“เพนนีอย่าถือสาเรซเลยนะ”
พี่เทียนพูดขึ้นระหว่างนั่งรอเครื่องดื่มที่ร้านกาแฟตรงล็อบบี้โรงพยาบาล ที่จริงฉันก็รู้สึกไม่ดีที่เถลไถล แต่เพราะอารมณ์ตอนนี้ยังไม่นิ่งพอ แถมคราบน้ำตาก็เปรอะเต็มแก้ม ขืนกลับเข้าไปเจอลูกในสภาพตาบวมๆ กลิ่นอายเกลียดชังเต็มหน้าแบบนั้น ลูกอาจตกใจกลัว หรือไม่ฉันก็อาจจะสะเทือนใจเพราะเห็นหน้าลูกจนปล่อยโฮออกมาอีกก็ได้
ฉันไม่ได้พกมือถือติดตัว โชคดีที่มีพี่เทียนอยู่ข้างๆ ฉันขอยืมมือถือเธอโทรบอกคะนิ้งให้ช่วยอยู่เป็นเพื่อนตาหนูสักพัก ไว้ฉันเสร็จธุระแล้วจะรีบกลับไป
ด้วยเหตุนี้พี่เทียนเลยตามฉันมา ฉันเข้าห้องน้ำล้างหน้าเธอก็ยืนรอ แถมยังชวนฉันลงมาหาอะไรเย็นๆ กินอย่างรู้ใจอีก ฉันไม่ได้อะไรกับเธอเป็นพิเศษ รู้แค่เป็นเพื่อนคะนิ้งและเป็นคนที่หุ่นสวยจนน่าอิจฉาเท่านั้น แต่เพราะเธอเป็นแฟนเรซ ผู้ชายที่ฉันไม่ค่อยชอบน้ำหน้าเท่าไหร่ แล้วเมื่อกี้พี่เทียนยังพูดออกมาในเชิงเข้าข้างผู้ชายของตัวเอง ทำให้ฉันเริ่มตั้งแง่ สงสัยว่าที่เธอเข้ามาทำสนิทกับฉันเป็นเพราะมีจุดประสงค์อะไรบางอย่างหรือเปล่า
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ นีไม่ปล่อยให้คนที่นีไม่ชอบมามีอิทธิพลต่อความรู้สึกของนีหรอก”
“....” พี่เทียนกะพริบตาปริบ คาดไม่ถึงว่าฉันจะสำบัดสำนวนใส่แบบนั้น
“นีจำมาจากหนังสือที่เคยอ่านน่ะ” ฉันพูดต่ออย่างไม่ใส่ใจ อีกฝ่ายทำหน้าถึงบางอ้อทันที เงียบกันไปสักพัก ฉันเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร ปล่อยให้บรรยากาศค่อยๆ ดิ่งลงเหวไปทั้งแบบนั้น แต่ดูเหมือนคนข้างๆ ฉันกำลังใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลา ก่อนที่บรรยากาศรอบตัวจะตายลงจริงๆ เสียงพี่เทียนก็ดังขึ้น
“ถึงพี่จะเพิ่งรู้จักกับพวกเรดซันไม่นาน แต่พี่ก็พอได้ยินเรื่องเพนนีกับฮานมาบ้าง”
“โดนเป่าหูอะไรมาล่ะ” ฉันถามแทรกทั้งที่พี่เทียนยังพูดไม่จบ แสยะยิ้มมุมปากมองเธอที่ทำหน้าอึ้งๆ คิดไม่ถึงว่าฉันจะใจกล้าตัดบทกันโต้งๆ
“นมสดปั่นได้แล้วค่ะ” เสียงดังมาจากหน้าเคาน์เตอร์ ฉันชะเง้อคอมอง นมปั่นที่สั่งได้พอดี
“นีขอตัวนะคะ พี่เองก็อย่าทุ่มจนสุดตัวล่ะ จะได้ไม่ต้องเจ็บเหมือนนี”
ฉันยิ้มจริงใจให้พี่เทียนเป็นครั้งสุดท้าย ลุกขึ้นไปหยิบเครื่องดื่ม เดินออกจากร้านด้วยความรู้สึกหดหู่
ฉันกลับเข้ามาในห้อง คะนิ้งกำลังนั่งอ่านนิทานให้ตาหนูของฉันฟังหันมามองด้วยสายตาโล่งใจ
“แม่มาแล้ว” ยัยนั่นพูดกับลูกฉัน
“มะ”
“มาแล้วครับ” ฉันเดินมาหาลูกที่เตียง เหลือบมองนิทานในมือคะนิ้งแล้วนึกท้อใจเบาๆ ขนาดนิทานยังเป็นเรื่องรถ ขอพื้นที่ให้แม่ได้หายใจบ้างเถอะลูก เฮ้อ...
“โทษทีนะ เธอต้องไปเรียนหรือเปล่า” เสียงที่เอ่ยออกไปตึงๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจ
“อืม เดี๋ยวริกมารับ”
ฉันพยักหน้ารับรู้ รับหนังสือนิทานจากคะนิ้งมาอ่านต่อ ตาหนูคอยส่งเสียงมะๆ บ้าง ชี้รถในหนังสือบ้าง บางทีก็เอารถพวงกุญแจในมือมาเทียบกับภาพในหนังสือทำเสียง ‘บรืน~บรืน~’ อย่างสนุกสนาน ฉันได้แต่มองยิ้มๆ ทำอะไรไม่ได้ นอกจากบอกตัวเองว่าลูกยังเล็ก ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว แค่เล่นไปตามประสาเด็ก
สิบโมงกว่าๆ ตาหนูก็หลับ หลับทั้งๆ ที่กำรถในมือเอาไว้แน่น ฉันอยากดึงออกแต่ก็กลัวลูกตื่นมาแล้วโวยวาย สุดท้ายก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ห่มผ้าให้ตาหนูเสร็จก็เดินมานั่งเช็กไลน์ที่โซฟา ดูว่าในกลุ่มเพื่อนที่มหาลัยมีอะไรเคลื่อนไหวบ้าง ฉันพิมพ์บอกให้เพื่อนเก็บงานไว้ให้ คงขาดเรียนสักสองสามวัน โกหกไปว่าพ่อไม่สบายต้องอยู่เฝ้าไข้ ต่อให้มีใครอยากบ่นเรื่องที่ฉันขาดเรียนบ่อยก็คงบ่นไม่ออก
หลังจัดการธุระกับเพื่อนเสร็จ ฉันสลับหน้าจอไปทักคะนิ้งอย่างไม่สามารถละเลยได้
เพนนี : เขามาที่ห้องใช่ไหม
คะนิ้ง : เขาไหน
เพนนี : ฮาน
คะนิ้ง : อ่อ
เพนนี : ทำไมไม่บอก
คะนิ้ง : ไม่มีเวลาได้บอกน่ะสิ
เพนนี : เธอน่าจะปลุกฉันนะ หรือว่ารู้เห็นเป็นใจกัน
คะนิ้ง : ไปกันใหญ่แล้ว ฉันก็ไม่ชอบที่ฮานทำกับเธอนักหรอกนะ
เพนนี : แต่เธอปล่อยให้เขาเข้าใกล้ลูกฉัน วันนั้นเธอก็พาตาหนูไปที่อู่ จงใจชัดๆ
คะนิ้ง : เปล่านะ แล้วจะเอาเรื่องเก่าขึ้นมาพูดอีกทำไม
ฉันอ่านตัวหนังสือบนจออย่างรู้สึกเดือดดาล นี่ถ้าอยู่ต่อหน้าอาจจะมีเหวี่ยงใส่กันไปแล้ว เมื่อเช้าที่ฉันไม่พูดก็เพราะไม่อยากชวนทะเลาะต่อหน้าลูก
ป้ากับแม่มีน้ำโหใส่กัน คงไม่ใช่ภาพที่น่าดูนัก
แก๊ก...
ฉันกำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงใส่หน้าจอโทรศัพท์เบาๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามา คนที่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าทำฉันลุกพรวดขึ้นยืนกะทันหัน
“ฮาน...”
ฉันมองฮานกับพยาบาลข้างกายเขาซึ่งคือคนเดียวกับเมื่อเช้า คอยช่วยพยุงเขาเดินเข้ามา
พยาบาลไม่กล้าแม้แต่จะสบตาฉัน ทำหน้าหวาดๆ ราวกับกลัวว่าฉันจะจับกินยังไงยังงั้น
“เข้ามาทำไม!” ฉันถามอย่างไม่ต้อนรับ
“ออกไปก่อน” หมอนั่นหันไปบอกนางพยาบาลที่ทำท่าทางเหมือนอยากจะติดสอยห้อยตามเขาไปทุกที่
“ค่ะ”
พยาบาลก้มหน้าเดินออกประตูไปอย่างเสียไม่ได้ หลังตัดส่วนเกินออกไปแล้ว ฮานหันกลับมามองฉัน เอามือข้างที่ใช้งานได้ล้วงบางอย่างออกมาจากถุงกางเกง ยื่นออกมาตรงหน้าฉัน
กุญแจรถ?
“เอาไปสิ”
ฉันมองกุญแจรถในมือของฮานอย่างไม่เข้าใจ และไม่คิดจะรับของจากมือเขาเด็ดขาด
“อะไร” ฉันถามเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมเก็บมือกลับไปสักที
“ของรับขวัญลูก”
“ห๊ะ!?” ฉันไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้ายังไงตอนได้ยินแบบนั้น
“ฉันอยากให้เธอรับไว้ มันเป็นสิ่งที่เธอสมควรได้รับ”
ฉันฟังฮานพูด ความรู้สึกร้าวรานค่อยๆ แล่นปราดเข้าสู่หัวใจ
“คิดว่านี่จะซื้อใจฉันได้เหรอ”
“เปล่า”
“งั้นก็เอากลับไป ฉันไม่ต้องการ”
“รถจอดอยู่ที่เพนท์เฮาส์ ไปเอาได้ตลอด”
ฮานวางกุญแจลงบนโต๊ะเหมือนไม่ได้ฟังที่ฉันพูด
“นี่คิดจะยั่วโมโหกันหรือไง”
“เมื่อเช้าอาจจะพูดไม่คิด ขอโทษ”
“....” ฉันกำลังจะพ่นไฟใส่เขารัวๆ แต่คำ ‘ขอโทษ’ ที่ออกจากปากคนตรงหน้าอย่างคาดไม่ถึงทำฉันชะงักงัน มองใบหน้าจริงจังกับแววตาจริงใจที่ส่งผ่านความรู้สึกออกมาจากข้างในราวกับถูกสะกด ตั้งแต่ใกล้ชิดกันมาฉันไม่เคยได้รับความปรานีหรือเอ็นดูจากฮาน คำพูดหวานๆ ยิ่งไม่เคยได้ฟัง
“นี่วางแผนอะไรอยู่กันแน่ กำลังปั่นหัวฉันเล่นอยู่เหรอ”
ฉันรีบยับยั้งความรู้สึกสั่นไหวในใจ แค่คำว่าขอโทษเยียวยาบาดแผลในใจฉันไม่ได้หรอก มีแต่จะทำให้เจ็บช้ำบานปลายยิ่งขึ้น
“ออกไปได้แล้ว เอานี่กลับไปด้วย แล้วอย่าเข้าใกล้ลูกฉันอีก”
ฉันฉวยกุญแจรถขึ้นมาผลักใส่อกฮาน เขาเซไปด้านหลังอย่างเสียหลัก จับข้อมือฉันเอาไว้ทันควัน ฉันใจหายวาบกับแรงกระตุกที่ข้อมือ ช่วยดึงร่างฮานที่กำลังจะหงายตึงลงไปด้านหลังให้กลับมายืนตรง
ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเกิดขึ้นไวและผ่านไปในชั่วพริบตา ขนาดเสียงร้องตกใจยังไม่ทันได้ออกจากปาก ร่างสูงก็กลับมายืนอย่างมั่นคงเหมือนเดิม ฉันรีบชักมือกลับ ถอยห่างจากฮานอย่างกับเขาเป็นตัวเชื้อโรค กุญแจรถหล่นตุบลงที่พื้น ดึงสายตาของเขาและฉันลงมอง
ฉันไม่คิดหยิบมันขึ้นมา ฮานก็ยิ่งก้มเก็บไม่ได้ เขามองหน้าฉัน “ไม่มีโอกาสแล้วจริงๆ เหรอ”
แววตาที่ยึดติดของฮานสะท้อนภาพฉันในอดีต ฉันที่ทนรับได้ทุกอย่างขอแค่ให้เขาหันกลับมามอง ยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้อยู่กับฮาน
ฉันเบือนหน้าหนีสายตาคาดหวังของฮาน หัวใจร้องบอกอย่างไม่เคยเข็ดหลาบว่าในที่สุดเขาก็ต้องการฉันแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมข้างในยังไม่หายเจ็บ คงเพราะฉันยังลืมความโหดร้ายจากการถูกทิ้งไว้เพียงลำพังไม่ได้
“เมื่อก่อนฉันคือคนที่ต้องขอโอกาสจากนาย แต่ตอนนี้นายกลับเป็นฝ่ายอยากได้โอกาสจากฉันแทน ชีวิตคนเรานี่ก็ตลกดีเหมือนกัน ว่าไหม”
“….” ฮานไม่ตอบ สายตาของเขาจ้องมองมาที่ฉัน แต่ฉันหันหน้าไปอีกทาง บนเตียงที่มีก้อนผ้าห่มกลมๆ ช่วยทำให้หัวใจที่หนาวเหน็บของฉันอบอุ่นขึ้น ไม่รู้สึกเปลี่ยวเหงาเหมือนตอนที่อยู่กับฮานในอดีตอีกแล้ว
ฉันหันกลับมามองสบสายตาฮานอย่างไม่หวั่นไหว ฉันเลิกอยากให้ฮานกลับมา เลิกตั้งคำถามว่าทำไมเขาถึงไม่เคยรักฉัน เลิกจมอยู่กับความสิ้นหวังที่เหมือนตรวนกักขังหัวใจ ถ้าให้กลับไปคิดเรื่องของฮาน ก็คงไม่ต่างจากการขยี้แผลเดิมของตัวเอง แล้วฉันจะอยากเจ็บปวดอีกทำไม
“ตอนนี้ฉันถอดใจจากนายแล้ว นายเองก็ควรจะเลิกยุ่งกับฉันสักที ต่อให้... เรามีลูกด้วยกัน ฉันก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรจากนาย ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่นายเคยทำก่อนหน้านี้ไง สำหรับพวกเราฉันว่าแบบนั้นมันก็ดีอยู่แล้ว”