ฮานนิ่งสนิทไม่ต่างจากบรรยากาศโดยรอบ เขาไม่เคลื่อนไหว เอาแต่มองหน้าฉันอยู่อย่างนั้น ฉันไม่รู้ว่าเขาถูกคำพูดของฉันจู่โจมจนพูดไม่ออก หรือนิ่งเพราะกำลังคิดหาคำมาหว่านล้อมฉันอยู่กันแน่ แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไรออกมา ก้อนกลมๆ บนเตียงดิ้นดุ๊กดิ๊กก่อนลุกขึ้นมานั่งแหมะ กวาดสายตามองหาแม่ตามสัญชาตญาณ ไม่นานก็หาเจอ
“มะ...”
“....” ฉันสบตากับลูก
แต่ในห้องนี้ไม่ได้มีแค่ฉันและนั่นคือสิ่งที่ฉันกลัวมากที่สุด การเผชิญหน้าของเราสามคน
“ปะ...” ตาหนูโพล่งขึ้นพร้อมชี้มือมาที่ฮาน
หน้าฉันร้อนวาบ หัวใจสั่นสะท้านเหมือนโดนลมหนาวพัดปลิว ก้าวเข้าไปหาลูก ถามเสียงขุ่นโดยไม่รู้ตัว
“ภาม! เมื่อกี้พูดอะไร...”
“ปะ... ย...” ตาหนูชี้มือใส่ฮาน ก่อนจะชูรถในมืออีกข้างให้ฉันดูราวกับจะบอกฉันว่าได้รับมันมาจากเขา แต่ฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องนั้น มองหน้าลูกอย่างร้อนใจ
“ใครสอนให้พูด”
“....” ลูกเงียบ ดวงตากลมเรียวจ้องใบหน้าแข็งกร้าวของแม่โดยไม่รู้ว่าแม่กำลังโกรธเรื่องอะไร
“เก่งมาก บอกครั้งเดียวก็จำได้” ฮานใช้ไม้ค้ำยันกระเถิบเข้ามาใกล้เตียงและยิ้มให้ตาหนู ฉันตวัดสายตาเขียวปัดไปที่เขา รอยยิ้มนั้นพลันหายไปทันที
กล้าดียังไงถึงมาสอนลูกลับหลังฉันแบบนี้
“ไม่โอเคเหรอ หรือ... ให้ลูกเรียกว่าพ่อฮานดี แม่นี... พ่อฮาน...”
“หยุดนะ!” ฉันตวาดฮานแต่ลูกสะดุ้ง ปากจิ้มลิ้มเบะออก... เบะออก... แล้วร้องไห้จ้าอย่างห้ามไม่ทัน ฉันเห็น ฉันรู้ แต่หยุดไม่ได้
“ภาม... แม่นีขอโทษ แม่นีไม่ได้ดุหนูนะ คนดีไม่ร้อง... โอ๋ๆ”
ฉันรวบร่างเล็กเข้ามากอดแนบอก น้ำตาลูกทำเสื้อฉันเปียกเป็นหย่อมๆ จนตาหนูหยุดร้อง ฉันผละออก เช็ดน้ำตาบนแก้มลูก มองดวงตาเปียกแฉะอย่างรู้สึกผิด “หิวไหม หม่ำหรือเปล่า...”
ตาหนูส่ายหน้ามองไปที่เคาน์เตอร์ก่อนชี้มือพลางส่งเสียงอู้อี้ “นะ...ม”
“น้ำ... เดี๋ยวแม่นีเอาให้”
ช่วงที่ฉันออกห่างเตียง ฮานกับตาหนูก็ส่งสายตาให้กันราวกับมีสายสัมพันธ์บางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น เห็นแล้วรู้สึกพลุ่งพล่านใจอย่างบอกไม่ถูก
ใช้เวลาไม่นานก็กลับมายื่นขวดน้ำให้ลูก ตาหนูรับไปดูดอย่างไม่ค่อยรีบร้อน แปลว่าไม่ได้หิวมาก ดวงตากลมแป๋วจ้องไปที่ฮาน
“กลับไปได้แล้ว” ฉันหันไปบอกฮานอย่างเหนื่อยใจ เพื่อไม่ให้ลูกตกใจไปมากกว่านี้ ฉันจะยังไม่เอาเรื่องที่เขาสอนลูกให้เรียกว่า ‘ป๊า’ ตอนนี้ แต่ฮานดื้อด้านกว่าที่คิด เขาเมินฉัน หันไปยิ้มให้ลูก
“อยากได้รถใหม่หรือเปล่า”
“ย...?” ลูกชายฉันหูผึ่งตาเป็นประกายแวววาวขึ้นมาทันควัน
“แม่นีทำกุญแจหล่นอยู่ตรงนั้น ถ้าอยากได้ก็ไปเก็บมา”
“ฮาน! นี่นาย...” ฉันถลึงตาใส่อีกฝ่ายที่ทะเล่อทะล่าไปบอกลูกแบบนั้น ตาหนูยืดคอป้อมๆ ขึ้นมองเมื่อเห็นว่ามีกุญแจอยู่ที่พื้นจริงก็วางขวดน้ำในมือ ทำท่าจะปีนลงจากเตียงอย่างไม่ลังเล
ฉันรีบจับแขนรั้งลูกเอาไว้
“ไม่เอาหรอกครับ นั่นอะไรก็ไม่รู้ ขืนหยิบสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วโดนกัดขึ้นมาจะทำยังไง”
“....” ตาหนูทำตาปริบๆ หลังได้ยินคำขู่ ก่อนร้องขึ้นมาว่า “แจ! มะ... อา... ว”
ลูกไม่เชื่อฉัน จับนิ้วแม่เขย่าเร่งเร้าจะเอาลูกเดียว ฉันส่ายหน้า ยังไงก็ไม่ได้
“นั่นไม่ใช่ของเล่นรู้ไหม ไม่ใช่รถ ไม่ใช่ของเรา”
“แจ... ย”
ภามคว้าพวงกุญแจรถมินิคูเปอร์ที่มีขนาดเล็กกว่ามือตัวเองนิดเดียวขึ้นมา บอกให้แม่รู้ว่ามันเป็นกุญแจของรถคันนี้
ความจริงคือพวงกุญแจรถมินิคูเปอร์ที่อยู่ในมือตาหนูคืออันเดียวกับที่ฉันเคยซื้อให้ฮาน เพื่อให้เขาห้อยกุญแจรถ แต่ฮานไม่เคยเหลียวแล ฉันยังนึกว่าเขาทิ้งมันไปแล้วเลย แต่วันดีคืนดีของที่ฉันไม่คิดว่าจะได้เห็นกลับมาอยู่ในมือลูกชาย แล้วจะให้ฉันรู้สึกยังไง
ของบางอย่างเราอาจโล่งใจที่ได้คืน แต่ของบางอย่างก็ทำให้เราหดหู่ที่ได้เห็นมันอีก
ฉันสูดหายใจลึก ตวัดสายตายะเยือกไปมองฮาน “เลิกล้อเล่นได้แล้ว นายกำลังทำให้ลูกฉันสับสน”
“ลูกเธอก็ลูกฉัน”
“ฮาน!”
“....” ฮานจับจ้องใบหน้าปวดร้าวของฉันครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจ “ถ้าเธอไม่เอา อย่างน้อยก็คิดว่าให้ลูก มีรถจะไปไหนมาไหนก็สะดวก ไม่ต้องคอยอาศัยคนอื่น”
แววตาฉันกระตุกไหว ไม่รู้ทำไมถึงนึกถึงวันที่ฉันนั่งรถพี่ลีไทน์มาโรงพยาบาล แอบมีความคิดเล็กๆ อยู่เหมือนกันว่าถ้ามีรถขับก็คงดี ไม่สิ... ฉันจะยอมให้คำพูดของฮานมากระทบจิตใจไม่ได้
ฉันสลัดความลังเลในใจทิ้งไป
“เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพานาย ออกไปได้แล้ว”
“ยด... มะ... ย...”
ตาหนูเรียกร้องไม่เลิก ฉันแข็งใจไม่มองหน้าลูก รอให้ฮานออกจากห้อง ทว่าแทนที่เขาจะตรงไปที่ประตู ร่างสูงกลับเดินไปที่กุญแจรถ แล้วย่อตัวลงเก็บด้วยสภาพแบบนั้น
พลั่ก!
ฮานเสียหลักล้มลงไป หัวใจฉันกระตุก เม้มริมฝีปากแน่น มองความมุ่งมั่นที่จะหยิบกุญแจรถของฮานด้วยสายตาเย็นชา แววตาหนักแน่นตั้งใจของฮานมองตรงมาที่ฉัน เขาดันร่างที่แขนขาฝั่งหนึ่งถูกตรึงด้วยเฝือกขาวโพลนขึ้นยืนอย่างลำบาก กระโดดย่องๆ ด้วยขาข้างเดียวมาที่เตียง ยื่นกุญแจในมือให้ลูก
“เก็บไว้”
“ยด...” ตาหนูยิ้มร่า มองกุญแจในมือฮานด้วยสายตาลิงโลด คว้าหมับอย่างไม่คิดอะไรทั้งนั้น เอากุญแจมาเสียบกับช่องหน้าต่างรถเล่น
“บืน... บรื๋น~”
...แล้วหลุดเข้าไปในโลกตัวเองเรียบร้อย
ฉันกับฮานมองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย ความรู้สึกอุ่นวาบเอ่อล้นในใจ คำถามมากมายที่ขุดหลุมฝังเอาไว้กำลังร้องเรียกให้หวนกลับไปนึกถึง
วันที่เขาไล่ฉันออกจากเพนท์เฮาส์ วันที่ต้องรักษาตัวจากการกรีดข้อมือตัวเองอย่างโดดเดี่ยวในโรงพยาบาล และวันที่รู้ว่าฮานบินตามหัวใจของเขาไปไกลถึงต่างประเทศ ฉันอยากรู้ว่าทำไม...
ทำไมถึงมองไม่เห็นความรักที่ฉันมีให้ ทำไมฮานไม่รักฉันบ้าง ฉันยอมทำทุกอย่าง ยอมแลกทุกอย่างเพื่อฮานเลยนะ
คำถามที่เต็มไปด้วยการคร่ำครวญแบบนั้น ฉันไม่อยากรื้อฟื้นขึ้นมาอีก
“เราจะคุยกันด้วยเหตุผลได้หรือยัง”
ขณะที่ฉันกำลังต่อสู้กับความขัดแย้งในใจเสียงของฮานก็ดังขึ้น เป็นอีกครั้งที่ฉันรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเอาซะเลย ฉันต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อต่อสู้กับความเจ็บปวดจากบาดแผลในหัวใจ แต่ฮานกลับพูดออกมาง่ายๆ
ฉันเกลียดที่ฮานทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เกลียดที่เขาไม่เคยรู้สึกผิดอะไรเลย
“ไว้ค่อยคุย ไม่อยากคุยต่อหน้าลูก” ฉันฝืนใจพูดโดยไม่ขึ้นเสียงเพราะกลัวทำตาหนูตกใจอีก
“ใช้เบอร์เดิมไหม”
“อะไร” ฉันนึกฉุนที่ฮานยังสามารถพูดออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย เขาควรรู้ตัวสักทีว่าฉันไม่มีอารมณ์จะคุยด้วย
“เบอร์โทรศัพท์... ไลน์”
“แล้วไง เคยเมมไว้ด้วยเหรอ”
“ไม่เมมแต่จำได้”
“....” ฉันมองฮานอย่างอึ้งๆ ไม่เคยนึกว่าเขาจะจำเบอร์ฉันได้ แต่ไม่รู้ว่าที่จำได้เป็นเพราะตั้งใจหรือรำคาญที่เมื่อก่อนฉันโทรหาบ่อยก็เลยจำเพื่อจะได้ไม่ต้องรับสาย
“หรือจะให้พี่แอดเพื่อนไปทาง Facebook”
พอฉันเงียบใบ้เขาก็เสนอทางเลือกมาอีก แต่เมื่อกี้เรียกตัวเองว่าไงนะ พี่เหรอ? ไม่รู้ทำไมได้ยินแล้วขนลุกขึ้นมาทันที
“ไม่ต้องแอดมา” ฉันบอกเสียงแข็ง คำว่า ‘พี่’ ยังหลอนหูไม่หาย ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ยินมาก่อน
“ทำไมล่ะ”
“ไม่ได้อยากเป็นเพื่อนด้วย”
“งั้น... ขึ้นสถานะเป็นแต่งงานกันไหม”
แก้มฉันร้อนวูบ ไม่รู้เป็นเพราะโมโหหรืออะไรกันแน่ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าฮานจะหน้ามึนขนาดนี้ จู่ๆ กลายเป็นคนกะล่อนขึ้นมาซะงั้น ฉันมองเขาอย่างตั้งตัวไม่ทัน
“อย่ามาล้อเล่นนะ”
“เปล่าล้อ”
“ไม่ตลก”
ฉันบอกช้าๆ ชัดๆ เผื่อเขาจะดูไม่ออกว่าฉันจริงจังแค่ไหน ฉันขอให้เขาออกไป แต่ฮานยังอิดออดทำหน้าเหมือนไม่อยากไป จนฉันทนไม่ไหว เดินออกมาเรียกพยาบาลที่ยังอุตส่าห์นั่งรอที่หน้าห้องให้เข้ามาพาตัวคนไข้ของเธอกลับห้องพัก
“ผมย้ายห้องมาอยู่กับลูกได้หรือเปล่า” ฮานพูดกับพยาบาลที่เข้ามาช่วยประคองตัวเขา คำถามที่ไม่มีใครคาดคิดก็หลุดออกมา
“คะ?” พยาบาลเงยหน้าขึ้นสบตาคนไข้เหมือนยังงงๆ กับคำถาม
“ไม่ก็ย้ายลูกไปห้องผม”
“เอ่อ...”
“ไม่ได้” ฉันรีบตัดบทในขณะที่พยาบาลยังจับต้นชนปลายไม่ถูก “เลิกพูดอะไรบ้าๆ แล้วก็ออกไปได้แล้ว ไปสิ!”
“ค่ะๆ” พยาบาลเหมือนเพิ่งได้สติหลังถูกฉันไล่ด้วยสีหน้าจริงจัง รีบประคองฮานออกจากห้องไปทันที
“มะ…”
“ตาหนู” ฉันหันกลับมามองลูกอย่างใจหาย เมื่อเห็นลูกชี้ไปที่ประตูที่เพิ่งปิดลง
“ปะ…”
“ไม่ได้ ไม่ใช่ป๊า… เรียกแบบนั้นไม่ได้นะ”
“ปะ… ยด ปะ…”
ฉันมองตาหนูอย่างปวดใจ ไม่รู้จะบอกลูกยังไงดี คว้ามือเล็กๆ เอาไว้แล้วบีบเบาๆ “นั่นไม่ใช่ป๊าลูก… เขาไม่ใช่พ่อของหนู”
“….” ภามจ้องหน้าแม่คล้ายเข้าใจสิ่งที่บอกแต่บางทีก็คล้ายไม่เข้าใจ
ฉันใคร่ครวญความคิดครู่หนึ่งก่อนบอกลูกด้วยเสียงที่หนักแน่น “นั่นน่ะลุงฮาน หนูอย่าเรียกเขาว่าป๊าอีกนะ”
ลูกไม่ตอบสนอง ฉันยิ่งร้อนรน นึกอะไรได้ก็พูดออกไปหมด
“ถ้ายายได้ยินหนูเรียกลุงฮานว่าป๊า ยายจะดุแล้วก็ไล่เราสองคนออกจากบ้าน”
ตาหนูสบสายตาเคร่งเครียดของฉันแล้วก้มลงเหมือนไม่ได้ฟัง หรือตั้งใจเมินก็ไม่รู้
“ภาม... เข้าใจที่แม่พูดไหมครับ” ฉันลองถาม ปรากฏว่าลูกพยักหน้าตอบกลับมาอย่างหงอยๆ ทำเอาแม่รู้สึกอ้างว้างตามไปด้วย ฉันดึงลูกเข้ามากอด หอมหัวแล้วค้างเอาไว้จนพอใจแล้วค่อยปล่อยตัวลูก ตอนนั้นภามก็เอื้อมมือขึ้นมาจับแก้มฉัน แล้วยืดตัวขึ้นจุ๊บปากแม่เบาๆ ความรู้สึกเย็นวาบในห้วงเวลาสั้นๆ เหมือนมีเวทมนตร์ที่ช่วยปัดเป่าความเศร้าหมองในจิตใจให้หายไป ฉันยิ้มให้ลูกอย่างเอ็นดู ลืมความทุกข์ใจไปเกือบหมด ดึงแก้มลูกชายเบาๆ
“ห้ามไปทำแบบนี้กับสาวที่ไหนล่ะ”