยจะไม่เซ้าซี้เลย หรือเดี๋ยวหวายหลับ น้าลงมานอนโซฟาข้างล่างก็ได้” ธูปหอมยิ้มพยักหน้าให้และหมุนตัวกอหวายกลับหลังหันดันหลังให้ขึ้นไปชั้นบน “เดี๋ยวติดไข้ไป ไม่แย่หรือ” กอหวายถาม “เราก็ไปดูแลน้าสิ ตกลงไหมล่ะ” “มีคนดูแลอยู่แล้วไหม ไปก็เกะกะเปล่าๆ” กอหวายบ่นพึมพำ หากยอมไปนอนแต่โดยดีทั้งที่อยากดื้อ และไม่อยากทำตามในสิ่งที่ธูปหอมบอก “ขี้บ่นเป็นคนแก่เลย” ธูปหอมหัวเราะ ขณะดันหลังกอหวายให้รีบไปพักผ่อน กอหวายหยิบผ้าเช็ดตัวกับชุดนอนให้ แต่ธูปหอมขอสวมชุดเดิมที่ใส่มา หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาก็เห็นคนป่วยหลับไปแล้ว “เวลาอยู่คนเดียวแล้วไม่สบาย สภาพจิตใจแย่ออก” ธูปหอมยิ้มๆ มองดูกอหวายที่นอนหลับตาพริ้มอยู่ จึงเดินไปปิดไฟแล้วยกเก้าอี้มาตั้งไว้ใกล้ๆ เตียง เพราะร่างกายของตัวเองรู้สึกเหนื่อยล้าเช่นกัน ถ้าได้หลับสักตื่นคงดีขึ้น “มานอนบนเตียงก็ได้ค่ะ” กอหวายพูดพึมพำ แต่ไม่ได้ลืมตาขึ้น “ก็ดีนะ” ธูปหอมเดินไปล้มตัวลงนอนข้างๆ หลังจากที่กอหวายขยับไปอีกด้านหนึ่ง คนป่วยพลิกตัวนอนหันหลังให้ ธูปหอมยิ้ม เอื้อมไปหยิบผ้าห่มคลุมให้ถึงไหล่ กอหวายอยากให้ตัวเองตื่นอยู่ แต่ร่างกายไม่ไหวเพราะฤทธิ์ยาทำให้หลับไปในเวลาไม่นานนัก หลังจากรอจนธูปหอมอาบน้ำเสร็จ กอหวายค่อยๆ ลืมตาขึ้น เพราะรู้สึกหนาวพยายามดึงผ้าห่มมากระชับให้แน่นขึ้น คนที่นอนอยู่ข้างๆ เอามือทาบทับที่ศีรษะและ ลำคอ กอหวายสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อความเย็นจากผ้าสัมผัสที่ใบหน้าและลำคอ จึงรู้ว่าธูปหอมกำลังช่วยเช็ดตัวให้ “เหนื่อยแย่เลยค่ะ หวายหนาวมาก หนาวจนถึงกระดูกเลย” “เดี๋ยวก็ดีขึ้น อยากให้น้ากอดเอาไว้ไหม” ธูปหอมถาม “อยากให้กอด น้าธูปไม่อึดอัดหรือคะ” กอหวายพูดงึมงำ “ทำไมต้องอึดอัด ขยับมา” อ้อมกอดนั้นอุ่นมากในความรู้สึกของ กอหวาย แต่จุมพิตเบาๆ ที่ทาบทับไปที่ศีรษะได้ทำให้ความ อบอุ่นแผ่ซ่าน ไปจนถึงหัวใจเลยทีเดียว “กอดหวายไว้ตลอดเลยนะ” กอหวายพูดก่อนจะหลับไป ธูปหอมยิ้มจางๆ เมื่อเผลอจุมพิตเบาๆ ไปที่ศีรษะอยากปลอบโยนให้ คนป่วยรู้สึกดีขึ้น แต่คำขอนั้นทำให้ต้องกลับมาคิดถึงท่าทีที่แสดงออกไป กอหวายตื่นก่อนคนที่ช่วยเช็ดตัวให้ตอนรุ่งสาง ซึ่งช่วยให้อาการไข้ลดลงไปมาก กอหวายหันมามองคนที่นอนตะแคงหันหน้ามาทางที่ตัวเองนอนอยู่ ธูปหอมคงเพิ่งหลับไปได้สักพัก ดวงหน้าที่ได้เห็นทำให้กอหวายยิ้มเมื่อนึกถึงความห่วงใยที่ธูปหอมมีให้ แต่คำถามมากมายที่เกิดขึ้นในความ รู้สึกทำให้คิดวนไปวนมาว่า ทำไมถึงได้ห่วงใยและทำดีให้มากมายขนาดนี้ หากแค่คนรู้จักกันพาไปพบแพทย์ และกลับมาส่งถึงบ้านคงกลับบ้านของตัวเองไป แต่ธูปหอมอยู่ดูแลช่วยเช็ดตัวให้ตลอดทั้งคืนและยังจุมพิตอันแสนอ่อนหวานเมื่อกลางดึกนั่นอีก “ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป หวายคงรักน้าธูปแน่ๆ” กอหวายพูดขึ้น แม้จะพยายามเตือนตัวเอง แต่ขยับเข้าหา และหนุนหมอนใบเดียวกับธูปหอม จนปลายจมูกชิดกันคล้ายถูกดึงดูดเข้าหา จนริมฝีปากสัมผัสอย่างแผ่วเบา กอหวายตกใจ จึงขยับถอยห่างออกมาภาวนาขออย่าให้ธูปหอมรู้สึกตัวหรือรู้สึกถึงสัมผัสเล็กๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ “ไหนเอาหน้าผากมาให้แตะหน่อย ตัวหายร้อนหรือยัง” ธูปหอมพูดพึมพำโดยไม่ได้ลืมตา แต่ยื่นมือออกไป กอหวายรู้สึกเหมือนเด็กที่ทำอะไรผิดมา จึงนิ่งงันไม่กล้าขยับเขยื้อนร่างกาย “หวาย” ธูปหอมค่อยๆ ลืมตาขึ้น กอหวายจึงดึงมือธูปหอมมาแตะที่หน้าผากทันที “ตัวไม่ร้อนแล้ว” ธูปหอมบอกพร้อมด้วยรอยยิ้ม “นอนต่อก็ได้นะคะ น้าธูปไม่ค่อยได้นอนสักเท่าไร” กอหวายบอก “ไม่ล่ะ ได้กาแฟสักแก้วก็ตาสว่างแล้ว พ่อกับแม่จะกลับเมื่อไหร่” ธูปหอมถาม กอหวายเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มาดูมีข้อความจากมารดาแจ้งว่าจะกลับพรุ่งนี้ตอนค่ำ “กลับพรุ่งนี้ค่ำๆ ค่ะ” กอหวายบอก “ไปนั่งเล่นที่ห้องสมุดไหม ถ้าเพลียก็ขึ้นไปนอน” “เกรงใจคุณธามค่ะ” กอหวายพูดเสียงอ่อยๆ “ธามไปทำงานที่ฮ่องกงกับสิงคโปร์หลายวัน น้าไม่อยากให้หวายอยู่บ้านคนเดียว” ธูปหอมบอก “ถ้าอยู่บ้าน เดี๋ยวค่ำๆ น้าธูปก็ต้องขับรถมาอีกแน่เลย หวายไปอยู่ที่โน่นก็ได้” กอหวายสะดวกใจเพราะธามไม่อยู่ หากมีคนอยู่อีกคนคงทำให้รู้สึกอึดอัดทั้งตัวเอง ธาม และธูปหอมด้วย นั่นคือ สิ่งที่กอหวายคิด “ไปอาบน้ำแต่งตัว เลือกเสื้อผ้าไว้ก่อนก็ได้เดี๋ยวเอาใส่กระเป๋าให้” ธูปหอมพูดคล้ายเป็นเรื่องปกติทั่วไป แต่คนที่ได้รับการดูแลเอาใจกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นภาระให้ผู้ใหญ่อยู่หรือเปล่า “ไม่ต้องทำอะไรให้เยอะแยะขนาดนี้ก็ได้ไหม” กอหวายบอก “ทำไม ถ้าอยากทำให้ น้าก็ทำ อะไรที่น้าไม่อยากทำก็ไม่ทำ แค่นี้เองชีวิตง่ายๆ ถ้าอะไรที่ไม่อยากให้ทำให้ ก็บอกกัน ตกลงตาม นี้ไหม” ธูปหอมรู้ดีว่ากอหวายรู้สึกอย่างไร “บ่นยืดยาว ถ้ารักขึ้นมาจริงๆ จะมาว่าไม่ได้นะเนี่ย” กอหวายพูดบ่นและเดินไปจัดเตรียมเสื้อผ้า ยามเจ็บไข้มีคนอยู่ด้วยทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้น แล้วยามที่ธูปหอมป่วยไข้ใครช่วยดูแล เพราะธามเดินทางไปต่างประเทศค่อนข้างบ่อย กอหวายเองเพิ่งได้เจอเพียงแค่ครั้งเดียว ในเช้าวันที่ตัวเอง ขอตัวรีบกลับหลังจากตื่นนอน กอหวายหยิบกุญแจบ้าน เพื่อไปเปิดประตูรั้วให้ ร่างกายรู้สึกดีขึ้นคงเป็นผลมาจากการดูแลที่ทำเอาธูปหอมแทบไม่ได้นอน เมื่ออาสาขับรถให้แต่ได้รับการปฏิเสธ จึงเลือกทำในเรื่องที่ตัวเองทำได้ “เดี๋ยวค่ะ” กอหวายบอกธูปหอมซึ่งหันมาทั้งที่ตั้งใจจะเดินไปขึ้นรถ “มีอะไร ลืมอะไรหรือเปล่า” ธูปหอมถาม “เปล่า แต่ยืนเฉยๆ ก่อนค่ะ” กอหวายพูดขึ้นและนั่งยองๆ เพื่อผูกเชือกรองเท้าผ้าใบให้กับธูปหอมที่ขยับหนี กอหวายทำหน้างอ เงยหน้าขึ้นมามองสบตาโดยไม่พูดอะไรและขยับเข้าไปใกล้ๆ อีกครั้ง ซึ่งธูปหอมไม่ขยับหนีเหมือนเมื่อสักครู่ เพราะเชื่อว่า กอหวายคงไม่ยอมลุกขึ้น ถ้ายังขยับอีก “ใครเห็นเข้าคงคิดว่าเป็นลูกสาว” ธูปหอมพูดขึ้น “มีแม่คนเดียวก็บ่นจนหูจะหลุดอยู่แล้วค่ะ ไปขึ้นรถได้แล้ว เดี๋ยวหวายไปเปิดประตูหน้าให้” กอหวายเดินไปเปิดประตูรั้ว เพื่อให้ธูปหอมขับรถออกไป ลุงบุญนั่งยิ้มจิบกาแฟอยู่ที่ด้านหน้าห้องสมุดเหมือนทุกวัน แต่ไม่มีใครนั่งดื่มด้วย หนังสือพิมพ์จึงถูกเปิดอ่านไปพลางระหว่างรอกาแฟหมดแก้ว รอยยิ้มของชายชราปรากฎขึ้น เมื่อเห็นธูปหอมกับกอหวายเดินมาทักทาย “วันนี้ไม่มีกาแฟไอ้บัคๆ มาฝากตาหรือ” ตาบุญบอกกับกอหวายที่ยิ้มๆ ให้ก่อนจะพนมมือไหว้ทักทาย “กลัวตาจะติดไข้หนูเข้าสิคะ เอาไว้วันหลังขับรถพาไปทานที่ร้านกาแฟบัคๆ เลยค่ะ แต่อร่อยน้อยกว่ากาแฟของตาบุญแน่เลย น้าธูปถึงได้ลงมาดื่มเป็นเพื่อนทุกเช้า” กอหวายพูดคุยกับชายชราที่หัวเราะหึๆ แล้วยิ้ม “อีกหน่อยจะไม่ได้จิบกาแฟด้วยกันเสียละมั้ง ธูป” ลุงบุญบอก “ไม่หรอกค่ะ เมื่อคืนไปเฝ้าคนป่วยมา เดี๋ยวไปชงกาแฟมานั่งคุยเป็นเพื่อนได้ค่ะ ลุง” ธูปหอมบอก “ไปดูแลคนป่วยก่อนเลย ลุงกินเกือบหมดแก้วแล้วล่ะ เดี๋ยวเดินไปกินโจ๊กก็จะกลับไปนอนอ่านหนังสือพิมพ์ที่บ้านต่อ” ลุงบุญ บอกกับธูปหอม “สัญญานะคะ ว่าจะให้หนูพาไปกินกาแฟที่ร้านบัคๆ เดี๋ยวหนูหายแล้วเรานัดกันควงตาบุญสักวัน” กอหวายทำให้ตาบุญหัวเราะลั่น ธูปหอมยิ้มมองดูความน่ารักของคนต่างวัยที่ไม่ได้มีระยะห่างมากมายนัก กอหวายช่างพูดช่างคุยเหมือนเกื้อกูลเมื่อตอนสาวๆ แต่หลังจากเรียนจบก็ไม่ได้พบเจอหรือได้พูดคุยกัน จนกระทั่งงานเลี้ยงรุ่นครั้งล่าสุด กอหวายขึ้นไปนอนพัก หลังรับประทานอาหารเช้าพร้อมธูปหอม ซึ่งลงไปทำงานที่ชั้นล่าง แต่พอนอนมากๆ ทำให้อาการง่วง หายไป เจ้าตัวจึงเดินลงมาหาหนังสืออ่าน โดยเลือกที่นั่งตรงข้ามห้องทำงานของธูปหอม ที่เป็นชั้นลอยมีกระจกใสสามารถมองเห็น เจ้าของห้องสมุดที่ทำงานอยู่ “เหมือนคนโรคจิต แค่มานั่งมองก็ยิ้มได้แล้ว” กอหวายพูดขึ้น แต่เมื่อหันไปทางด้านที่มีหนังสือสำหรับเด็ก ก็เห็นเด็กๆ โบกไม้โบกมือเรียก แต่ด้วยตัวเองไข้เพิ่งลดลงเลยไม่อยากเข้าไปหา จึงหยิบกระดาษมาเขียนข้อความ แล้วชูให้เด็กๆ เห็น ธูปหอมเห็นความน่ารักของนางแบบสาวกับเด็กๆ เข้าพอดี “เป็นไข้หวัด เข้าใกล้ไม่ได้นะ เด็กๆ” นั่นคือข้อความที่กอหวายสื่อสารกับเด็กๆ ที่ยกมือนำปลายนิ้วชี้กับนิ้วโป๊งชิดกันจนเป็นวง กลมที่คงหมายถึงคำว่า โอเคหรือตกลง เด็กๆ จึงหันไปสนใจหนังสือกันต่อ กอหวายยิ้มกว้าง เมื่อเห็นเด็กๆ กลับไปอ่านหนังสือ แต่เมื่อหันมาเห็นรอยยิ้มของธูปหอม จึงทำทีเป็นไม่สนใจทั้งที่หัวใจฟูอย่าง มากมาย “ถ้าชอบเขา แล้วเขาไม่ชอบจะทำไงล่ะ กอหวายเอ๊ย บางทีน้าธูป ก็เป็นคนดีเสียจนไม่รู้เลยว่า รู้สึกอะไรกับเราบ้างหรือเปล่า” กอหวายคิดอยู่ในใจ แต่เมื่อเงยหน้าไปเห็นเจ้าดอกทิวลิปสีชมพูช่อใหญ่ที่มีคนมาส่งทำให้แปลกใจ เพราะเดาได้ไม่ยากนักว่า ดอกไม้ ช่อนั้นเป็นของใคร เจ้าหน้าที่ห้องสมุดเดินขึ้นไปที่ห้องทำงานของธูปหอมพร้อมดอกไม้ช่อนั้น เรื่องที่คิดอยู่ในใจจึงหยุดชะงักไปทันที “เป็นหมื่นมั้งนั่นน่ะ” กอหวายบ่นพึมพำทำทีเป็นไม่ได้สนใจอะไรแค่แอบมอง เพราะเห็นว่าธูปหอมกำลังมองหากระดาษข้อ ความเพื่อจะได้ รู้ว่าใครเป็นคนส่งมา “น้าธูปได้ดอกไม้บ่อยสิคะ ช่อใหญ่มาก” กอหวายถามเจ้าหน้าที่ซึ่งเดินผ่านมาทางที่นั่งอยู่ “ไม่มีนะคะ แต่ช่อนี้ใหญ่มาก ไม่รู้ด้วยว่าใครส่งมา” เจ้าหน้าที่บอกกับกอหวายที่ขมวดคิ้ว และมองขึ้นไปยังห้องทำงานของธูป หอมที่ดูเหม่อลอยไปเหมือนกัน หลังจากได้รับไอ้เจ้าดอกทิวลิปปริศนาช่อนั้น แต่เมื่อเห็นธูปหอมหอบช่อดอกไม้เดินลงมา กอหวายทำ เป็นไม่สนใจ จนช่อดอกไม้ถูกนำกลับมาให้เจ้าหน้าที่คนเดิม “จัดใส่แจกันวางไว้ข้างล่างก็แล้วกันนะคะ ถ้ามีช่อเล็กที่เผื่อจะมีคนใจดีซื้อให้ค่อยเอาไปไว้ที่ห้องทำงาน” ธูปหอมพูดยิ้มๆ ชาย ตาไปทาง กอหวายที่ทำเป็นสนใจหนังสือทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เปิดอ่านเลยสักหน้า ธูปหอมเดินไปนั่งลงข้างๆ และช่วยเปิดหนังสือให้ “อ่านหนังสือ แต่ไม่เปิด หรืออยากรู้อะไรกันแน่” ธูปหอมพูดขึ้น “ไม่ได้อยากรู้อะไรเลยค่ะ แค่หมั่นไส้ดอกไม้ช่อใหญ่นั่น” “ที่เราให้ น้าเอาใส่แจกันไว้ที่โต๊ะทำงาน เผื่ออยากให้อีก” ธูปหอมพูดจบก็เดินกลับขึ้นไปยังห้องทำงานของตัวเอง “เนี่ย แล้วควรคิดไหมล่ะว่า คิดอะไรยังไงกับเราอยู่” กอหวายคิด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD