คนของทางการที่เป็นชายร่างโตสองคน เข้ามาช่วยกันแบกร่างเมิ่งเยียน หิ้วหัวทาง หิ้วท้ายทาง เพื่อพานางไปยังคุกเซียนเฉิง หญิงสาวได้แต่ประท้วงอื้ออึงในลำคอ
“หัวหน้า รัชทายาททรงมีรับสั่งเรียกหา เรื่องเร่งด่วนขอรับ” ลูกน้องคนสนิทเข้ามากระซิบที่ข้างหู
เซ่าเจ๋อที่กำลังจะสอบสวนเรื่องบางอย่างจากคนทั้งสองจึงต้องยกเลิก เขาสั่งให้ขังพวกนางเอาไว้ก่อน โดยไม่ลืมกำชับให้จับตาดูสองคนนี้ให้ดี
ส่วนเมิ่งเยียนและอาเหยาได้แต่นั่งเงียบ ทั้งสองกำลังครุ่นคิดหาวิธีออกจากคุกนี้
แล้วจู่ ๆ เมิ่งเยียนก็ตบเข่าดังฉาด “อาเหยา ข้าคิดวิธีออกแล้ว”
ดวงตาอาเหยาเป็นประกายขึ้นมาทันที เขาไม่อยากนอนอยู่ในนี้ พื้นแข็งก็แข็ง มิหนำซ้ำยังเหม็นกลิ่นอับ หนุ่มน้อยอาเหยาทำหน้าเหยเกเมื่อคิดว่าต้องนอนในนี้ เขาคิดว่านอนในวัดร้างเสียยังดีกว่าอีก “พี่เมิ่ง ข้าไม่อยากอยู่ในนี้ทั้งคืน”
“ข้าก็เหมือนกัน” เมิ่งเยียนเองก็ไม่อยากนอนในนี้
หญิงสาวยิ้มกริ่ม ดึงหูอาเหยาให้ขยับเข้ามาใกล้ กระซิบบอกแผนการในหัว
เวลาล่วงเลยจนถึงช่วงค่ำ ท้องฟ้าด้านนอกเปลี่ยนเป็นสีเข้มแล้ว ซึ่งเป็นเวลาเปลี่ยนเวรของเจ้าหน้าที่คุมขัง
ตอนนี้มีเจ้าหน้าที่คุมขังคนใหม่เข้ามาเปลี่ยนเวรกับคนเก่าแล้ว เป็นชายร่างท้วมพุงพลุ้ย อีกคนค่อนข้างผอมและไว้หนวดแพะ
เมิ่งเยียนหันไปสบตาอาเหยา ทั้งสองพยักหน้าให้กัน เป็นสัญญานให้เริ่มแผนหลบหนีได้
“โอ๊ย ปวดเหลือเกิน ปวดท้องเหลือเกิน...” เมิ่งเยียนทิ้งตัวนอนเกลือกกลิ้งบนพื้น นอนตัวงอมือกุมท้องตนเอง ใบหน้าของนางกลายเป็นสีแดง คล้ายกำลังเจ็บปวดแสนสาหัส
อาเหยาเองก็แสร้งทำเป็นร้อนรน เขาวิ่งไปเกาะประตูห้องขังแล้วเขย่าอย่างแรง “พี่ชาย ๆ พี่สาวข้าโรคเก่านางกำเริบ ต้องการยาด่วนขอรับ!”
เจ้าหน้าที่หนวดแพะหันมองหน้าสหายร่วมงาน ก่อนที่เขาจะโพล่งขึ้นอย่างรำคาญ “เดี๋ยวข้าจะไปตามหมอมาดูอาการนางก็แล้วกัน เจ้าช่วยบอกพี่สาวเจ้าให้หุบปากหน่อยเถอะ”
เมิ่งเยียนดีดดิ้นยิ่งกว่าเดิม เหมือนไส้เดือนโดนน้ำร้อนลวก “โอ๊ย ๆ ข้าปวดมาก อาเหยา...ปวดจะตายแล้ว”
อาเหยา “พี่สาวข้านางมียาที่ต้องกินประจำอยู่แล้ว แต่ยาอยู่ที่บ้าน พี่ชายรูปหล่อ ขอข้าไปเอายาจะได้หรือไม่”
เจ้าหน้าที่คนเดิมตอบกลับทันควัน “ไม่ได้!”
“ฮือ! พี่ชาย ชีวิตข้าเหลือเพียงนางเป็นพี่สาว หากนางตาย...ต่อไปข้าจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างไร” อาเหยาเริ่มคร่ำครวญแล้วเช่นกัน เขาถึงกับบีบน้ำตาลูกผู้ชายให้หยดแหมะ
เจ้าหน้าที่หนวดแพะมองหน้าสหายร่วมงานอีกครั้ง พวกเขาย่อมรู้สึกเห็นใจ คิดว่าสองพี่น้องนี้ถูกจับเข้าคุกเพราะเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น คุกเซียนเฉิงมีไว้สำหรับชาวบ้านธรรมดา คดีเล็กน้อยที่สร้างความรำคาญใจ เช่นคดีลักเล็กขโมยน้อย ไม่ก็เพื่อนบ้านทะเลาะวิวาทกัน อีกอย่างเจ้าหน้าที่สองคนก่อนหน้าก็ไม่ได้กำชับอะไรกับพวกเขา
เมิ่งเหยาเห็นสีหน้าเจ้าหน้าที่เริ่มโอนอ่อน นางก็เริ่มแสดงงิ้วต่อ “อาเหยา...พี่สาวต้องไม่รอดแน่ ๆ เจ้าจงทำใจไว้เสีย ต่อไปเจ้าต้องอยู่ตัวคนเดียวแล้วนะ” นางเริ่มสั่งเสีย น้ำตาไหลอาบแก้ม เป็นภาพที่ดูแล้วน่าสงสารอย่างยิ่ง
เจ้าหน้าที่ร่างท้วม “เช่นนั้นก็บอกที่อยู่เจ้ามา ข้าจะเป็นคนไปเอายามาให้เอง!”
“พี่ชาย ยานี้เป็นของแพงและหายาก ข้าจึงเก็บไว้อย่างดี บ้านข้าอยู่ท้ายถนนสายรอง...ยาพี่สาวข้าซ่อนไว้ทางลับใต้ดินซึ่งทางค่อนยาว ต้องเดินเลี้ยวซ้ายสองซ้าย เลี้ยวขวาสี่ขวา ซ้ายอีกสาม...” อาเหยากล่าวยาวยืดเป็นตุเป็นตะ ก่อนจะลอบมองสีหน้าคนพวกนั้น แน่นอนว่าพวกเขาต่างก็ขมวดคิ้ว ทางลึกลับเช่นนั้นใครจะจำได้!
“หากพี่ชายกลัวว่าข้าจะหนี ท่านก็ไปกับข้า นะขอรับ พี่สาวข้าต้องใช้ยานั้นด่วน” อาเหยากล่าวเสริม
“พี่ชาย ท่านไปกับน้องชายข้าสักประเดี๋ยว อย่างไรตัวข้าก็อยู่ในคุกอยู่แล้ว อีกอย่าง เรามีกันเพียงสองคนพี่น้อง น้องชายข้าย่อมไม่มีวันทิ้งข้าแน่นอน” เมิ่งเยียนคลานไปที่ประตู ยื่นมืออันสั่นเทาออกไปจับเท้าเจ้าหน้าที่หนวดแพะไว้ เงยหน้าสบตาเขาทั้งสองอย่างขอร้อง “ข้ามีสินน้ำใจเล็กน้อยจะมอบให้ท่านด้วย หากท่านช่วยนำยามาให้ข้าได้ ข้าไม่อยากตาย…” หญิงสาวได้แอบหยิบเงินในหีบออกมาสิบตำลึง ยื่นให้เจ้าหน้าที่คุมขังทั้งสอง
พอเห็นจำนวนเงิน ดวงตาของเจ้าหน้าที่ก็เป็นประกาย พวกเขาเป็นแค่คนชั้นผู้น้อย เงินเดือนไม่มากมายอะไร จากที่ลังเลเมื่อครู่ พวกเขาก็รีบตอบตกลงแทบทันทีทันใด
อาเหยาจึงได้ออกไปกับผู้คุมร่างท้วมพุงพลุ้ย ตอนนี้จึงเหลือเพียงเมิ่งเยียนกับเจ้าหน้าที่หนวดแพะ
เมิ่งเยียนยังร้องโอยโอดด้วยความเจ็บปวด นางยื่นมือออกจับเท้าผู้คุมไว้ ก่อนเริ่มไต่มือขึ้นสูงไปเรื่อย ๆ จนเกือบถึงจุดสำคัญ แล้วจากเสียงร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ก็กลายเป็นเสียงครางกระเส่าแทน
“จะ...เจ้า!” หน้าของเจ้าหน้าที่หนวดแพะพลันแดงเถือก เขารีบขยับออกห่างทันที
เมิ่งเยียนเคยอยู่หอนางโลมมาตั้งแต่เด็ก นางจึงซึมซับวิธียั่วยวนบุรุษมาไม่น้อย หญิงสาวแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ก่อนจะค่อย ๆ แหวกสาบเสื้อตัวเองออก เผยให้เห็นเนินอกวับ ๆ แวม ๆ
เจ้าหน้าที่หนวดแพะก็เป็นเพียงชายคนหนึ่ง เขาไม่ใช่นักบวชถือศีลแต่อย่างใด แน่นอนว่าเขาย่อมทนสิ่งยั่วเย้าไม่ไหว จึงรีบไขกุญแจเปิดประตูเข้าไปหานาง
เมิ่งเยียนยิ้มหวาน นางโอบกอดเขา ยังไม่ทันที่ชายคนนั้นจะได้ลิ้มลองอะไร นางก็แอบดึงเข็มยาสลบออกจากช่องลับในแขนเสื้อ ปักเข็มเข้าที่ท้ายทอยเขาอย่างแรง
ด้วยเพราะนางทำอาชีพเช่นนี้ จึงต้องมีสิ่งนี้ไว้ป้องกันตัวในยามคับขัน
เมิ่งเยียนรีบมายังจุดที่นัดไว้กับอาเหยา ซึ่งก็คือใต้ต้นไม้ใหญ่แถวหน้าประตูเมือง อาเหยาจะนำม้ามาที่นี่ แล้วทั้งคู่ก็จะออกจากเมืองหลวงในคืนนี้ทันที โชคดีที่คุกเซียนเฉิงมีเจ้าหน้าที่แค่สองนาย
ระหว่างที่เมิ่งเยียนรอลูกสมุนมือซ้ายของนางอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีคนของทางการกลุ่มหนึ่ง นำโดยเจ้าหน้าที่หน้าหยกผู้นั้น ถือคบเพลิงและสุนัขดมกลิ่นเดินตรงทางนี้
เมิ่งเยียนรีบหลบซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ด้วยหัวใจที่เต้นรัว ไม่รู้หากถูกจับได้ นางจะโดนเพิ่มข้อหาทำร้ายเจ้าหน้าที่เพิ่มหรือไม่
คิดแล้วก็เศร้าใจยิ่งนัก…
เซ่าเจ๋อนำคนกลุ่มหนึ่งออกตามตัวสองคนนั่น เขายังยุ่งกับภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากรัชทายาท แต่จู่ ๆ ก็มีคนมารายงานว่าที่เซียนเฉิงเกิดปัญหา สองคนนั้นที่เขาจับตัวได้หนีไปแล้ว แน่นอนว่าเซ่าเจ๋อหัวเสียไม่น้อย
เซ่าเจ๋อนำเศษชิ้นส่วนผ้าสีขาวที่หล่นในคุกให้สุนัขดมกลิ่นดม อย่างไรก็ต้องตามจับตัวให้ได้!
เมิ่งเยียนสะดุ้ง เมื่อสุนัขสีดำตัวใหญ่ที่ก้มดมกลิ่นอยู่ที่พื้น จู่ ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมา มันจ้องหน้านางที่โผล่หน้าออกมาจากหลังต้นไม้เพื่อมองสถานการณ์
หนึ่งคนหนึ่งสุนัขจ้องตากันนิ่ง ก่อนสุนัขดำจะเห่าเสียงดัง “โฮ่ง!”
“ทางนั้น!” เซ่าเจ๋อชี้นิ้วสั่งการ
เมิ่งเยียนคิดในใจ ‘ซวยแล้ว!’ หญิงสาวรีบยกชายกระโปรงแล้วเผ่นแน่บ ตอนนี้สภาพของนางดูไม่ได้เลยทีเดียว เนื้อตัวเปรอะเปื้อนมอมแมม ไปทั้งตัว แต่ช่างเถิด! ตอนนี้นางต้องหนีให้รอดก่อน หากนางเลือกซ่อนตัวสักที่คงยากแล้ว เพราะมีสุนัขดมกลิ่นตามมาเป็นฝูง
คนพวกนั้นทำราวกับนางลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้มา เล่นใหญ่เสียจนพวกองครักษ์เสื้อแพรต้องอาย!
ไม่ไกลนั้น เมิ่งเยียนเห็นว่ามีโคมประดับส่องแสงเรืองรองมากมาย คล้ายมีสถานที่บันเทิงตั้งอยู่ นางจึงรีบวิ่งหนีไปทางนั้น
หญิงสาววิ่งตรงไปข้างหน้าอย่างเดียว จนพบว่าเป็นสถานที่บันเทิงสำหรับบุรุษ ป้ายสักขนาดใหญ่เขียนไว้ว่า “หอซือเซียน...”
ที่นี่มีหญิงงามนุ่งผ้าโปร่งบางเดินว่อนละลานตาไปหมด เมิ่งเยียนจึงอาศัยคนพลุ่งพล่านนี้เดินปิดหน้าปิดตาเข้าไปด้านใน นางคิดว่าซ่อนตัวอยู่ในนี้ก็ไม่เลว
“เอ๋ เจ้าชื่ออะไร” จู่ ๆ ก็มีหญิงงามคนหนึ่งเดินเข้ามาทัก
เมิ่งเยียนรีบก้มหน้า “คือว่า...”
“ซูเหยา ไปรอที่ห้องได้แล้ว” แล้วก็มีเสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามา
“เจ้าชื่อซูเหยาหรอกหรือ เหตุใดมีสภาพเช่นนี้ เจ้าจะเข้าไปพบนายท่านสวีสภาพนี้ไม่ได้หรอกนะ เสียชื่อหอซือเซียนหมด” หญิงงามคนนั้นกวาดสายตามองตั้งแตศีรษะจรดปลายเท้าแล้วส่ายหน้า สภาพนางไม่ต่างอะไรกับขอทานข้างถนน
“ไปชำระกายหน่อยไป” นางโบกมือไล่
เมิ่งเยียนจำต้องเข็นเรือไปตามน้ำ หญิงสาวขานรับเสียงแผ่วในลำคอ ก่อนจะรีบเดินผ่านนางไป
“ซูเหยา ห้องอาบน้ำอยู่ซ้ายมือ เสร็จแล้วก็ไปรอที่ห้องสีแดง วันนี้นายท่านสวีจะมาช้าหน่อย” หญิงงามย้ำเตือน ก่อนสะบัดก้นเดินจากไป
“เจ้าค่ะ” เมิ่งเยียนเข้าไปอาบน้ำชำระกาย เผื่อจะกลบกลิ่นกายนางได้หน่อย เสร็จแล้วนางก็ว่าจะไปที่หน้าประตูเมืองเผื่ออาเหยากำลังรอนางอยู่
หญิงสาวเปลี่ยนเป็นชุดสีแดงร้อนแรง นางก้าวออกมาจากห้องอาบน้ำอย่างอารมณ์ดี แต่แล้วก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น นางโผล่หัวออกไปดูสถานการณ์ข้างนอก เหลือบไปเห็นพ่อหนุ่มหน้าหยกเข้าพอดี
เซ่าเจ๋อถือวิสาสะตรวจค้นเสียทุกห้อง
“เจ้าบ้านี่ ตามข้าไม่เลิกราเลย!” เมิ่งเยียนเริ่มหัวเสียหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว
นางจึงรีบสับเท้าเตรียมชิ่งไปทางด้านหลังของหอซือเซียน แต่กลับมีบางคนคว้าแขนนางเอาไว้ เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง นางก็ได้แต่ส่งยิ้มแหย
นางก็คือหญิงงามคนนั้น เมิ่งเยียนจำชายเสื้อสีฟ้าและกลิ่นตัวได้ “ห้องแดงไปทางนู้น” หญิงงามชี้นิ้วไปอีกทาง ซึ่งเป็นส่วนที่พ่อหนุ่มหน้าหยกกำลังตรวจค้นห้อง
ไม่รอให้เมิ่งเยียนกล่าวอะไร หญิงงามก็ลากแขนเมิ่งเยียนไปยังทางเซาเจ๋อกับพวกลูกน้องทันที
เซ่าเจ๋อไม่อาจนำสุนัขดมกลิ่นเข้ามาได้ เขาจึงต้องขอมาค้นด้วยตนเองกับลูกน้องอีกสองคน ตอนเมิ่งเยียนเดินผ่านเขา เขาเองก็ไม่ได้เอะใจเลยสักนิด
“ปรนนิบัติคุณชายให้ดี” หญิงงามผลักเมิ่งเยียนเข้าไปในห้องหนึ่ง ก่อนปิดประตูเสียงดัง
ภายในห้องตกแต่งด้วยสีแดง และมีภาพวาดเร้าอารมณ์ติดเต็มผนังห้อง เมิ่งเยียนถึงกับขนลุก รู้สึกอุจาดตาอย่างไรก็บอกไม่ถูก หญิงสาวก้าวถอยหลังเตรียมชิ่งหนี ไม่ทันได้สังเกตว่ามีบุรุษสวมชุดม่วงนั่งจิบสุราอยู่ปลายเตียง