แล้วก็เป็นอย่างที่เธอคิด เมื่อเช้าวันนี้มีดอกกุหลาบสีชมพูช่อโตเท่าเมื่อวานวางไว้ที่โต๊ะทำงานตั้งแต่ก่อนที่เธอจะเดินทางมาถึงด้วยซ้ำ
ธารารินเบะปากให้ดอกไม้ชนิดโปรดที่เคยเห็นครั้งใดก็ต้องสูดดมกลิ่นหอมด้วยความหลงใหลทุกครั้งไป ยิ่งอ่านการ์ดยิ่งอยากจะเบะปากมองบน เพราะรู้สึกขยะแขยงผู้ชายมักมากคนนั้นอย่างที่สุด
“ผมขอโทษด้วยที่ครั้งแรกที่เราเจอหน้ากันมันไม่ได้น่าจดจำเท่าไรนัก หวังว่าคุณจะให้โอกาส..ให้ผมได้ทำความรู้จักกับคุณมากกว่านี้ รับรองว่าคุณจะมองผมในแบบใหม่”
“หึ หลงตัวเองจริงนะ รู้ว่าหล่อ รู้ว่ารวย รู้ว่าสาวเยอะ แต่เสียใจ คนอย่างน้ำริน ไม่จำเป็นต้องไปแย่งผู้ชายกับใครย่ะ ลาก่อน อีตาปั้นจั่น”
กุหลาบสีชมพูช่อใหญ่ผู้น่าสงสาร ถูกยัดลงถังขยะเป็นวันที่สอง แต่ความใหญ่โตของมันไม่สามารถลงไปอยู่ในก้นถังได้ จึงเสนอหน้าชูช่อสีชมพูส่งกลิ่นเย้ายวน โดยมีถังขยะเป็นแจกันใบสวยอย่างพอดิบพอดี
ยิ่งเห็นก็ยิ่งหงุดหงิด จึงเรียกแม่บ้านให้นำถุงขยะมาใส่ดอกไม้ช่อนี้ แล้วเอาไปทิ้งให้ไกลๆ สายตาของเธอ
“อ้าว ดอกไม้ยังไม่เหี่ยวเลย ยัยน้ำให้ทิ้งแล้วเหรอ”
“ค่ะ ท่านประธาน”
ทันทีที่แม่บ้านและเลขานุการร่างอวบเดินออกมาจากห้องทำงานของเจ้านายสาวหลังจากเก็บซากช่อดอกไม้ของผู้ชายเจ้าชู้ยักษ์ ก็เจอกับท่านประธานบริษัทผู้เป็นบิดาของเธอที่หน้าห้องพอดี
“ทำไมให้ทิ้ง ใครส่งมาให้ล่ะ”
เขารู้ว่าลูกสาวของเขาเรื่องมาก เลือกเยอะ และเกลียดคนเจ้าชู้ที่สุด แต่ก็ไม่เคยทิ้งดอกไม้ของใครแบบนี้ ส่วนมากจะให้แม่บ้านนำดอกไม้แสนสวยไปจัดแจกันประดับบ้านหรือห้องทำงาน ยิ่งดอกกุหลาบนำเข้าสีชมพูดอกโตช่อใหญ่ยักษ์นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง มีหวังหอบกลับไปจัดแจกันเอาไว้เต็มห้องนอนแน่ๆ
“เอ่อ ในถุงนี้มีดอกไม้ของคุณเทวาค่ะ ส่งมาให้ทุกวันเป็นเดือนแล้ว แล้วก็ของคุณปัณจธรค่ะ เพิ่งส่งมาวันนี้เป็นวันที่สองค่ะ”
ธารา พยักหน้ารับ ชื่อของชายหนุ่มทั้งสองเขารู้จักดี และทั้งสองคนนี้ต่างส่งคนมาเจรจาขอซื้อที่ดินผืนงามที่ภูเก็ตแต่โดนเขาปฏิเสธกลับไปด้วยเหตุผลเดียวกัน
ก็คงหวังจะจีบลูกสาวเขาให้ติดเพื่อให้เธอยอมขายที่ดินให้ หรือไม่ก็หวังรวบหัวรวบหาง เอาทั้งที่ดินและเอาทั้งลูกสาวเขาทำเมีย
สำหรับเทวา เขารู้กิตติศัพท์ดี ทั้งเจ้าชู้ ใจร้อน บุ่มบ่าม โหดร้าย และมีธุรกิจสีเทาแอบแฝง คงไม่เป็นการดีแน่ถ้าผู้ชายคนนั้นจะจีบลูกสาวของเขาติด
ส่วนอีกคน แม้จะมีข่าวควงดารานางแบบไม่ซ้ำหน้า แต่ต้นตระกูลนี้มีแต่คนดีๆ ขยันทำงาน ฉลาดหลักแหลม และอนาคตไกลกันทุกคน ซึ่งในฐานะผู้ชายด้วยกัน ความเจ้าชู้มันมีกันทุกคน อยู่ที่ว่าจะสามารถหยุดทุกอย่างเอาไว้ได้แค่ไหนถ้าเจอคนที่เป็นตัวจริง และผู้ชายในตระกูลนี้ เมื่อตกลงปลงใจกับใคร ก็จะรักเดียวใจเดียวจนผู้หญิงที่ได้เป็นภรรยากลายเป็นคนที่น่าอิจฉาที่สุดในโลก
มือที่กำลังจะยื่นไปเปิดประตูห้องทำงานของลูกสาว หดกลับมากุมหน้าอก ไอถี่จนตัวโยน ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่พื้นแล้วหมดสติไป
“ท่านประธาน ท่านประธานคะ ใครก็ได้ เรียกรถพยาบาลที”
ภาพเพดานสีขาวของโรงพยาบาลพร่าเบลอ ก่อนจะชัดขึ้นเมื่อท่านประธานวัยกลางคนลืมตาตื่นและมีสติเต็มร้อย
“พ่อคะ พ่อฟื้นแล้ว”
คนตัวบางที่เป็นสุดยอดดวงใจโผเข้ากอดเขาแน่น ทั้งยังร้องไห้สะอึกสะอื้นตัวโยนอย่างน่าสงสาร
ตอนที่ได้ยินเสียงโหวกเหวกหน้าห้อง เมื่อออกมาดูแล้วพบว่าพ่อของตัวเองที่เคยแข็งแรงอยู่เสมอนอนหมดสติ แถมยังมีเลือดไหลออกมาทางปากจากการไออย่างหนัก สติของเธอก็หลุดหายไปในทันที
แถมเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่หมอเดินมาบอกผลการวินิจฉัยโรคว่าพ่อเธอเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ซ้ำร้ายร่างกายยังอ่อนแอเกินกว่าจะตอบสนองต่อการรักษา ทำเอาหัวใจของเธอแตกสลายไม่หลงเหลือชิ้นดีอีกต่อไป
ตั้งแต่เธอจำความได้ เธอมีแค่พ่อ แม่ของเธอเสียชีวิตไปตั้งแต่เธออายุได้เพียงสองขวบ ในตอนนั้นเธอไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับแม่เลย
ทุกเรื่องราวในชีวิตตั้งแต่จำความได้จนถึงตอนนี้ จึงมีเพียงแค่พ่อเท่านั้น ที่ป้อนข้าว อาบน้ำ กล่อมนอน ถักผมเปียให้เธอไปโรงเรียน อยู่ในทุกช่วงเวลาที่เธอทั้งเจ็บปวดและมีความสุข
แต่วันนี้ กลับมีโรคร้ายที่พร้อมจะพรากชีวิตพ่อไปจากเธอได้ตลอดเวลา ถ้าเธอไม่เหลือพ่ออยู่ข้างกายอีกแล้ว ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะมีชีวิตต่อไปได้อย่างไร
“น้ำ อย่าร้องไห้ลูก”
เสียงแหบพร่าของคนเป็นพ่อพยายามจะปลอบใจลูก แม้ว่าหัวใจของตัวเองก็แตกสลายไม่เหลือชิ้นดีเหมือนกันก็ตาม
เมื่อสองเดือนก่อนที่เขารู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกายที่เคยแข็งแรงเสมอ จึงไปตรวจร่างกายอย่างละเอียด แล้ววันที่โลกถล่มลงมาตรงหน้าก็คือวันที่เขารู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย และหมอไม่แน่ใจว่าเขาจะตอบสนองต่อการรักษามากแค่ไหน
เขาไม่เคยกลัวความตายหรือเสียดายชีวิต แต่ที่เขาเป็นห่วงและกังวลที่สุดคือลูกสาวเพียงคนเดียวที่เป็นดังชีวิตและลมหายใจของเขา ต่อจากนี้เธอจะอยู่อย่างไรคนเดียวบนโลกที่แสนโหดร้ายใบนี้
“พ่อทำไมไม่บอกน้ำ น้ำจะได้รีบพาพ่อไปรักษา พ่อไม่ต้องกังวลนะคะ พ่อต้องหาย ต้องอยู่กับน้ำไปนานๆ อย่าทิ้งน้ำไปอีกคนนะคะ”
หยาดน้ำใสๆ ไหลอาบแก้มสาก เขารู้ตัวว่าร่างกายตัวเองมันทรุดลงอย่างรวดเร็วและอยู่ในภาวะย่ำแย่แค่ไหน ไม่มีทางเลยที่เขาจะหาย ไม่มีทางเลยที่เขาจะได้มีชีวิตอยู่ปกป้องลูกรัก
“อย่าร้องไห้ลูก คนเราทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย พ่อไม่อยากให้น้ำเสียใจ ถ้าวันหนึ่งไม่มีพ่อ พ่ออยากเห็นน้ำอยู่ได้อย่างมีความสุข”
“น้ำทำไม่ได้ค่ะ พ่ออย่าไปนะ อย่าทิ้งน้ำไป น้ำขอร้อง”
ภาพพ่อลูกกอดกันร้องไห้ ทำให้แม่บ้านเก่าแก่ของตระกูลที่เลี้ยงดูเธอมาด้วยความรักตั้งแต่เกิดต้องลอบปาดน้ำตา ไม่ต่างจากเลขาสาวอวบซึ่งเป็นเด็กกำพร้าที่ท่านประธานส่งเสียเลี้ยงดูให้การศึกษาจนมีอนาคตที่สดใสในวันนี้ ก็แอบปาดน้ำตาออกจากแก้มด้วยความสะเทือนใจ
“พ่อจะยังไม่ทิ้งน้ำไปง่ายๆ หรอกลูก ไม่ต้องกังวล แล้วกัน พากันร้องไห้กันหมด ฉันยังไม่ตายสักหน่อย นอนโรงพยาบาลให้น้ำเกลืออีกแค่คืนสองคืนก็กลับบ้านได้แล้ว ไปทำงานกันได้แล้วไป พ่อไม่เป็นอะไรจริงๆ น้ำมีประชุมสำคัญด้วยนี่ลูก”
“น้ำเลื่อนประชุมได้ค่ะ น้ำอยากอยู่กับพ่อ”
“อย่าเลื่อนเลย รีบไปทำงานสำคัญก่อนเถอะ เดี๋ยวพ่อจะให้น้ำอยู่กับพ่อจนเบื่อเลย”
“เอางั้นก็ได้ค่ะพ่อ เดี๋ยวน้ำจะรีบกลับมาหาพ่อนะคะ”
เมื่อเป็นความต้องการของคนป่วย ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ของตนเอง และเห็นทีว่าหลังจากนี้เธอคงต้องย้ายมาทำงานที่บ้านแทน
“เมือง โทรเชิญคุณปัณจธร อธิพัฒน์โภคิน มาพบฉันที่นี่หน่อยสิ ตอนนี้เลย”
“ครับท่าน”
เมือง ผู้ช่วยมือขวาคนสนิททั้งยังเป็นทนายความส่วนตัวและที่ปรึกษาด้านกฎหมาย โทรเชิญชายหนุ่มรุ่นลูกให้มาพบผู้เป็นเจ้านายถึงโรงพยาบาล ไม่กี่นาทีต่อมาเขาก็มาถึง พร้อมด้วยกระเช้าเยี่ยมไข้เป็นอาหารบำรุงกำลังที่เหมาะกับผู้ป่วยโรคมะเร็ง
“ได้เจอหน้ากันซะทีนะ คุณปัณจธร”
“เรียกผมว่าปั้นเฉยๆ ดีกว่าครับ คุณอาเป็นอย่างไรบ้าง อย่าเพิ่งคิดมากนะครับ เดี๋ยวนี้วิทยาการทางการแพทย์เราก้าวหน้า โรงพยาบาลของหมอน่านก็มีแต่อาจารย์หมอเก่งๆ ยังไงคุณอาต้องหายครับ”
“ขอบใจมาก ที่อุตส่าห์ให้กำลังใจอา อารู้ดีว่าคงอยู่บนโลกใบนี้ได้อีกไม่นาน แต่มีเรื่องที่อายังกังวล อยากจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนที่อาจะไป อาจะได้ไปอย่างสงบและสบายใจ”
“มีอะไรที่ผมพอช่วยคุณอาได้ไหมครับ บอกมาได้เลย ผมพร้อมช่วยครับ”
เขาพูดออกมาจากใจจริง เพราะครอบครัวของเขาคือครอบครัวใหญ่ซึ่งญาติพี่น้องรักและดูแลกันอย่างดี จึงอดรู้สึกสงสารสองพ่อลูกคู่นี้ไม่ได้ที่มีกันแค่สองคนบนโลกเท่านั้น ถึงแม้จะไม่รู้ว่าสิ่งที่คนป่วยต้องการคืออะไรก็ตาม
“ปั้นยังอยากได้ที่ดินที่ภูเก็ตผืนนั้นอยู่หรือเปล่า”
ปัณจธรเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง สิ่งที่คนป่วยกังวลคืออะไรกันแน่ ทำไมถึงเรียกเขามาสอบถามเรื่องที่ดิน หรือต้องการจะขายเพื่อเอาไว้เป็นทุนให้ลูกสาวใช้ชีวิตได้อย่างสบายในวันที่ไม่มีตัวเองแล้ว
“ครับ ผมยังอยากได้ที่ดินผืนนั้นอยู่”
“ขอโทษด้วยที่ต้องถาม แต่จะเอาที่ดินผืนนั้นไปทำอะไร”
“ผมอยากทำรีสอร์ตครับ ทำโครงการไว้เป็นรีสอร์ตสไตล์หรูหราท่ามกลางธรรมชาติ จะเปิดรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการเที่ยวแบบหรูหรา ส่วนตัว และใกล้ชิดธรรมชาติครับ”
“ที่ดินผืนนั้นอยู่ร่วมกับชาวบ้าน ชาวประมงและคนที่นั่นก็รักความเป็นธรรมชาติที่สุด อาเกรงว่ามันจะมีแต่ผลร้ายถ้าปั้นจะสร้างรีสอร์ตหรูหราที่นั่น”
ปัณจธรนิ่งคิดตามคำของคนป่วย มันเป็นเรื่องจริง ถ้าหากเขาฝืนทำอะไรที่คนส่วนใหญ่บนที่ดินที่อยู่มาก่อนไม่เห็นด้วยหรือต่อต้าน ก็จะมีแต่ความวุ่นวายกลับมาไม่รู้จักจบจักสิ้น
“แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นแนวโฮมสเตย์ หรือรีสอร์ตที่กลมกลืนไปกับบ้านเรือนของชาวบ้าน ให้คนมาพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติเหมือนมาเที่ยวบ้านเพื่อนที่ต่างจังหวัดล่ะครับ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่อยากสัมผัสวิถีธรรมชาติที่มีมนตร์เสน่ห์ของคนพื้นที่ก็มีไม่น้อย กิจกรรมท่องเที่ยวรอบเกาะ ดำน้ำ หาปลา ก็ช่วยให้คนพื้นที่มีรายได้เพิ่มด้วย”
เจ้าของที่ดินพยักหน้าน้อยๆ มองสบดวงตาคมกริบที่เต็มไปด้วยความมุ่นมั่นอย่างแรงกล้าของผู้ที่ไม่รู้จักคำว่ายอมแพ้ แล้วก็อดที่จะนึกชอบใจในตัวทายาทตระกูลดังไม่ได้ นี่แหละหนาที่เขาบอกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น
“แปลว่าอยากได้ที่ดินผืนนั้นอยู่ดี”
“ครับ ผมอยากได้ ถ้าคุณอาจะกรุณา”
“หึหึ รู้ใช่ไหมว่าไม่ได้มีแค่ปั้น ที่อยากได้ที่ดินผืนนี้ของอา”
“ครับ ผมทราบครับ อย่างน้อยๆ ก็มีนายเทวา เจ้าของรีสอร์ตคู่แข่งของผมคนหนึ่งแล้ว”
ความตรงไปตรงมาของชายหนุ่มรุ่นลูกตรงหน้าทำเอาเขานึกถึงตัวเองเมื่อตอนหนุ่มๆ ทั้งเด็ดเดี่ยวและมีไฟ เขาจะทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จ จนสามารถมีอาณาจักรจิวเวลรี่ที่ทั้งโด่งดังและมีชื่อเสียงส่งต่อให้กับลูกสาวที่มีนิสัยไม่ต่างจากเขาเท่าไรนักบริหารสืบต่อไป
“อาจะไม่ขายที่ดินให้ใครเด็ดขาด แต่จะเปลี่ยนพินัยกรรมให้คนที่จะแต่งงานกับลูกสาวของอาเอาที่ดินผืนนี้ไปทำรีสอร์ตได้ แต่ข้อแม้ของอาเยอะนะ ทุกอย่างจะถูกระบุไว้ในพินัยกรรม”
ปัณจธรเบิกตากว้างอีกครั้งอย่างไม่อยากจะเชื่อหู ถ้าเขาจะเอาที่ดินผืนนั้นไปสร้างรีสอร์ตให้ได้ เขาต้องแต่งงานกับคุณหนูน้ำรินคนสวย สิ่งที่เขาอยากรู้คือข้อแม้เยอะแยะที่เจ้าของที่ดินว่า มันคืออะไรกันล่ะ
แต่ถึงแม้จะมีเงื่อนไขมากมายให้เขาทำตาม อาจจะอึดอัดใจบ้างเพราะคนเป็นพ่อย่อมรักและหวงลูกสาว คงมีเรื่องวุ่นวายให้เขารับปากเป็นพัน หนึ่งในนั้นคงไม่พ้นเรื่องผู้หญิง
“อาต้องการให้ปั้นแต่งงานกับน้ำริน ปั้นยินดีจะแต่งงานกับลูกของอาหรือเปล่า แต่อาจะให้เมืองส่งเงื่อนไขในพินัยกรรมให้ปั้นดูก่อน ค่อยให้คำตอบอาก็ได้”
คนอย่างเขามันไม่เคยรักใคร ไม่เคยสนใจด้วยซ้ำว่าความรักหน้าตามันเป็นอย่างไร เขาคิดไว้เสมอว่าวันหนึ่งอาจต้องแต่งงานด้วยเรื่องของธุรกิจ แล้ววันนี้มันก็มาถึงจริงๆ และในเมื่อข้อเสนอของเจ้าของที่ดินมันหอมหวานขนาดนี้ ถ้าเขาปฏิเสธ..ก็โง่เต็มที
“ครับคุณอา ผมจะแต่งงานกับคุณน้ำริน คุณอาไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะดูแลเธอแทนคุณอาเอง”