2
นราวดียกมือจับแก้ม มองพ่อด้วยสายตาปวดร้าว พ่อไม่เชื่อเธอยังจะพอทำใจได้ แต่ถึงกับตบหน้าเธอ เพราะคำพูดของคนที่เพิ่งจะเขามาอยู่ได้แค่ไม่นาน
“พ่อไม่นึกเลยว่าหนูจะทำตัวอย่างนี้ ทำไมหนูถึงทำตัวเหลวไหล พ่อกับแม่ไม่เคยสอนให้หนูทำตัวอย่างนี้เลยนะ” นราวดียังจำคำพูดที่พ่อตัดพ้อได้ขึ้นใจ
“หนูเปล่านะคะพ่อ หนูไม่ได้ทำ พ่อต้องเชื่อหนูสิ”
เธอพูดจนคอแห้ง แต่พ่อก็ไม่เชื่อ ได้แต่ส่ายหน้าและห้ามไม่ให้พูดถึงอีก พร้อมว่ากล่าวตักเตือนไม่ให้ทำตัวอย่างที่ก้าน ก่อนจะเดินหนีเธอไปหาน้องสาวที่นอนหลับอยู่ใกล้ๆ
จินดาก็เข้ามายืนใกล้ๆ ก้มกระซิบข้างหู “วันนี้แกหนีน้องชายฉันไปได้ แต่วันต่อไปอย่างหวังว่าจะรอดเลยนังนารา พอน้องชายฉันได้แกจนเบื่อเมื่อไหร่ แกก็เตรียมตัวไปเป็นเมียน้อยไอ้อ้วนหมูตอนเจ้าของร้านขายหมูในตลาดโน้น ฉันจะไม่เก็บแกไว้รกหูรกตาฉันกับครอบครัวแน่!”
จินดายิ้มเยาะ กวาดตาประเมินราคานราวดีอยู่ในใจ “หุ่นอย่างแก ไอ้อ้วนบอกว่าจะให้หลายหมื่นอยู่หรอกนะ ถ้าแกป่อง...เป็นหญิงมันก็จะให้ฉันหนึ่งแสน แต่ถ้าเป็นเด็กชายฉัน กับครอบครัวก็จะได้สบายไปตลอดชีวิตทีเดียว” จินดาเดินหัวเราะออกไปจากห้อง พร้อมกับบ่นว่าน้องชายที่ทำไม่สำเร็จ
คืนนั้นนราวดีน้ำตาไหลอาบแก้ม ทรุดตัวลงกองกับพื้นห้องทั้งน้อยใจและเสียใจที่เชื่อจินดากับน้องชาย ผลจากการนอนร้องไห้ทั้งคืน ใบหน้าเธอบวมเป่ง ตอนเช้าก็แทบจะลุกไปทำงานไม่ไหว อาการเจ็บปวดทางกายยังพอทน แต่เจ็บใจทำให้เธอใจลอย ทำงานพลาดจนถูกหัวหน้างานเรียกไปตักเตือน
รอดได้ครั้งหนึ่งแต่โชคไม่เข้าข้างเธอเสมอไป หากจะคอยแต่ระวังตัว สักวันมันก็จะต้องพลาด ยังมีเวลาอีกหลายวันกว่าจินดากับก้านจะลงนอกจากเธอจะเอามือปลายแหลมในครัวมาแอบไว้ใต้หมอน เพื่อรอวันเงินเดือนออก จะได้มีทุนในการหนีออกจากบ้าน พร้อมสร้อยคอทองเส้นเล็กที่แม่มอบให้เธอไว้ก่อนตาย
แล้ววันที่เธอรอคอยก็มาถึง จดหมายบอกลาวางไว้บนหนอนในห้องนอน ก่อนจะคว้ากระเป๋าสะพายใบเล็กบรรจุเสื้อผ้าสามชุด รวมถึงหลักฐานเอกสารทางราชการทุกอย่างหิ้วออกไปจากบ้านโดยที่ไม่มีใครทันสังเกต หรือพวกเขาคงจะไม่ทันคิดมากกว่า ผู้หญิงอ่อนแอและอ่อนต่อโลกจะกล้าหนีออกจากบ้าน
ในวันนั้นเธอสัญญากับตัวเอง จะไม่ขายสร้อยเส้นนี้เด็ดขาดถ้าไม่จำเป็นและจะไม่ขอกลับมาเหยียบบ้านหลังนี้อีกถ้ายังไม่ได้ดี!
นราวดียกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้า เมื่อคิดถึงเรื่องราวแต่หนหลังที่ทำให้เธอเป็นคนบ่อน้ำตาตื่นไปในทันที แม้จะบอกกับใจให้เข้มแข็ง อย่ายอมแพ้กับอุปสรรคที่ผ่านมา แต่ความปวดร้าวที่มีมันฝังลึกเกาะกินใจและคอยติดตามหลอกหลอนเธอบ่อยครั้ง
ก่อนหญิงสาวถอนหายใจ เลิกคิดเรื่องเศร้าและหดหู่ใจ ลุกจากเก้าอี้พร้อมหยิบซองใส่เอกสารสีน้ำตาลและกระเป๋าใบที่ใช้ใส่เงินและของจุกจิก เพื่อกลับไปบอกข่าวดีกับป้านวลคุณป้าเจ้าของบ้านเช่าที่แสนจะน่ารักและใจที่รักเธอเหมือนลูกเหมือนหลานคนหนึ่งดีกว่า
แม้จะห้ามไม่ให้คิด แต่เรื่องราวที่ผ่านมาก็ยังวนเวียนอยู่ในหัวสมอง นราวดีเดินกลับบ้านอย่างเหงาหงอยและหนาวเหน็บ ราวกับมีน้ำแข็งเกาะกัดกินใจ ก่อนเธอจะหยุดเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างสูง นัยน์ตาชวนฝันที่เคยเห็นจากนิตยสารที่เพื่อนข้างห้องนำมาให้ดู
“นี่นะนารา ผู้ชายคนนี้เป็นถึงลูกชายคุณหญิงเลยนะ ทั้งรูปหล่อพ่อแม่รวย หุ่นก็แหม...ดาร์กทอร์แอนด์แฮนด์ซั่มเลยนะ นาราไม่สนใจบ้างหรือไง ถ้าได้เป็นแฟน ถือเป็นโชคดีเลยล่ะ หน้าตาเราก็สวย...ใบหน้านวลเนียน ปากนิดจมูกหน่อย ดวงตาก็กลมสวย สะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น”
ชมเธอจบ เพื่อนสาวข้างห้องก็หันไปให้สนใจและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของคนในรูปต่อ เธอได้แต่ยิ้มขำๆ กับใบหน้าเพ้อช่างฝันของแต่ละคน
“ดูนี่สิดูที่ตานะนารา แค่เห็นในหนังสือ ยังทำเอาเราแทบหัวใจแทบจะละลายกองไปกองอยู่ตรงหน้า ถ้าได้เห็นตัวเป็นๆ หรือได้อยู่ใกล้ๆ พี่คงจะต้องละลายเป็นน้ำกองอยู่ตรงหน้านั่นแหละ”
นับตั้งแต่ออกจากบ้านมา นราวดีจำได้ว่าวันนั้นเธอหัวเราะมากที่สุด หัวเราะจนเจ็บท้องไปหมด
หญิงสาวมองชายร่างสูงใหญ่ที่ยืนหลังพิงฝาผนัง ขาไขว้กัน สองมือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แต่นราวดีไม่เห็นหรอกว่าหน้าตาที่แท้จริงของผู้ชายที่ยืนแอ็คท่าเก๊กหล่อกับคนในรูปที่เธอได้แค่ดูผ่านๆ ตาจะหล่อเหลาและเรียกความสนใจได้แต่ไหน หากเธอรู้ว่าผู้ชายคนนี้โดดเด่น ดึงดูดสายตาให้ใครหลายคนอยากเข้าจะเข้าใกล้ ไม่เว้นแม้กระทั่งตัวเธอเอง
หัวใจนราวดีเต้นระรัว ร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้าอย่างที่เธอไม่เข้าใจเหมือนกัน ทำไมถึงเป็นแบบนั้น หญิงสาวสะบัดศีรษะสลัดความคิดเกี่ยวกับเรื่องผู้ชายที่เห็นทิ้งไป
อย่าคิดมากไปเลยนารา ผู้หญิงหน้าตาพอไปวัดไปวาอย่างแก เขาไม่แลหรอกน่าให้เสียสายตาหรอกน่า
ถึงจะมีหลายคนเคยชมว่าเธอสวยและน่ารักแต่นราวดีก็ไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองให้มีความหวัง เพราะไม่อยากเจ็บปวดเมื่อต้องผิดหวัง แต่ถึงจะคิดแบบนั้น เธอก็อดเหลียวไปมองชายหนุ่มร่างสูง ที่เดินลับหายไปทางกลางฝูงชนกลุ่มใหญ่ไม่ได้
นราวดีเดินมองต้นไม้และดอกไม้ข้างทาง ก่อนจะหยุดเมื่อเห็นอะไรไหวๆ อยู่ที่พุ่มไม้ด้านหน้า ก่อนมีจะเสียงร้องไห้เธอเดินเข้าไปหาอย่างช้าๆ ทรุดตัวลงนั่งและแยกใบไม้ออกด้วยหัวใจที่เต้นแรงด้วยความอยากรู้
“เมี้ยว เมี้ยว”
สิ่งที่เห็นทำให้เธอยิ้มได้ขณะเดียวกันก็สลดหดหู่กับอีกภาพ...
แมวตัวใหญ่สีดำปลอดตลอดทั้งตัว มีบาดแผลขนาดใหญ่ที่ท้องและขา เลือดไหลนองทั่วพื้นนอนหายใจรวยริน ขาหน้ากระดิกยิก ๆ ดวงตาเบิกกว้าง อ้าปากกว้างเพื่อหายใจ แมลงวันบินวนรอบบาดแผลและปาก ระหว่างขาหน้าและขาหลังมีลูกแมวตัวเล็กสีดำเหมือนแม่หนึ่งตัวและอีกสองตัวเป็นสีขาวปนดำนอนตัวแข็งขาแข็งน้ำลายฟูมปากนอนตายคาอก แต่ก็ยังมีอีกตัวที่กระเสือกกระสนหาทางเอาชีวิตรอดด้วยการดูดนมจากแม่
นราวดีใช้มือหนึ่งหยิบเนื้อบริเวณลำคอลูกแมวตัวน้อย ทำเหมือนกับที่แม่ของมันคาบเอาเวลาจะพาลูกที่ไปหาที่ซ่อน อีกมือก็เอื้อมไปลูบหัวแม่แมวอย่างสงสาร
“ไม่ต้องห่วงลูกนะเจ้าเหมียว ลูกตัวนี้ของแกฉันจะเอาไปเลี้ยงให้ดีที่สุดเท่าที่คนอย่างฉันจะเลี้ยงดูมันได้”
เพียงแค่สิ้นคำพูดนราวดีราวกับว่าแม่แมวจะรับรู้ได้ ขาหน้าของมันหยุดเคลื่อนไหว ปากและดวงตาปิดลง นราวดีเอามือไปแตะปลายจมูกก็พบว่าแม่แมวสิ้นลมหายใจไปแล้ว หญิงสาวมองไปทั่วบริเวณ ก่อนจะก้มลงมองลูกแมวตัวน้อยที่ดูดนิ้วเธออย่างหิวโหย
นราวดีควานหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ามาห่อตัวลูกแมวไว้ ก่อนจะหาไม้ขนาดพอเหมาะมือมาขุดดินขุดหญ้าเพื่อนำร่างไร้วิญญาณของแม่แมวและลูกแมวที่ตายทั้งหมดฝังกลบ
“ไปดีนะเจ้าเหมียว”
นราวดีอุ้มลูกตัวน้อยที่ร้องหานมไม่ยอมหยุด พอนิ้วเธอไปถูกที่ปากมันก็เริ่มต้นดูดอย่างหิวกระหาย
“อดทนหน่อยนะเจ้าเหมียว เดี๋ยวนะฉันจะพาแกไปซื้อนม” นราวดีมัวแต่ก้มเจ้าลูกแมวตัวน้อยจนลืมดูถนน
เอี๊ยด!
“ว้าย!! ..” นราวดีมองด้านหน้าของรถที่เบรกจนควันสีขาวฟุ้งตลบอย่างตื่นตระหนก กายอรชรสั่นเทา
"เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมเดินไม่ดูตาม้าตาเรือ นี่ถ้าผมหยุดไม่ทันมีหวังได้ไปเจอยมบาลแล้วนะ แถมผมยังมีความผิดขับรถชนคนตายอีก"