แสงไฟจากรถสปอร์ตหรูพุ่งตรงไปข้างหน้า การขับบนเส้นทางเดิมกลับออกไปสู่บ้านชานเมืองที่ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงในเวลาที่รถไม่ติด ปะป๋าเคยบ่นหลายครั้งแล้วว่ามันไกลอันตรายในการเดินทาง ไม่สะดวกกลางค่ำกลางคืนขับรถคนเดียว ทำไมไม่อยู่คอนโดที่ใกล้ๆ สะดวกสบายกว่า ฉันยังเถียงว่าชอบบรรยากาศ ชอบต้นไม้สีเขียว ขับรถช่วยลดความเครียดในการทำงานทั้งวันได้ ว่าแล้วก็คิดถึงปะป๋าจริงๆ ช่างทิ้งลูกสาวสุดสวยไว้ได้ไม่กลับมาหาเลยไม่รู้ไปท่องเที่ยวอยู่ส่วนไหนของโลกก็ไม่รู้ ไปไหนไม่เคยบอก พอเที่ยวพอก็กลับมาโผล่หน้าให้ลูกสาวเห็นสักพักก็หายไปอีกเป็นเช่นนี้มานานหลายปีแล้ว ท่านเองก็มีครอบครัวใหม่ที่ต้องให้เวลาเช่นเดียวกัน
บนถนนไม่มีรถวิ่งสวนมาเลยคงเพราะดึกมากแล้ว ช่างเงียบเหงาจริง แสงไฟสลัวริมทางยิ่งให้ความรู้สึกเปลี่ยวๆแปลกๆ ทันใดวิสัยทัศน์การมองเห็นด้านหน้าก็เปลี่ยนไป มองดูเหมือนหมอกในฤดูหนาวจริงๆ
“คืนนี้ทำไมมีหมอกลงมาก อากาศแปลกๆนะ หน้าร้อนทำไมมีหมอกได้ เฮ้ย!!.."
ฉันมองเห็นแสงไฟสาดเข้ามาด้านหน้า พร้อมกับความรู้สึกโดนกระแทกอย่างรุนแรง ทุกอย่างหมุนไปกระแทกกับอะไรสักอย่าง รู้สึกได้ถึงน้ำอุ่นๆนี่คงเป็นเลือดที่ไหลออกมาทั้งปากทั้งจมูก มือไม่มีแรงจะขยับได้ ปอดเริ่มอึดอัด เธอรู้ดีตอนนี้ออกซิเจนในกระแสเลือดไม่เพียงพอจะช่วยให้เธอรอดเสียแล้ว เธอหายใจไม่ออกเป็นช่วงสภาวะร่างกายโคม่า ปะป๋า…เมย์คงไม่ได้เจอปะป๋าอีกแล้ว เมย์เสียใจที่เถียงที่ขัดใจ เมย์ขอโทษ เมย์รักและคิดถึงปะป๋านะ ลาก่อน…
ในห้องเก็บโลงศพ อาจารย์ทั้งหมดที่อยู่ในห้องนั้นจึงพากันเดินไปตรวจดูรอบๆโลงศพว่าความจริงเป็นเช่นไร ท่านอาจารย์ใหญ่ที่เดินตามมาด้านหลังหวังว่าจะเป็นดังที่ท่านคาดเดาไว้จึงสั่งให้เปิดออกดูภายในโลงศพ เพื่อหาความจริงว่าเด็กน้อยเห็นดวงตาในโลงศพและได้ยินเสียงนั้นเป็นอย่างไร
“ช่วยกันยกฝาเปิดออก”
เมื่อฝาโลงถูกเปิดออก ฉับพลันก็เห็นเด็กสาวพยายามยกศรีษะขึ้นขยับตัวมาพิงกับขอบโลง หายใจเฮือกใหญ่แล้วหมดสติไป อาจารย์ทั้งหลายพากันขยับเข้าไปอีกเล็กน้อย อาจารย์ใหญ่ก้าวเข้าไปจับชีพจร แล้วหันกลับมามองรอบด้าน จิ่วเอ๋อร์นางตกใจนั่งกองลงไปบนพื้นเรียบร้อยแล้ว ยามนี้ขยับลุกขึ้นมาดูใกล้ๆ ยืนหน้าเข้ามาจนชิดขอบโลงศพ สองมือจับขอบโลงเอาไว้กล่าวด้วยเสียงดีใจอย่างยิ่ง
“นี่ นางฟื้นคืนชีพกลับมาใช่หรือไม่”
มีเสียงพูดคุยเบาๆของจิ่วเอ๋อร์ดังเทรกเข้ามาในกลุ่มอาจารย์
“เด็กสาวคนนี้ฟื้นขึ้นมาแล้วแต่ตอนนี้นางหมดสติไปอีกแล้ว ร่างกายอ่อนแอเพียงนี้คงยังไม่ฟื้นขึ้นมาง่ายๆ พวกเจ้าพานางออกมาก่อน แล้วนำกลับไปที่ห้องพัก”
ในห้องพัก อาจารย์ใหญ่ตรวจดูอาการของเด็กสาวที่แสนบอบบางที่หายใจสม่ำเสมอบนเตียง ดวงหน้าแสดงออกถึงความประหลาดในไม่น้อย เมื่อตรวจจนแน่ใจแล้วก็วางมือเด็กที่แสนผอมบางแทบมีแต่กระดูกลงแล้วลุกขึ้นมาปรึกษากับศิษย์น้องที่ยืนรอฟังอยู่
“ข้าตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว น่าประหลาดใจจริงๆ ร่างกายนางยามนี้เรียกได้ว่าเกือบปกติมีเพียงอ่อนแอ หากบำรุงร่างกายสักหน่อยคาดว่าไม่นานจะกลับมาปกติได้”
“ถือว่าเป็นชะตาฟ้าลิขิตของนางที่รอดชีวิต จากนี้ไปก็ค่อยๆดูแลกันไปหากนางไร้ที่พึ่งก็ให้นางอยู่ที่นี่”
อาจารย์ที่อยู่ในห้องล้วนเป็นผู้บำเพ็ญมีศีลมีความเมตตาเมื่อพบเด็กหญิงไร้ที่พึ่งและน่าสงสารย่อมยินดีให้ความช่วยเหลือ การรับไว้ดูแลเป็นเรื่องที่อารามนี้ควรทำและทำด้วยความยินดี
“จิ่วเอ๋อร์ เจ้าก็อยู่ดูแลนางแล้วกัน”
นางตอบรับเสียงเบาในแววตามีความยินดีอย่างชัดเจน
“ในที่สุดสวรรค์ก็เมตตาสงสารข้าแล้ว คำวิงวอนขอให้เจ้าหายดีได้ผล ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นกลับมาอยู่เป็นเพื่อนข้า เป็นศิษย์น้องของข้า ฮ่าฮ่าๆ”
สามวันแล้วที่ฉันตื่นขึ้นมา ที่นี่ไม่ใช่ประเทศไทยเหมือนหลงมาในหนังจีนโบราณที่ปะป๋าชอบดูเลยยุคสมัยดูโบราณจนแยกไม่ออกว่ายุคใด ที่นี่มีความเชื่อเรื่องเทพเซียน สัตว์เทพ สัตว์อสูร ปีศาจ มาร กำลังภายใน ของวิเศษทำให้ฉันยังไม่กล้าพูดกับใครได้แต่ฟังเพื่อทำความเข้าใจทำเพียงกระพริบตาหรือไม่ก็พยักหน้าตอบ นี่ฉันตายไปแล้วไม่ได้ไปเกิดใหม่แต่มาสิงอยู่ในร่างของเด็กหญิงคนหนึ่งที่ได้เสียชีวิตเพราะได้รับพิษและร่างกายอ่อนแอตามคำบอกเล่าของจิ่วเอ๋อร์ เด็กสาวคนนี้อัธยาศัยดีมาก เธอพยายามพูดคุยกับฉันตลอดเมื่อมีเวลาว่าง บอกเล่าสิ่งต่างๆในอาราม บรรยายถึงอาจารย์แต่ละท่านเล่าเรื่องดินฟ้าอากาศ ทุกเรื่องที่สามารถพูดออกมาได้ แต่ประโยคที่พูดติดปากคือ “เจ้าต้องเป็นศิษย์น้องของข้านะ เจ้าต้องจำไว้” คนที่อายุย่างสามสิบต้องมาทำตัวเป็นเด็กสาวอายุสิบกว่าขวบ ตนก็รู้สึกลำบากใจนิดหน่อยนะ
ข้า (ฉัน) มีความลำบากเป็นอย่างมาก ในนิยายนางเอกจะต้องมีความทรงจำของร่างเก่าที่มาอาศัยอยู่มิใช่หรือ แต่นี่มีแต่ความทรงจำของตัวเองในชาติที่แล้ว ข้าจึงมีความจำเป็นต้องตีเนียนว่าเป็นเด็กสาวตามร่างกายที่มาเกิดใหม่ทั้งที่ข้าเองอายุปาไปสามสิบแล้ว ความทรงจำในอดีตของร่างใหม่นี้ก็ไม่มี
“ตอนที่ข้าพบเจ้าบนร่างกายมีเพียงหยกพกที่ติดตัวมาเป็นอักษร “จิ่ว” และกล่องไม้เก่าแก่ธรรมดาดูเรียบง่ายที่คล้องกุญแจไว้ตกอยู่ข้างๆ เจ้าข้าจึงอุ้มกันกลับมาที่อารามด้วย”
“ขอบใจเจ้ามาก”
“ไม่เป็นไร เป็นหน้าที่ของศิษย์พี่อย่างข้าอยู่แล้ว ว่าแต่กล่องไม้นั่นดูเปราะบางมากเชียว หากเจ้าต้องการเปิดออกคงทำให้กล่องได้รับความเสียหาย”
“ตอนนี้ข้ายังไม่สนใจมันเลยวางมันทิ้งไว้เฉยๆ”
จะว่าไปก็เป็นความรู้สึกที่แตกต่างกับชาติก่อนนักเพราะในตอนนี้ไม่มีทรัพย์สมบัติ ไม่มีญาติ ไม่มีบ้าน ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ต้องอาศัยข้าวปลาอาหารจากอารามจึงต่อชีวิตน้อยๆนี้ไว้ได้ ช่างยากจนข้นแค้นยิ่งนัก โชคยังดีที่ความทรงจำในอดีตยังอยู่ครบถ้วน พอที่จะเข้าใจภาษาการพูด การอ่าน การเขียนได้แม้ว่าความหมายจะไม่เหมือนเสียทีเดียวแต่เมื่อศึกษาเพิ่มก็ยังพอใช้การได้ ความสามารถอื่นๆ คงต้องใช้เวลาค่อยๆทบทวนให้สามารถนำกลับมาใช้ได้ส่วนจะมากจะน้อยคงยังบอกไม่ได้ในเวลานี้
ภายในห้องของอาจารย์ใหญ่มีความเรียบง่าย มีกลิ่นของธูปและกำยานล่องลอยอยู่บางเบา ท่านมีใบหน้าใจดียิ้มน้อยๆนั่งอยู่บนเบาะในมือถือพวงลูกประคำ เห็นได้ว่าถูกนับวนไปอย่างต่อเนื่องไม่มีทีท่าว่าจะสะดุดหรือหยุดแม้แต่น้อยในขณะที่พูดโต้ตอบกัน
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้างเด็กน้อย เจ้าจำได้ไหมว่าเป็นใคร มีชื่อว่าอะไร มีครอบครัวมีญาติอยู่ที่ใด"
“ตอบท่านอาจารย์ใหญ่ ฉัน.. ข้าดีขึ้นแล้ว"
ฉันรีบเปลี่ยนคำพูดพยายามเรียบเรียงให้เหมือนเด็กสาวอายุน้อย ให้มากที่สุด ดวงตาหลุบลงซ่อนแววตาที่ไม่แน่ใจไว้ก่อนว่าควรจะพูดความจริงออกไปหรือไม่ ทำให้อาจารย์ใหญ่มองไม่เห็นใบหน้าราวกับว่าเด็กสาวตัวน้อยอยู่ในตวามเศร้าเสียใจ
“แต่ว่าข้าจำไม่ได้ว่าตนเองคือใคร ข้าจำสิ่งใดไม่ได้เลยรึ”
“อืม บางทีเจ้าอาจจะได้รับผลกระทบจากการที่เจ้าหยุดหายใจไปก่อนหน้านี้ เช่นนั้นเจ้าก็พักรักษาตัวไปก่อน หากระหว่างนี้นึกได้หรือความทรงจำกลับมา หรือมีญาติมาตามหา เจ้าสามารถที่จะไปจากอารามนี้ได้ทันที แต่ถ้ายังจำไม่ได้อีกทั้งไม่มีผู้ใดมาติดตามถามหา เจ้าก็สามารถอยู่อาศัยศึกษาเล่าเรียนที่อารามแห่งนี้ได้ เจ้าฟังที่ข้าพูดเข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจเจ้าค่ะ ขอบพระคุณท่านอาจารย์ใหญ่ที่กรุณาช่วยชีวิตข้าไว้”
สุดท้ายแล้ว ข้าก็มีชีวิตรอดอยู่ในร่างใหม่นี้ในนาม “จิ่วเหมยฮวา” ชื่อนี้อาจารย์เป็นผู้ตั้งให้ ผ่านมาหกเดือนอย่างไร้วี่แววความทรงจำของร่างนี้และญาติที่จะมาติดตามหา ข้าได้กราบอาจารย์ใหญ่(ท่านมีแซ่ มู่หรง นามชิงอวี๋ แต่ในอารามต่างเรียกท่านว่าอาจารย์ใหญ่) เพื่อศึกษาเล่าเรียน กลายเป็นศิษย์น้องสมความตั้งใจของจิ่วเอ๋อร์
“ศิษย์น้อง”
เสียงเรียกแว่วมาไม่ดังนัก
“ฮวาเอ๋อร์ เจ้ายืนเหม่ออะไรอยู่”
“ข้ามองดูรอบๆ ที่อารามของพวกเราช่างมีชีวิตที่เรียบง่าย สงบสุข ไม่ต้องแก่งแย่ง ไม่ต้องแข่งขันเปรียบเทียบกับใคร หลังจากที่ข้าได้ศึกษาหลักคำสอนนานหลายเดือน ตอนนี้จิตใจสงบนิ่งมาก”
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว พวกเรายังเด็กเจ้าใส่ใจคำสอนพวกนั้นจนจำได้ขึ้นใจต่างกับข้าที่อยู่มานานหลายปียังจำไม่ค่อยได้”
“อาจารย์บอกว่าเจ้าชอบคิดวอกแวก จิตไม่เป็นสมาธิ”
“ดูเจ้าสิพูดราวกับอาจารย์มายืนอยู่เบื้องหน้าข้าเลย ไปดูแปรงสมุนไพรกันดีกว่า”
“จิ่วเอ๋อร์ เจ้าสำรวมหน่อยเดี๋ยวอาจารย์เห็นจะโดนดุ”
“ตามมาไวเข้า ข้าไปก่อนนะเจอกันที่หลังอาราม”
ชีวิตที่นี่ นางได้เรียนหลักคำสอนที่มุ่งเน้นการสำรวมตน รักษาศีล (คล้ายกับศาสนาพุทธในชาติที่แล้ว) การใช้สมุนไพรเพื่อการรักษาเพราะอยู่ห่างไกลจากชุมชน จึงเพาะปลูกเพื่อเป็นอาหารและมีแปรงสมุนไพรไว้ศึกษาและใช้ยามที่มีคนเจ็บป่วย